กระทู้นี้ ขอชิล ๆ สักหนึ่งกระทู้นะครับ (ไม่ขอนับว่ามันเป็นบทความละกัน ฮ่าๆๆ) คิดซะว่าเป็นกระทู้เรื่องเล่ากับมุมมองผมที่มีต่อ "
ฟุตบอล" กีฬาที่ผมตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบและก็หลงใหลมันจนถึงปัจจุบัน พอดีไปเจอไฟล์ Word เก่า ๆ ใน Notebook โง่ ๆ ของผม อ่านแล้วขำดี ไม่รู้ว่า ณ ตอนนั้นผมจะเขียนทำไม เขียนเพื่ออะไร แต่มันก็ยังแอบอยู่ในมุมของมันจนวันที่ผมมาเห็นนี่ละครับ .. ขอเชิญรับชม "
ไดอารี่เล็ก ๆ ของเด็กบ้าบอล" ละกันครับ
****
ฟุตบอล : Football
Fall in love : ย้อนกลับไปประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว เด็กกรุงเทพฯ แบกกระเป๋าเป้มอม ๆ เดินเลาะริมถนนจูงมือน้องชายกลับจากโรงเรียนย่านสะพานพุทธ ในมือเต็มไปด้วยขนมลูกกวาดมากมายที่แกะกินไประหว่างทาง คิดแต่เพียงว่า "
วันนี้แม่จะทำอะไรให้กินนะ" .. ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านนั้น เด็กน้อยคนนั้นก็ต้องหยุดดู "กีฬา" ชนิดนึง โดยมีลูกกลม ๆ และมีคนประมาณ 4-5 คนรุมแย่งกันอยู่ บนพื้นปูนซีเมนต์ที่เลอะเทอะเกรอะกรังไปด้วยขี้ดิน ขี้ทราย ขี้ฝุ่น เต็มไปหมด แต่สีหน้าและแววตาของคนเหล่านั้น แสดงถึงความสุขที่ได้ไล่เตะไอลูกกลม ๆ นั้น ซึ่งหมายรู้ภายหลังว่ามันคือ "
ลูกฟุตบอล"
ผมเห็นการเลี้ยง, กระชาก, ส่ง รวมถึงการยิง การแสดงท่าทางดีใจ โอบกอดกันทั้ง ๆ ที่เหงื่อไคลไหลเต็มไปหมดจนแสงยามเย็นส่องกระทบผิวกายเปล่งประกายเป็นเงางาม ดูพวกเขาสนุกสนานกันเหมือนมีการยกโรงมหรสพมาไว้เบื้องหน้า .. เด็กน้อยคนนั้นหยุดยืนดูด้วยความสนุกสนานไปกับการแสดงของเหล่าผู้คนที่กำลังเตะฟุตบอลอยู่เบื้องหน้าด้วยอาการ "
หัวใจพองโต" .. และเด็กน้อยคนนั้นก็ "
ตกหลุมรักฟุตบอล" เข้าอย่างจัง (และกลับบ้านไปโดนแม่ตียับ เพราะ เลิกเรียนตั้งกะ 5 โมงเย็น กลับบ้านเกือบ 2 ทุ่ม 5555+) ที่สำคัญ เด็กคนนั้นคือตัวผมเองเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
Getting to know .. : นับจากวันนั้น ผมเริ่มนำสิ่งที่ได้เห็นไปเผยแพร่กับเหล่าเด็กผู้ชายในห้องเรียน เริ่มมีการประดิษฐ์ "
ลูกฟุตบอล" จาก "
สิ่งของเหลือใช้" (ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากได้รางวัลโนเบลสาขานวัตกรรมมาก 55+) ไม่ว่าจะเป็น กระดาษหนังสือพิมพ์, กระดาษปกคัดลายไทย (ปกอ่อน), ผ้าเช็ดหน้า, ถุงเท้า, เชือกรองเท้า หรือแม้กระทั่งปกสมุดพกก็ตาม .. พวกเรานำมันมาทำการผสมผสานจนกลายเป็นลูกฟุตบอลเล็ก ๆ และก็เตะกันในห้องเรียน จนกลายเป็นกิจวัตรของเด็กผู้ชายห้องเรา
มันเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ผมอยากไปโรงเรียนทุกวันไม่เว้นวันเสาร์ - อาทิตย์ เพราะจะได้เตะกับเพื่อน ๆ แต่พอมาพักหลัง ๆ กระแสที่กำลัง "ฟีเวอร์" ก็ค่อย ๆ จืดจางลงไป เนื่องด้วยเพื่อนในห้องเริ่มบ่นกันว่า "เหนื่อย", "เหงื่อออก", "เหม็นกลิ่นตัว", "เสื้อดำ แม่ด่า" บลา บลา บลา ทำให้ผมถึงกับคอตก ต้องหยุดเลียแผลใจไปเล่นกระต่ายขาเดียว กับ โดดยางกับพวกผู้หญิงอยู่ และไม่ได้สนใจมันอีกเลย ..
