เรื่องราวของ Wilson Fisk :  วิลสันเป็นเด็กชายรูปร่างตุ้ยนุ้ย เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของ Bill Fisk และ Vistain Fisk บิลพ่อของวิลสันนั้นลงสมัครสมาชิกสภาของเมือง Hell’s Kitchen เพื่อหวังจะให้ครอบครับมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

บิลไปกู้เงินมาเฟียมาเพื่อเป็นทุนในการหาเสียง แต่สุดท้ายบิลก็แพ้การเลือกตั้ง เด็กแถวบ้านล้อวิลสันเรื่องพ่อขี้แพ้และปลดป้ายหาเสียงของบิลออก วิลสันจึงทะเลาะกับเด็กคนนั้น และโดนเด็กคนนั้นรังแกกลับบ้านมา บิลจึงพาวิลสันไปซ้อมเด็กคนนั้น และสอนให้วิลสันใช้ความรุนแรง



พอกลับมาบ้าน บิลสั่งให้วิลสันนั่งจ้องผนังปูนสีขาว และให้นึกถึงสิ่งที่ตนเองอยากได้ ขณะที่บิลกำลังจะออกไปตกลงกับกลุ่มมาเฟียเรื่องเงินที่กู้มา บิลก็มีปากเสียงกับวิสเทน และทุบตีเธอ วิลสันต้องการปกป้องแม่ จึงใช้ฆ้อนฟาดลงไปที่หัวของบิลพ่อของเขา บิลนั้นค่อยๆทรุดลงไปนอนกองกับพื้น แต่วิลสันก็ยังใช้ฆ้อนทุบหัวพ่อตัวเองต่ออย่างไม่หยุด บิลนั้นสมองเละตายสนิทแน่นอน



วิสเทนแม่ของวิลสันช่วยลูกชายปกปิดเรื่องฆาตกรรมนี้ โดยการหั่นศพของบิล และค่อยๆเอาไปทิ้งทีละชิ้นทุกอาทิตย์ ไม่มีใครสงสัยที่บิลหายไป ทางมาเฟียก็คิดว่าบิลหนีหนี้ คนทั่วไปและตำรวจก็คิดว่าบิลอาจจะโดนมาเฟียเก็บ เมื่อเรื่องเริ่มเงียบลง วิสเทนก็ส่งวิลสันไปอยู่กับญาติในฟาร์มอันห่างไกล และเธอก็แต่งงานใหม่อีกสองครั้ง เมื่อวิลสันโตเป็นหนุ่ม เค้าก็กลับมาที่เฮลคิชเช่น และเริ่มขยายอิทธิพลมืด ครอบงำเฮลคิชเช่นทีละน้อยๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เรื่องราวของ Matthew Murdock : แม่ของแมตทิ้งไปตั้งแต่เขายังเด็ก แมตจึงมีบิดาเพียงคนเดียวคือ Jack Murdock ซึ่งเป็นนักมวยมีชื่อเสียงปานกลางในย่านเฮลคิชเช่น ขณะแมตอายุได้ 9 ขวบ แมตก็ประสบอุบัติเหตุ จากการที่เขาไปช่วยชายคนนึงไม่ให้ถูกรถชน แมตผลักชายคนนั้นหลบรถและตัวเขาก็ล้ม รถคันนั้นเสียหลักไปชนกับรถบรรทุกสารเคมีอันตราย และรถบรรทุกคันนั้นก็พลิกคว่ำ สารเคมีบนรถบรรทุกรั่วไหลมาสาดเข้าไปบริเวณดวงตาทั้งสองข้างของแมต ทำให้แมตตาบอดสนิทนับแต่นั้นเป็นต้นมา



แต่แมตนั้นก็ได้ความสามารถพิเศษกลับมา จากการสูญเสียการมองเห็นในครั้งนี้ นั้นคือประสาทการรับรู้แทบทุกชนิดของแมตนั้นเพิ่มขึ้น ทำให้แมตนั้นทนการรับรู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายนี้แทบไม่ไหว แต่แมตก็ไม่เคยบอกพ่อของเขาเลย เหตุการณ์ผ่านมาได้หลายเดือน แมตเริ่มเรียนรู้อักษรเบล และเริ่มเรียนรู้ประสาทสัมผัสที่เพิ่มขึ้นด้วย

