หนังรวมซุปเปอร์ฮีโร่ในเครือมาร์เวล ที่ขนนักแสดงออกมาอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ชนิดที่เรียกว่าโปสเตอร์หนังแทบระเบิด หนังอัดแน่นไปด้วยฉากแอ็คชันและดราม่าของตัวละครแต่ละตัว แต่ดูเหมือนจะมากเกินไปสำหรับหนังยาวแค่สองชั่วโมง
หนังว่าด้วยเรื่องของโทนี่ สตาร์ค (Robert Downey Jr.) ที่ต้องการเตรียมกองทัพสำหรับต่อต้านภัยร้ายที่มาจากอวกาศและจากผู้ก่อการร้ายทั่วโลก โทนี่เริ่มกลัวว่าลำพังแค่กลุ่มอเวนเจอร์คงไม่สามารถชนะในสงครามนี้ โทนี่และบรูซ แบนเนอร์ (Mark Ruffalo) จึงได้สร้างโครงการ "อัลตรอน" (James Spader เป็นผู้ให้เสียง) หุ่นยนต์ที่มีสติปัญญาเหมือนมนุษย์ที่สามารถคิดและวิเคราะห์ได้ด้วยตัวของมันเอง แต่เมื่ออัลตรอนกำเนิดขึ้นมา มันกลับคิดว่ามนุษย์ต่างหากคือตัวสร้างปัญหา อัลตรอนจึงเริ่นแผนการทำลายมนุษย์ให้สิ้น จึงเป็นหน้าที่ของอเวนเจอร์ที่จะหยุดยั้งไม่ให้มันเกิดขึ้น
ถ้าว่ากันที่เส้นเรื่องหลัก หนังก็มีประเด็นน่าสนใจให้เล่น โดยเฉพาะ เรื่องของมนุษย์ว่าแท้จริงแล้วมีประโยชน์หรือมีโทษสำหรับโลกใบนี้ แต่หนังกลับเล่นประเด็นนี้เพียงผิวเผิน อัลตรอน ตัวละครที่ควรจะทำหน้าที่เป็นกระจกและผู้พิพากษามนุษย์ กลายเป็นตัวละครที่เบาโหวง ไม่มีความน่ากลัวหรือความน่าเกรงขามเลยแม้แต่น้อย
ตัวหนังกลับไปให้ความสำคัญกับดราม่าปูมหลังของตัวละครเอก "ทุกตัว" ซึ่งกินเวลาของหนังไปไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะตัวละครที่ไม่มีหนังใหญ่เป็นของตัวเองอย่างแบล็ค วิโดว์ (Scarlett Johansson) ฮอว์คอาย (Jeremy Renner) และ บรูซ แบนเนอร์ เข้าใจว่าผู้กำกับ (Joss Whedon) ต้องการขยายเรื่องราวและความน่าสนใจให้กับตัวละครตัวอื่นบ้าง เผื่อว่าจะสามารถนำมาสร้างเป็นหนังใหญ่ของตัวเองได้ แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือ ความเป็น "Age of Ultron" มันหายไป กลายเป็น "Age of Avenger" เสียมากกว่า
สิ่งที่ผู้เขียนชอบในการเล่าดราม่าตัวละคร คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง บรูซ แบนเนอร์ และ แบล็ค วิโดว์ ที่ทำออกมาได้ น่ารัก เซ็กซี่ และ ซาบซึ้ง ตัวละครทั้งสองตัวมีเคมีที่เข้ากันอย่างน่าประหลาดและคาดไม่ถึง งานนี้ต้องขอชมเชย คนเขียนบท (Joss Whedon) ที่กล้าจับตัวละครสองตัวที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์กันเลยในการ์ตูนให้ออกมาในรูปแบบที่น่าประทับใจ
ตัวละครสามตัวที่ใส่เข้ามา มีเพียงสการ์เลทวิช (Elizabeth Olsen) เท่านั้นที่ดูมีบทบาทต่อเนื้อเรื่องและได้แสดงซีนอารมณ์ในหนัง วิชชัน (Paul Bettany) ยังไม่มีบทบาทในหนังเรื่องนี้ แต่มั่นใจได้ว่าจะมีบทบาทสำคัญในจักรวาลมาร์เวลอย่างแน่นอน ส่วนควิกซิลเวอร์ (Aaron Taylor-Johnson) แทบไม่มีบทบาทอะไรในหนังเลย
หนังยังมีฉากที่ "หาที่มาไม่ได้" เป็นฉากที่สร้างความงงงวยให้แก่ผู้เขียนว่ามาได้อย่างไร เช่น ธอร์ลงบ่อ (บ่อเดียวกับที่เห็นในตัวอย่างหนัง) หรือฉากตอนท้ายที่ "พวกเขา" โผล่มา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าโผล่มาได้อย่างไร