Recovery : ช่วงเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ก็ทะลุจะผมขึ้นมาอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ช่วงนั้นช่วยที่บ้านทำงาน พอตกดึกก็จะมานั่งเหงา ๆ หน้าบ้าน ด้วยความที่แม่ไม่ค่อยให้ออกไปพบปะเพื่อนแถวบ้านสักเท่าไหร่ ก็ได้ยินพวกน้า ๆ คุยกันเกี่ยวกับ "
ฟุตบอลโลก" และนั่นเอง ทำให้ผมรู้จัก "
โรแบร์โต้ บาจโจ้" พ่อหนุ่มเปียทองคำ ศูนย์หน้าตัวความหวังของทีมชาติอิตาลี ใน World Cup 1994 ซึ่งเรียนตามตรงว่าผมไม่มีโอกาสได้ดูถ่ายทอดสดหรอก เพราะถ้าจำไม่ผิด มันจะถ่ายเกือบเช้า หรือ เช้าเลย ไหนจะต้องไปเรียน ไหนจะต้องช่วยงานที่บ้าน เลยไม่มีโอกาสได้ดูกับเขา แต่ก็ทำให้ความคลั่งไคล้ฟุตบอลของผมมันเพิ่มทวีคุณขึ้นมาอีกครั้ง
อีกทั้งเพื่อนแถวบ้านเริ่มที่จะ "
หันมาเตะฟุตบอล" อีกครั้ง ซึ่งเป็นในซอยใกล้ ๆ บ้าน ทำให้ผมได้มีโอกาสสวมสตั๊ด "
นันยาง อันลิมิเตด พาวเวอร์ 1994" สีน้ำตาล (ใส่เรียนลูกเสือ) ไปโลดแล่นบนพื้นซีเมนต์ นับเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของผมในฐานะนักเตะอีกครั้ง (55555+)
Mad : หลังจากนั้นผมก็ได้เตะฟุตบอลอย่างสม่ำเสมอ ไล่ระดับไปตั้งแต่ในซอย, สนามดิน, สนามใต้สะพานพุทธ หรือแม้กระทั่งสนามหญ้าในมหาวิทยาลัยย่านนั้น บวกกับการติดตามข่าวสารฟุตบอลซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงซีเกมส์ ครั้งที่ 18 แต่น่าเสียดายที่ไปจัดที่เชียงใหม่ ไม่มีปัญญาไป เลยได้แต่ตามทางโทรทัศน์ ซึ่งครั้งนั้นฟุตบอลทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองซีเกมส์มาได้ และทำให้ผมได้รู้จัก "
ศูนย์หน้าจอมตีลังกา" อย่าง "
ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, นที ทองสุขแก้ว, ตะวัน ศรีปาน (ธชตวัน), กฤษดา เพี้ยนดิษฐ์, เสนาะ โล่งสว่าง, เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์, สุรชัย จตุรภัทรพงศ์, ภานุวัฒน์ ยินผัน, ชูเกียรติ หนูสลุง, วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งซีเกมส์ครั้งนั้น เป็นอะไรที่ผม "
สะใจ" มาก ๆ เมื่อทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองมาครองด้วยการถล่มเวียดนามไปถึง 4-0 (แต่จำไม่ได้ละว่าใครยิงบ้าง - -") มันยิ่งทำให้ผมยิ่งหลงใหลฟุตบอลเข้าไปอีก
