พอดีผมได้รับฟังข้อมูล
เรื่องดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นำเสนอข้อมูลบทความที่ชมว่า เขียนได้ดี นับถือ
ในกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/33581213
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมอ่านดูแล้ว
ก็บอกได้ทันทีว่า
คนเขียนบทความนี้
ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของวัด และ ของพระสงฆ์
เป็นการจับแพะมาชนแกะ เข้าทำนอง ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด
เพราะความไม่รู้ไม่เห็นไม่สงสัยของผู้เขียนบทความนั่นเอง
ความไม่รู้ไม่เห็นไม่สงสัยดังกล่าว
จึงเป็นการโจทหรือหาเลสโจทกล่าวโทษพระและวัดโดยไม่มีมูล
ตามหลักพระวินัยหมวดสังฆาทิเสสข้อที่ ๘ และ ๙
ความไม่รู้ไม่เห็นของผู้เขียนบทความมีอยู่ ๒ เรื่องทั้งที่กำลังเป็นกระแส
หนึ่งคือ ไม่รู้ไม่เห็นว่า มีวัดหรือพระสงฆ์รูปใดบริจาคช่วยประเทศเนปาลที่เกิดแผ่นดินไหว
ทั้งที่มีสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาคือ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
ที่ชาวพุทธทั้งพระสงฆ์และฆราวาสไปแสวงบุญตั้งอยู่
สองคือ ไม่รู้ไม่เห็นว่า มีวัดหรือพระสงฆ์รูปใดบริจาคช่วยประเทศไทยเราเมื่อคราวเกิดน้ำท่วมใหญ่ครั้งที่ผ่านมา
ทั้งสองเรื่องที่ผู้เขียนบทความนี้ยกขึ้นอ้างมา
ผมเห็นว่าเป็นเรื่องจับแพะชนแกะและเป็นการโจทหรือหาเลสโจทพระและวัดโดยไม่มีมูล
และดร.เจิมศักดิ์ผู้นำบทความนี้มาเผยแพร่ต่อและชมว่า เขียนได้ดี นับถือๆ
จึงกลายเป็นผู้เชื่อในมงคลตื่นข่าว ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อต้องห้ามตามคุณสมบัติของอุบาสกในพระพุทธศาสนา
เหตุผลที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องจับแพะชนแกะและเป็นการโจทหรือหาเลสโจทพระและวัดโดยไม่มีมูลนั้น
ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีวัดหลายวัดและพระหลายรูป
ตั้งแต่ระดับสูงสุดคือ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ได้บริจาคช่วยเหลือ และ สั่งการให้พระธรรมทูตไทยประจำประเทศอินเดียเนปาล
เข้าช่วยเหลือประเทศเนปาลทันทีที่ได้รู้ข่าว จะว่าไปแล้ว เร็วกว่าทางภาครัฐหรือหน่วยงานเอกชนหลายแห่งด้วยซ้ำ
หลักฐานตามภาพ และ ข้อมูล ดังต่อไปนี้
มหาเถรสมาคม คณะสงฆ์ และ สนง.พระธรรมทูต ตั้งศูนย์ช่วยเหลือ วันที่ ๒๕ เม.ย. ๕๘
สาส์นแสดงความเสียใจและให้กำลังใจ ของสมเด็จผู้ปฏิหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
พระธรรมทูตสายต่างประเทศ สหรัฐอเมริกาและยุโรป ระดมทุนช่วย
พระธรรมทูตสายต่างประเทศอินเดีย-เนปาล ระดมทุนช่วย
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=804752899606062&id=367420510005972
และที่น่าคิดก็คือ สถานที่เกิดแผ่นดินไหว ก็ไม่ใช่ลุมพินี สถานที่ประสูติแต่อย่างใด
นั่นหมายความว่า การยกอ้างเรื่องสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนามาเพื่อด่าพระด่าวัดด่าชาวพุทธไทยที่ไปแสวงบุญ ณ สถานที่ดังกล่าว จึงไม่ใช่เหตุผลที่ฟังขึ้นแต่อย่างใด
ถ้าจะถามถึงด้วยเหตุผลนี้ สมควรต้องถามถึงทุกกลุ่มคนหรือทุกหน่วยงานที่เคยไปเที่ยวสถานที่เกิดแผ่นดินไหว จึงจะถูกต้องมากกว่า
แต่ผู้เขียนบทความนี้ กลับเขียนเจาะจงเฉพาะวัดเฉพาะพระเฉพาะชาวพุทธอย่างเดียว
จึงเป็นเพียงอคติ ที่ปราศจากเหตุผลรองรับอย่างสิ้นเชิง
สำหรับกรณีการช่วยน้ำท่วมที่ผ่านมานั้น