ฉากบู๊ในหนังเรื่องนี้ สวย แต่จังหวะเวลาในการเล่นฉากบู๊ยังไมไ่ด้ ฉากบู๊แต่ละฉาก เป็นแค่ฉากสั้นๆ ไม่ต่อเนื่อง กำลังบู๊อยู่ดีๆ ก็ตัดไปอีกฉาก ทำให้อารมณ์ค้างไปมิใช่น้อย ผิดกับฉากบู๊ใน Winter Soldier เมื่อถึงฉากบู๊ จะปล่อยฉากบู๊ยาว อัดกันให้ถึงใจแต่ก็ไม่ยาวเกินไปถึงขั้นเยิ่นเย้อ
จุดเด่นในหนังของมาร์เวลทุกเรื่องคือ มุกตลก แต่เนื่องจากหนังเล่นประเด็นดราม่าและมืดมน ทำให้มุกตลกในหนังเรื่องนี้น้อยกว่าหนังหลายเรื่องก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องปล่อยมุก มันก็ยังทำให้ผู้ชมฮาได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะมุกที่เกี่ยวกับค้อนธอร์ ซึ่งเล่นบ่อยมากในหนังเรื่องนี้
Joss Whedon ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า หนังในการตัดต่อแรกยาวถึง สามชั่วโมงครึ่ง นั้นเป็นเครื่องการันตีว่า ตัวผู้กำกับมีประเด็นยิบย่อยมากมายที่ต้องการจะใส่ลงไปในหนังเรื่องนี้ แต่เมื่อทางสตูดิโอไม่อนุมัติให้ใช้เวลาขนาดน้ันได้ ประเด็นต่างๆในหนังที่ตัดต่อใหม่จึงถูกรวบรัด ทำให้ตัวหนังขาดๆเกินๆและไม่สุดสักทาง เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าชอบบทความอยากติดตามข่าวสาร กดไลท์เพจได้ที่
https://www.facebook.com/eyeonsilversheet
[CR] [Review] Avengers: Age of Ultron : น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น Age of Avenger
หนังรวมซุปเปอร์ฮีโร่ในเครือมาร์เวล ที่ขนนักแสดงออกมาอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ชนิดที่เรียกว่าโปสเตอร์หนังแทบระเบิด หนังอัดแน่นไปด้วยฉากแอ็คชันและดราม่าของตัวละครแต่ละตัว แต่ดูเหมือนจะมากเกินไปสำหรับหนังยาวแค่สองชั่วโมง
หนังว่าด้วยเรื่องของโทนี่ สตาร์ค (Robert Downey Jr.) ที่ต้องการเตรียมกองทัพสำหรับต่อต้านภัยร้ายที่มาจากอวกาศและจากผู้ก่อการร้ายทั่วโลก โทนี่เริ่มกลัวว่าลำพังแค่กลุ่มอเวนเจอร์คงไม่สามารถชนะในสงครามนี้ โทนี่และบรูซ แบนเนอร์ (Mark Ruffalo) จึงได้สร้างโครงการ "อัลตรอน" (James Spader เป็นผู้ให้เสียง) หุ่นยนต์ที่มีสติปัญญาเหมือนมนุษย์ที่สามารถคิดและวิเคราะห์ได้ด้วยตัวของมันเอง แต่เมื่ออัลตรอนกำเนิดขึ้นมา มันกลับคิดว่ามนุษย์ต่างหากคือตัวสร้างปัญหา อัลตรอนจึงเริ่นแผนการทำลายมนุษย์ให้สิ้น จึงเป็นหน้าที่ของอเวนเจอร์ที่จะหยุดยั้งไม่ให้มันเกิดขึ้น
ถ้าว่ากันที่เส้นเรื่องหลัก หนังก็มีประเด็นน่าสนใจให้เล่น โดยเฉพาะ เรื่องของมนุษย์ว่าแท้จริงแล้วมีประโยชน์หรือมีโทษสำหรับโลกใบนี้ แต่หนังกลับเล่นประเด็นนี้เพียงผิวเผิน อัลตรอน ตัวละครที่ควรจะทำหน้าที่เป็นกระจกและผู้พิพากษามนุษย์ กลายเป็นตัวละครที่เบาโหวง ไม่มีความน่ากลัวหรือความน่าเกรงขามเลยแม้แต่น้อย