ต่อมาไม่นานผมเพิ่งจะมารู้ว่าประเทศไทยก็มีลีกอาชีพกับเขาเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าตอนที่ผมติดตามนั้น จะได้แค่อ่านข่าวใน นสพ. หน้ากีฬา เท่านั้น ไม่ได้ไปติดตามเกาะขอบสนามเหมือนสมัยนี้ มันก็ทำให้ผมยิ่ง "
ฟิน" เข้าไปใหญ่ อีกทั้งเริ่มมีเพื่อนที่มาแนว ๆ เดียวกัน ทุก ๆ เช้าวันหยุดหลังทำงานที่บ้านเรียบร้อย ก็จะออกไปนั่งคุยเรื่องฟุตบอลกับเพื่อนริมคลอง พร้อมโกโก้ กับ ขนมปังปิ้ง อย่างออกรสออกชาติ
Cry : ผมยืนร้องไห้อยู่หน้าบ้านเมื่อได้ทราบข่าวว่า ทีมชาติไทย แพ้ทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ไปด้วยสกอร์ 1-3 ดับฝันการไปฟุตบอลโลกที่ "
ใกล้เคียงที่สุด" ณ ขณะนั้น มันเป็นความรู้สึกแปล๊บ ๆ เจ็บจี๊ด ๆ ยังไงก็ไม่รู้ กับความหวังที่วาดฝันจะได้เห็นนักเตะไทยไปโลดแล่นในระดับนานาชาติ และน่าจะเป็นครั้งเดียวที่ผม "
เสียน้ำตาให้กับเรื่องกีฬา" มันเจ็บซะยิ่งกว่า "
โดนแฟนบอกเลิก" ด้วยซ้ำไป
Grow : นับจากนั้นผมเริ่มเบือนหน้าหนีความทุลักทุเลของฟุตบอลในประเทศ เริ่มไปหันไปเชียร์ทีมจากลีกต่างประเทศ อาทิ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, บลุนเดสลีกา เยอรมัน, กัลโซ เซเรีย อา อิตาลี ฯลฯ หันหลังให้ฟุตบอลไทยอย่างชัดเจน ผมไม่รู้ว่าลีกมันเริ่มไปเท่าไหร่แล้ว นักเตะคนไหนโดดเด่นขึ้นมา หรือแม้แต่กระทั่งทัวร์นาเม้นท์ต่าง ๆ ที่ทีมชาติไทยลงเตะ ผมแสยะยิ้มให้ สบัดหน้าหนี
จนในปี พ.ศ. 2550 ทีมยักษ์ใหญ่จากภาคตะวันออก อย่าง ชลบุรี เอฟซี ก็มาปลุก "
สายเลือดบอลไทย" ของผมให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการเถลิงบัลลังก์แชมป์ไืทยแลนด์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนั้น กับการแจ้งเกิดของ "
เจ้าชายกบ" พิภพ อ่อนโม้ , กุนซือสมองเพชร อย่าง "
มาสเซอร์เด็จ" จเด็จ มีลาภ , ยอดผู้รักษาประตู อย่าง โกสินทร์ หทัยรัตนกุล (สินทวีชัย), โคเน่ โมฮัมเหม็ด และอีกหลาย ๆ คนที่ไม่ได้กล่าวถึง อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่ผมได้ดู "
สโมสรอาชีพของประเทศไทย" เอาชนะ "
สโมสรอาชีพของต่างประเทศ" อย่าง เมลเบิร์น วิคตอรี่ ไปด้วยสกอร์ 3-1 คาสนามศุภฯ ที่ผมเป็นหนึ่งในสักขีพยานไปยืนเย้ว ๆ อยู่ท่ามกลางเหล่า "
ฉลามชลฯ" ที่ตามมาเชียร์ทีมรัก มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง มันทำให้ตื่นเต้น มันเร้าใจ มันไม่รู้จะพูดจะเอ่ย ออกมาอย่างไร ..