หากไม่หูหนวกตาบอด
เราท่านก็คงได้ทราบว่า วัดและพระสงฆ์ได้ช่วยกันอย่างเต็มที่
และเหตุผลที่ผมบอกว่า ดร.เจิมศักดิ์ผู้นำบทความนี้มาเผยแพร่ต่อและชมว่า เขียนได้ดี นับถือๆ
จึงกลายเป็นผู้เชื่อในมงคลตื่นข่าว ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อต้องห้ามตามคุณสมบัติของอุบาสกในพระพุทธศาสนา นั้น
ในเมื่อบทความดังกล่าว เป็นเพียงอคติ ที่ปราศจากเหตุผลรองรับอย่างสิ้นเชิง
ผู้ที่นำมาเผยแพร่และนับถือเห็นด้วย ย่อมต้องมีอุปนิสัยเหมือนหรือใกล้เคียงกัน
นั่นคือ ไม่ได้สอบทานถึงที่มาที่ไปของบทความ
ไม่ได้ใช้ตรรกะหลักเหตุผลตามควร
และที่สำคัญ ไม่มีการแยกแยะให้สมกับที่ตนเอง เป็นนักวิชาการ และ ชาวพุทธ
ย่อมกลายเป็นเพียงพวกเชื่อมงคลตื่นข่าว ดิ้นและพลิกตามกระแสไปวันๆ
ย่อมกลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือไปในที่สุด
ทัศนคติการคิดและนับถือแบบนี้ของดร.เจิมศักดิ์
จึงไม่ใช่ทัศนคติที่พูดคิดและทำด้วยความปรารถนาดีต่อชาวพุทธ ตามหลักสัปปุริสธรรม ๗
การปฏิรูปใดๆที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธของดร.เจิมศักดิ์และคณะ
จึงน่าเชื่อได้ว่า ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญงอกงามของพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด
ควรแล้วหรือ ที่จะให้บุคคลที่มีความคิดเพียงยึดกระแสสังคม
มาเป็นหลักในการปฏิรูปพระพุทธศาสนา
ซึ่งต้องอาศัยบุคคลที่ยึดหลัก ไม่หวั่นไปตามกระแสเหมือนภูเขาศิลาแท่งทึบไม่หวั่นกับแรงลม
และท้ายสุดควรแล้วหรือ ที่จะปล่อยให้ปรัปวาทของผู้มีความปรารถนาลามกเช่นนี้
มาเกี่ยวข้อง กำกับ ดูแล พระพุทธศาสนาอีกต่อไป
ดร. เจิมศักดิ์ กับ การเชื่อมงคลตื่นข่าว และความน่าเชื่อถือที่เหลือศูนย์
เรื่องดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นำเสนอข้อมูลบทความที่ชมว่า เขียนได้ดี นับถือ
ในกระทู้นี้ http://ppantip.com/topic/33581213
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมอ่านดูแล้ว
ก็บอกได้ทันทีว่า คนเขียนบทความนี้
ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของวัด และ ของพระสงฆ์
เป็นการจับแพะมาชนแกะ เข้าทำนอง ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด
เพราะความไม่รู้ไม่เห็นไม่สงสัยของผู้เขียนบทความนั่นเอง
ความไม่รู้ไม่เห็นไม่สงสัยดังกล่าว
จึงเป็นการโจทหรือหาเลสโจทกล่าวโทษพระและวัดโดยไม่มีมูล
ตามหลักพระวินัยหมวดสังฆาทิเสสข้อที่ ๘ และ ๙
ความไม่รู้ไม่เห็นของผู้เขียนบทความมีอยู่ ๒ เรื่องทั้งที่กำลังเป็นกระแส
หนึ่งคือ ไม่รู้ไม่เห็นว่า มีวัดหรือพระสงฆ์รูปใดบริจาคช่วยประเทศเนปาลที่เกิดแผ่นดินไหว
ทั้งที่มีสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาคือ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
ที่ชาวพุทธทั้งพระสงฆ์และฆราวาสไปแสวงบุญตั้งอยู่
สองคือ ไม่รู้ไม่เห็นว่า มีวัดหรือพระสงฆ์รูปใดบริจาคช่วยประเทศไทยเราเมื่อคราวเกิดน้ำท่วมใหญ่ครั้งที่ผ่านมา
ทั้งสองเรื่องที่ผู้เขียนบทความนี้ยกขึ้นอ้างมา
ผมเห็นว่าเป็นเรื่องจับแพะชนแกะและเป็นการโจทหรือหาเลสโจทพระและวัดโดยไม่มีมูล
และดร.เจิมศักดิ์ผู้นำบทความนี้มาเผยแพร่ต่อและชมว่า เขียนได้ดี นับถือๆ
จึงกลายเป็นผู้เชื่อในมงคลตื่นข่าว ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อต้องห้ามตามคุณสมบัติของอุบาสกในพระพุทธศาสนา