ตัวหนังกลับไปให้ความสำคัญกับดราม่าปูมหลังของตัวละครเอก "ทุกตัว" ซึ่งกินเวลาของหนังไปไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะตัวละครที่ไม่มีหนังใหญ่เป็นของตัวเองอย่างแบล็ค วิโดว์ (Scarlett Johansson) ฮอว์คอาย (Jeremy Renner) และ บรูซ แบนเนอร์ เข้าใจว่าผู้กำกับ (Joss Whedon) ต้องการขยายเรื่องราวและความน่าสนใจให้กับตัวละครตัวอื่นบ้าง เผื่อว่าจะสามารถนำมาสร้างเป็นหนังใหญ่ของตัวเองได้ แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือ ความเป็น "Age of Ultron" มันหายไป กลายเป็น "Age of Avenger" เสียมากกว่า
สิ่งที่ผู้เขียนชอบในการเล่าดราม่าตัวละคร คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง บรูซ แบนเนอร์ และ แบล็ค วิโดว์ ที่ทำออกมาได้ น่ารัก เซ็กซี่ และ ซาบซึ้ง ตัวละครทั้งสองตัวมีเคมีที่เข้ากันอย่างน่าประหลาดและคาดไม่ถึง งานนี้ต้องขอชมเชย คนเขียนบท (Joss Whedon) ที่กล้าจับตัวละครสองตัวที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์กันเลยในการ์ตูนให้ออกมาในรูปแบบที่น่าประทับใจ
ตัวละครสามตัวที่ใส่เข้ามา มีเพียงสการ์เลทวิช (Elizabeth Olsen) เท่านั้นที่ดูมีบทบาทต่อเนื้อเรื่องและได้แสดงซีนอารมณ์ในหนัง วิชชัน (Paul Bettany) ยังไม่มีบทบาทในหนังเรื่องนี้ แต่มั่นใจได้ว่าจะมีบทบาทสำคัญในจักรวาลมาร์เวลอย่างแน่นอน ส่วนควิกซิลเวอร์ (Aaron Taylor-Johnson) แทบไม่มีบทบาทอะไรในหนังเลย
หนังยังมีฉากที่ "หาที่มาไม่ได้" เป็นฉากที่สร้างความงงงวยให้แก่ผู้เขียนว่ามาได้อย่างไร เช่น ธอร์ลงบ่อ (บ่อเดียวกับที่เห็นในตัวอย่างหนัง) หรือฉากตอนท้ายที่ "พวกเขา" โผล่มา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าโผล่มาได้อย่างไร
ฉากบู๊ในหนังเรื่องนี้ สวย แต่จังหวะเวลาในการเล่นฉากบู๊ยังไมไ่ด้ ฉากบู๊แต่ละฉาก เป็นแค่ฉากสั้นๆ ไม่ต่อเนื่อง กำลังบู๊อยู่ดีๆ ก็ตัดไปอีกฉาก ทำให้อารมณ์ค้างไปมิใช่น้อย ผิดกับฉากบู๊ใน Winter Soldier เมื่อถึงฉากบู๊ จะปล่อยฉากบู๊ยาว อัดกันให้ถึงใจแต่ก็ไม่ยาวเกินไปถึงขั้นเยิ่นเย้อ
จุดเด่นในหนังของมาร์เวลทุกเรื่องคือ มุกตลก แต่เนื่องจากหนังเล่นประเด็นดราม่าและมืดมน ทำให้มุกตลกในหนังเรื่องนี้น้อยกว่าหนังหลายเรื่องก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด แต่กระนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องปล่อยมุก มันก็ยังทำให้ผู้ชมฮาได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะมุกที่เกี่ยวกับค้อนธอร์ ซึ่งเล่นบ่อยมากในหนังเรื่องนี้
Joss Whedon ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า หนังในการตัดต่อแรกยาวถึง สามชั่วโมงครึ่ง นั้นเป็นเครื่องการันตีว่า ตัวผู้กำกับมีประเด็นยิบย่อยมากมายที่ต้องการจะใส่ลงไปในหนังเรื่องนี้ แต่เมื่อทางสตูดิโอไม่อนุมัติให้ใช้เวลาขนาดน้ันได้ ประเด็นต่างๆในหนังที่ตัดต่อใหม่จึงถูกรวบรัด ทำให้ตัวหนังขาดๆเกินๆและไม่สุดสักทาง เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าชอบบทความอยากติดตามข่าวสาร กดไลท์เพจได้ที่ https://www.facebook.com/eyeonsilversheet