เขียนถึงตรงนี้ .. ณ ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ มันเป็นเวลากลางคืน ในวันข้างขึ้นที่แสงจันทร์สาดประกายลงมากระทบโน๊ตบุ๊คเครื่องเล็ก ๆ ที่มันกำลังดำเนินการประมวลผล และถ่ายทอดความรู้สึกผมลงไปใน Memory ของมัน .. เรื่องนี้ไม่มีจุดจบ มันเป็นแค่ประโยคบอกเล่า บอกเล่าถึงเด็กคนนึงที่เติบโตขึ้นมากับสิ่งที่เขารัก .. สิ่ง ๆ นั้นคือ "
ฟุตบอล" .. และแม้ผมจะค้นหาตอนจบ หรือ พยายามที่จะเขียนต่ออย่างไรก็ตาม เชื่อเถอะ ว่าต่อจากนั้นว่าผมไม่สามารถเขียนต่อจากนั้นได้ เพราะคุณจะได้เห็นผมเล่าถึงบทปัจจุบัน บทปัจจุบันที่ตัวผมในอนาคตยืนอยู่ อาจจะเป็นวันที่ ฟุตบอลไทย ไปฟุตบอลโลกแล้วก็ได้ .. อยากเห็นการพัฒนา และหวังว่ามันจะพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป หวังว่า "
สิ่งที่ผมเขียนใต้แสงจันทร์ มันจะทำให้ฝันของเด็กผู้ชายคนนึงไปถึงดวงดาว" ได้ในสักวันนะครับ
****
ฮาไหมครับ? ฮาสินะ 5555+ สำนวนเขียนแบบที่ใช้จุดเยอะ ๆ นี่ มันคงเป็นนิสัยติดตัวไปละ นั่นคือ เรื่องราวเล็ก ๆ ของผมที่เพิ่งเปิดเจอวันนี้ ผม Copy ลงมาให้อ่านกันเล่น ๆ ชิล ๆ ครับ ไม่มีเหตุผลอะไร กันเซ็ง กันเบื่อ เพราะผมไม่รู้จะเขียนบทความอะไรดี ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี มันยังไม่มีอะไรที่ "แว๊บ" เข้ามาแล้วทำให้ผมสนใจเลย เอางานเขียนเล็ก ๆ ในมุมมืด ๆ ที่อยากให้ผลลัพธ์มัน "
สว่างไสว" มาให้ชมกัน ต่อว่าต่อขานติชม ได้เลยนะครับ
ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ปอปฏิเวธ
ผมเขียนใต้แสงจันทร์ เพื่อให้ฝันไปถึงดวงดาว : ไดอารี่เล็ก ๆ ของเด็กบ้าบอล
ฟุตบอล : Football
Fall in love : ย้อนกลับไปประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว เด็กกรุงเทพฯ แบกกระเป๋าเป้มอม ๆ เดินเลาะริมถนนจูงมือน้องชายกลับจากโรงเรียนย่านสะพานพุทธ ในมือเต็มไปด้วยขนมลูกกวาดมากมายที่แกะกินไประหว่างทาง คิดแต่เพียงว่า "วันนี้แม่จะทำอะไรให้กินนะ" .. ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านนั้น เด็กน้อยคนนั้นก็ต้องหยุดดู "กีฬา" ชนิดนึง โดยมีลูกกลม ๆ และมีคนประมาณ 4-5 คนรุมแย่งกันอยู่ บนพื้นปูนซีเมนต์ที่เลอะเทอะเกรอะกรังไปด้วยขี้ดิน ขี้ทราย ขี้ฝุ่น เต็มไปหมด แต่สีหน้าและแววตาของคนเหล่านั้น แสดงถึงความสุขที่ได้ไล่เตะไอลูกกลม ๆ นั้น ซึ่งหมายรู้ภายหลังว่ามันคือ "ลูกฟุตบอล"