เหตุผลที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องจับแพะชนแกะและเป็นการโจทหรือหาเลสโจทพระและวัดโดยไม่มีมูลนั้น
ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีวัดหลายวัดและพระหลายรูป
ตั้งแต่ระดับสูงสุดคือ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ได้บริจาคช่วยเหลือ และ สั่งการให้พระธรรมทูตไทยประจำประเทศอินเดียเนปาล
เข้าช่วยเหลือประเทศเนปาลทันทีที่ได้รู้ข่าว จะว่าไปแล้ว เร็วกว่าทางภาครัฐหรือหน่วยงานเอกชนหลายแห่งด้วยซ้ำ
หลักฐานตามภาพ และ ข้อมูล ดังต่อไปนี้
มหาเถรสมาคม คณะสงฆ์ และ สนง.พระธรรมทูต ตั้งศูนย์ช่วยเหลือ วันที่ ๒๕ เม.ย. ๕๘
สาส์นแสดงความเสียใจและให้กำลังใจ ของสมเด็จผู้ปฏิหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
พระธรรมทูตสายต่างประเทศ สหรัฐอเมริกาและยุโรป ระดมทุนช่วย
พระธรรมทูตสายต่างประเทศอินเดีย-เนปาล ระดมทุนช่วย
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=804752899606062&id=367420510005972
และที่น่าคิดก็คือ สถานที่เกิดแผ่นดินไหว ก็ไม่ใช่ลุมพินี สถานที่ประสูติแต่อย่างใด
นั่นหมายความว่า การยกอ้างเรื่องสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนามาเพื่อด่าพระด่าวัดด่าชาวพุทธไทยที่ไปแสวงบุญ ณ สถานที่ดังกล่าว จึงไม่ใช่เหตุผลที่ฟังขึ้นแต่อย่างใด
ถ้าจะถามถึงด้วยเหตุผลนี้ สมควรต้องถามถึงทุกกลุ่มคนหรือทุกหน่วยงานที่เคยไปเที่ยวสถานที่เกิดแผ่นดินไหว จึงจะถูกต้องมากกว่า
แต่ผู้เขียนบทความนี้ กลับเขียนเจาะจงเฉพาะวัดเฉพาะพระเฉพาะชาวพุทธอย่างเดียว
จึงเป็นเพียงอคติ ที่ปราศจากเหตุผลรองรับอย่างสิ้นเชิง
สำหรับกรณีการช่วยน้ำท่วมที่ผ่านมานั้น
หากไม่หูหนวกตาบอด
เราท่านก็คงได้ทราบว่า วัดและพระสงฆ์ได้ช่วยกันอย่างเต็มที่
และเหตุผลที่ผมบอกว่า ดร.เจิมศักดิ์ผู้นำบทความนี้มาเผยแพร่ต่อและชมว่า เขียนได้ดี นับถือๆ
จึงกลายเป็นผู้เชื่อในมงคลตื่นข่าว ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อต้องห้ามตามคุณสมบัติของอุบาสกในพระพุทธศาสนา นั้น
ในเมื่อบทความดังกล่าว เป็นเพียงอคติ ที่ปราศจากเหตุผลรองรับอย่างสิ้นเชิง
ผู้ที่นำมาเผยแพร่และนับถือเห็นด้วย ย่อมต้องมีอุปนิสัยเหมือนหรือใกล้เคียงกัน
นั่นคือ ไม่ได้สอบทานถึงที่มาที่ไปของบทความ
ไม่ได้ใช้ตรรกะหลักเหตุผลตามควร
และที่สำคัญ ไม่มีการแยกแยะให้สมกับที่ตนเอง เป็นนักวิชาการ และ ชาวพุทธ
ย่อมกลายเป็นเพียงพวกเชื่อมงคลตื่นข่าว ดิ้นและพลิกตามกระแสไปวันๆ
ย่อมกลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือไปในที่สุด
ทัศนคติการคิดและนับถือแบบนี้ของดร.เจิมศักดิ์
จึงไม่ใช่ทัศนคติที่พูดคิดและทำด้วยความปรารถนาดีต่อชาวพุทธ ตามหลักสัปปุริสธรรม ๗
การปฏิรูปใดๆที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธของดร.เจิมศักดิ์และคณะ
จึงน่าเชื่อได้ว่า ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญงอกงามของพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด
ควรแล้วหรือ ที่จะให้บุคคลที่มีความคิดเพียงยึดกระแสสังคม
มาเป็นหลักในการปฏิรูปพระพุทธศาสนา
ซึ่งต้องอาศัยบุคคลที่ยึดหลัก ไม่หวั่นไปตามกระแสเหมือนภูเขาศิลาแท่งทึบไม่หวั่นกับแรงลม
และท้ายสุดควรแล้วหรือ ที่จะปล่อยให้ปรัปวาทของผู้มีความปรารถนาลามกเช่นนี้
มาเกี่ยวข้อง กำกับ ดูแล พระพุทธศาสนาอีกต่อไป