วันหนึ่ง แจ็คพ่อของแมตก็ได้รับแจ้งจากมาเฟียที่จัดชกมวย ว่าสามารถให้แจ็คชกกับนักมวยที่มีชื่อเสียงได้ ซึ่งก็คือ Carl Creel ซึ่งนั่นจะทำให้แจ็คได้ค่าตัวสูงขึ้น และยอดขายบัตรเข้าชมการชกก็จะมากขึ้นด้วย
(ต่อมา คาล ครีล ก็มีพลังดูดซับสิ่งที่สัมผัส และเปลี่ยนร่างกายตนเองเป็นสิ่งนั้น และคาลคือมือสังหารของไฮดร้า ปรากฎในซีรี่ย์ Agents of S.H.I.E.L.D. ซีซั่น 2 ตอนที่1และ2)



แต่การชกครั้งนี้นั้น แจ็คจะต้องล้มมวยตามที่กลุ่มมาเฟียสั่ง แมตนั้นได้ยินทุกอย่างที่มาเฟียบอกพ่อของเขา รวมถึงการล้มมวยด้วย เพราะการได้ยินของแมตนั้นสูงขึ้นนั่นเอง และแจ็คก็รับปากพวกมาเฟียว่าจะล้มมวย แต่หลังจากนั้น แจ็คก็โทรศัพท์ไปแทงพนันฝั่งตนเองว่าจะชนะในการชกครั้งนี้ และแจ็คแทงพนันไว้สูงมาก แจ็คหวังว่า เมื่อการชกจบลง เขาจะได้เงินก้อนโต และจะพาลูกหนีออกจากเฮลคิชเช่นทันทีที่การชกจบ

เมื่อการชกจบลง แจ็คก็ชกชนะคาลได้จริงๆ แจ็ครีบลงมาจากเวที และจะรีบหนี แต่กลุ่มมาเฟียนั้นตามแจ็คมาที่ห้องแต่งตัวทันที และฆ่าแจ็ค ก่อนจะนำศพแจ็คไปโยนทิ้งในตรอกหลังเวทีมวย และแมตก็รีบมาหาพ่อของเขา แต่ก็พบเพียงแต่ศพ



แมต เมอด็อค จึงต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าที่ตาบอด แต่เมอด็อคก็ได้เงินที่พ่อเขาทิ้งไว้ให้ค่อนข้างเยอะมาก จากการแทงพนันการชกครั้งสุดท้ายนั่นเอง เมอด็อคไม่มีญาติทีไหนอีกแล้ว ทางการจึงส่งเมอด็อคไปอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็ก Saint Agnes (เซนท์เแอ๊กเนส เป็นที่อยู่สมัยเด็กของหนูน้อยเดซี่ จอห์นสัน หรือสกาย ลูกสาวของคาลกับเจียหยิงในซีรี่ย์ Agents of S.H.I.E.L.D.)

เมอด็อคอยู่ที่เซนท์แอ๊กเนสได้ซักพัก แม่ชีผู้ดูแลก็เห็นในความผิดปกติของเมอด็อค ว่าไม่ค่อยจะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ดีเท่าที่ควร ด้วยความเป็นห่วง แม่ชีจึงพาชายตาบอดลึกลับคนนึงมาช่วยเหลือแนะแนวทางให้เมอด็อค ชายคนนั้นก็คือ Stick ซึ่งแท้จริงแล้ว สติ๊กเองต้องการมาหาเมอด็อคอยู่แล้ว ถึงแม่ชีจะไม่เชิญมาก็ตาม สติ๊กต้องการรู้ว่าเมอด็อคนั้นมีความสามารถอย่างที่ตนเองคาดไว้หรือไม่ ซึ่งสติ๊กก็คิดไม่ผิด เมอด็อคนั้นมีประสาทรับรู้เหนือมนุษย์เช่นตนแน่นอน สติ๊กจึงเริ่มต้นฝึกฝนควบคุมประสาทรับรู้ที่เพิ่มขึ้นนี้ให้เมอด็อค พร้อมกับให้เมอด็อคฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แบบนินจาโบราณผสมผสานกับประสาทรับรู้เหล่าที่เพิ่มขึ้นเหล่านั้นด้วย