ผมเห็นการเลี้ยง, กระชาก, ส่ง รวมถึงการยิง การแสดงท่าทางดีใจ โอบกอดกันทั้ง ๆ ที่เหงื่อไคลไหลเต็มไปหมดจนแสงยามเย็นส่องกระทบผิวกายเปล่งประกายเป็นเงางาม ดูพวกเขาสนุกสนานกันเหมือนมีการยกโรงมหรสพมาไว้เบื้องหน้า .. เด็กน้อยคนนั้นหยุดยืนดูด้วยความสนุกสนานไปกับการแสดงของเหล่าผู้คนที่กำลังเตะฟุตบอลอยู่เบื้องหน้าด้วยอาการ "หัวใจพองโต" .. และเด็กน้อยคนนั้นก็ "ตกหลุมรักฟุตบอล" เข้าอย่างจัง (และกลับบ้านไปโดนแม่ตียับ เพราะ เลิกเรียนตั้งกะ 5 โมงเย็น กลับบ้านเกือบ 2 ทุ่ม 5555+) ที่สำคัญ เด็กคนนั้นคือตัวผมเองเมื่อ 10 กว่าปีก่อน
Getting to know .. : นับจากวันนั้น ผมเริ่มนำสิ่งที่ได้เห็นไปเผยแพร่กับเหล่าเด็กผู้ชายในห้องเรียน เริ่มมีการประดิษฐ์ "ลูกฟุตบอล" จาก "สิ่งของเหลือใช้" (ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากได้รางวัลโนเบลสาขานวัตกรรมมาก 55+) ไม่ว่าจะเป็น กระดาษหนังสือพิมพ์, กระดาษปกคัดลายไทย (ปกอ่อน), ผ้าเช็ดหน้า, ถุงเท้า, เชือกรองเท้า หรือแม้กระทั่งปกสมุดพกก็ตาม .. พวกเรานำมันมาทำการผสมผสานจนกลายเป็นลูกฟุตบอลเล็ก ๆ และก็เตะกันในห้องเรียน จนกลายเป็นกิจวัตรของเด็กผู้ชายห้องเรา
มันเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ผมอยากไปโรงเรียนทุกวันไม่เว้นวันเสาร์ - อาทิตย์ เพราะจะได้เตะกับเพื่อน ๆ แต่พอมาพักหลัง ๆ กระแสที่กำลัง "ฟีเวอร์" ก็ค่อย ๆ จืดจางลงไป เนื่องด้วยเพื่อนในห้องเริ่มบ่นกันว่า "เหนื่อย", "เหงื่อออก", "เหม็นกลิ่นตัว", "เสื้อดำ แม่ด่า" บลา บลา บลา ทำให้ผมถึงกับคอตก ต้องหยุดเลียแผลใจไปเล่นกระต่ายขาเดียว กับ โดดยางกับพวกผู้หญิงอยู่ และไม่ได้สนใจมันอีกเลย ..
Recovery : ช่วงเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ก็ทะลุจะผมขึ้นมาอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ช่วงนั้นช่วยที่บ้านทำงาน พอตกดึกก็จะมานั่งเหงา ๆ หน้าบ้าน ด้วยความที่แม่ไม่ค่อยให้ออกไปพบปะเพื่อนแถวบ้านสักเท่าไหร่ ก็ได้ยินพวกน้า ๆ คุยกันเกี่ยวกับ "ฟุตบอลโลก" และนั่นเอง ทำให้ผมรู้จัก "โรแบร์โต้ บาจโจ้" พ่อหนุ่มเปียทองคำ ศูนย์หน้าตัวความหวังของทีมชาติอิตาลี ใน World Cup 1994 ซึ่งเรียนตามตรงว่าผมไม่มีโอกาสได้ดูถ่ายทอดสดหรอก เพราะถ้าจำไม่ผิด มันจะถ่ายเกือบเช้า หรือ เช้าเลย ไหนจะต้องไปเรียน ไหนจะต้องช่วยงานที่บ้าน เลยไม่มีโอกาสได้ดูกับเขา แต่ก็ทำให้ความคลั่งไคล้ฟุตบอลของผมมันเพิ่มทวีคุณขึ้นมาอีกครั้ง
อีกทั้งเพื่อนแถวบ้านเริ่มที่จะ "หันมาเตะฟุตบอล" อีกครั้ง ซึ่งเป็นในซอยใกล้ ๆ บ้าน ทำให้ผมได้มีโอกาสสวมสตั๊ด "นันยาง อันลิมิเตด พาวเวอร์ 1994" สีน้ำตาล (ใส่เรียนลูกเสือ) ไปโลดแล่นบนพื้นซีเมนต์ นับเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของผมในฐานะนักเตะอีกครั้ง (55555+)
Mad : หลังจากนั้นผมก็ได้เตะฟุตบอลอย่างสม่ำเสมอ ไล่ระดับไปตั้งแต่ในซอย, สนามดิน, สนามใต้สะพานพุทธ หรือแม้กระทั่งสนามหญ้าในมหาวิทยาลัยย่านนั้น บวกกับการติดตามข่าวสารฟุตบอลซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงซีเกมส์ ครั้งที่ 18 แต่น่าเสียดายที่ไปจัดที่เชียงใหม่ ไม่มีปัญญาไป เลยได้แต่ตามทางโทรทัศน์ ซึ่งครั้งนั้นฟุตบอลทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองซีเกมส์มาได้ และทำให้ผมได้รู้จัก "ศูนย์หน้าจอมตีลังกา" อย่าง "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, นที ทองสุขแก้ว, ตะวัน ศรีปาน (ธชตวัน), กฤษดา เพี้ยนดิษฐ์, เสนาะ โล่งสว่าง, เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์, สุรชัย จตุรภัทรพงศ์, ภานุวัฒน์ ยินผัน, ชูเกียรติ หนูสลุง, วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งซีเกมส์ครั้งนั้น เป็นอะไรที่ผม "สะใจ" มาก ๆ เมื่อทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองมาครองด้วยการถล่มเวียดนามไปถึง 4-0 (แต่จำไม่ได้ละว่าใครยิงบ้าง - -") มันยิ่งทำให้ผมยิ่งหลงใหลฟุตบอลเข้าไปอีก
ต่อมาไม่นานผมเพิ่งจะมารู้ว่าประเทศไทยก็มีลีกอาชีพกับเขาเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าตอนที่ผมติดตามนั้น จะได้แค่อ่านข่าวใน นสพ. หน้ากีฬา เท่านั้น ไม่ได้ไปติดตามเกาะขอบสนามเหมือนสมัยนี้ มันก็ทำให้ผมยิ่ง "ฟิน" เข้าไปใหญ่ อีกทั้งเริ่มมีเพื่อนที่มาแนว ๆ เดียวกัน ทุก ๆ เช้าวันหยุดหลังทำงานที่บ้านเรียบร้อย ก็จะออกไปนั่งคุยเรื่องฟุตบอลกับเพื่อนริมคลอง พร้อมโกโก้ กับ ขนมปังปิ้ง อย่างออกรสออกชาติ
Cry : ผมยืนร้องไห้อยู่หน้าบ้านเมื่อได้ทราบข่าวว่า ทีมชาติไทย แพ้ทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ไปด้วยสกอร์ 1-3 ดับฝันการไปฟุตบอลโลกที่ "ใกล้เคียงที่สุด" ณ ขณะนั้น มันเป็นความรู้สึกแปล๊บ ๆ เจ็บจี๊ด ๆ ยังไงก็ไม่รู้ กับความหวังที่วาดฝันจะได้เห็นนักเตะไทยไปโลดแล่นในระดับนานาชาติ และน่าจะเป็นครั้งเดียวที่ผม "เสียน้ำตาให้กับเรื่องกีฬา" มันเจ็บซะยิ่งกว่า "โดนแฟนบอกเลิก" ด้วยซ้ำไป
Grow : นับจากนั้นผมเริ่มเบือนหน้าหนีความทุลักทุเลของฟุตบอลในประเทศ เริ่มไปหันไปเชียร์ทีมจากลีกต่างประเทศ อาทิ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, บลุนเดสลีกา เยอรมัน, กัลโซ เซเรีย อา อิตาลี ฯลฯ หันหลังให้ฟุตบอลไทยอย่างชัดเจน ผมไม่รู้ว่าลีกมันเริ่มไปเท่าไหร่แล้ว นักเตะคนไหนโดดเด่นขึ้นมา หรือแม้แต่กระทั่งทัวร์นาเม้นท์ต่าง ๆ ที่ทีมชาติไทยลงเตะ ผมแสยะยิ้มให้ สบัดหน้าหนี
จนในปี พ.ศ. 2550 ทีมยักษ์ใหญ่จากภาคตะวันออก อย่าง ชลบุรี เอฟซี ก็มาปลุก "สายเลือดบอลไทย" ของผมให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการเถลิงบัลลังก์แชมป์ไืทยแลนด์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนั้น กับการแจ้งเกิดของ "เจ้าชายกบ" พิภพ อ่อนโม้ , กุนซือสมองเพชร อย่าง "มาสเซอร์เด็จ" จเด็จ มีลาภ , ยอดผู้รักษาประตู อย่าง โกสินทร์ หทัยรัตนกุล (สินทวีชัย), โคเน่ โมฮัมเหม็ด และอีกหลาย ๆ คนที่ไม่ได้กล่าวถึง อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่ผมได้ดู "สโมสรอาชีพของประเทศไทย" เอาชนะ "สโมสรอาชีพของต่างประเทศ" อย่าง เมลเบิร์น วิคตอรี่ ไปด้วยสกอร์ 3-1 คาสนามศุภฯ ที่ผมเป็นหนึ่งในสักขีพยานไปยืนเย้ว ๆ อยู่ท่ามกลางเหล่า "ฉลามชลฯ" ที่ตามมาเชียร์ทีมรัก มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง มันทำให้ตื่นเต้น มันเร้าใจ มันไม่รู้จะพูดจะเอ่ย ออกมาอย่างไร ..
เขียนถึงตรงนี้ .. ณ ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ มันเป็นเวลากลางคืน ในวันข้างขึ้นที่แสงจันทร์สาดประกายลงมากระทบโน๊ตบุ๊คเครื่องเล็ก ๆ ที่มันกำลังดำเนินการประมวลผล และถ่ายทอดความรู้สึกผมลงไปใน Memory ของมัน .. เรื่องนี้ไม่มีจุดจบ มันเป็นแค่ประโยคบอกเล่า บอกเล่าถึงเด็กคนนึงที่เติบโตขึ้นมากับสิ่งที่เขารัก .. สิ่ง ๆ นั้นคือ "ฟุตบอล" .. และแม้ผมจะค้นหาตอนจบ หรือ พยายามที่จะเขียนต่ออย่างไรก็ตาม เชื่อเถอะ ว่าต่อจากนั้นว่าผมไม่สามารถเขียนต่อจากนั้นได้ เพราะคุณจะได้เห็นผมเล่าถึงบทปัจจุบัน บทปัจจุบันที่ตัวผมในอนาคตยืนอยู่ อาจจะเป็นวันที่ ฟุตบอลไทย ไปฟุตบอลโลกแล้วก็ได้ .. อยากเห็นการพัฒนา และหวังว่ามันจะพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป หวังว่า "สิ่งที่ผมเขียนใต้แสงจันทร์ มันจะทำให้ฝันของเด็กผู้ชายคนนึงไปถึงดวงดาว" ได้ในสักวันนะครับ
ฮาไหมครับ? ฮาสินะ 5555+ สำนวนเขียนแบบที่ใช้จุดเยอะ ๆ นี่ มันคงเป็นนิสัยติดตัวไปละ นั่นคือ เรื่องราวเล็ก ๆ ของผมที่เพิ่งเปิดเจอวันนี้ ผม Copy ลงมาให้อ่านกันเล่น ๆ ชิล ๆ ครับ ไม่มีเหตุผลอะไร กันเซ็ง กันเบื่อ เพราะผมไม่รู้จะเขียนบทความอะไรดี ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี มันยังไม่มีอะไรที่ "แว๊บ" เข้ามาแล้วทำให้ผมสนใจเลย เอางานเขียนเล็ก ๆ ในมุมมืด ๆ ที่อยากให้ผลลัพธ์มัน "สว่างไสว" มาให้ชมกัน ต่อว่าต่อขานติชม ได้เลยนะครับ
ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ปอปฏิเวธ