หลังจากสติ๊กฝึกสอนให้เมอด็อคได้หลายปี สติ๊กก็จากเมอด็อคไป ทิ้งให้เมอด็อคเคว้งคว้าง แต่เขาก็ยังฝึกฝนการต่อสู้แบบนินจาอยู่ไม่ขาด และเรียนรู้กับประสาทสัมผัสของตนและพัฒนาควบคุมมันได้มากขึ้นเรื่อยๆ เมอด็อคนั้นก็เรียนในเซนแอกเนสเรื่อยมา จนจบเทียบเท่าไฮสคูล

เมอด็อคไปเรียนต่อที่ Columbia University ซึ่งเป็นมหาลัยสอนเรื่องกฎหมาย ที่นี่เมอด็อคได้พบกับรูมแมทที่ชื่อ Foggy Nelson ฟ็อกกี้จำเมอด็อคได้ว่า เคยได้ยินเด็กที่ชื่อ แมต เมอด็อค กระโดดเข้าไปช่วยชายคนหนึ่งไม่ให้ถูกรถชนในย่านเฮลคิตเช่น ซึ่งฟ็อกกี้ก็อยู่ในย่านเฮลคิตเช่นเหมือนเมอด็อคนั่นเอง และทั้งสองก็เป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่นั้น ต่อมาทั้งสองก็เรียนจบกฎหมายจากมหาลัยโคลัมเบียมาด้วยกัน และสัญญากันว่าจะทำงานด้วยกันตลอดไปในฐานะทนาย



เมอด็อคและฟ็อกกี้มาเป็นนักศึกษาทนายฝึกหัดที่สำนักงานทนายความขนาดใหญ่ที่ชื่อ Landman and Zack และมีคดีหนึ่ง ที่สำนักงานทนายความนี้ต้องว่าความให้กับบริษัทน้ำมัน Roxxon ในการที่มีคนฟ้องร้องว่าร็อกซอนทำให้คู่ความเสียสุขภาพและเป็นโรคร้ายแรง เมอด็อคเริ่มเห็นใจฝ่ายคู่ความ ที่สำนักงานทนายความตนเอาเปรียบตนธรรมดา เมอด็อคจึงเริ่มคิดว่าแนวทางของสำนักงานทนายความแลนด์แมนแอนด์แซ็คนั้น ไม่เหมาะกับแนวทางของตน (บริษัทน้ำมัน Roxxon คือบริษัทคู่แข่ง Stark industries ตั้งแต่ยุค 1946 จนถึงปัจจุบัน)



ในขณะนั้นทางสำนักงานทนายความแห่งนี้ก็เสนองานประจำให้เมอด็อคและฟ็อกกี้ แต่เมอด็อคปฏิเสธไม่รับงาน เมอด็อคชวนฟ็อกกี้ออกไปตั้งสำนักงานทนายความกันเอง ฟ็อกกี้ก็ยินดีติดตามเมอด็อคไปเปิดสำนักงานทนายความกันด้วยตนเองอย่างเต็มใจ

ในคืนนั้นเอง เมอด็อคก็ได้ยินเสียงดังมาจากตึกไกลๆฝั่งตรงข้ามตึกของเขา เป็นเสียงเด็กผู้หญิงถูกพ่อแท้ๆตัวเองข่มขืน เมอด็อคจึงแจ้งมูลนิธิพิทักษ์เด็กและเยาวชน พอตำรวจและเจ้าหน้าที่ไปถึงสถานที่เกิดเหตุ กลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมแม่เด็กคนนั้นก็ไม่เชื่อ เมอด็อคจึงตัดสินใจใช้วิธีนอกกฏหมาย โดยใช้ผ้าปิดใบหน้าไว้ ตั้งตัวเองเป็นศาลเตี้ย เมอด็อคออกไปข่มขู่พ่อเด็กคนนั้นไม่ให้ข่มขืนลูกสาวตนเองอีก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมอด็อคก็ตัดสินใจใช้วิธีใส่หน้ากากและชุดดำนี้ ปราบปรามเหล่าร้ายคนชั่วข้างถนนด้วยสกิลการต่อสู้วิชานินจาโบราณที่เมอด็อคฝึกตั้งแต่เด็ก จึงถือกำเนิดชายชุดดำผู้ผดุงคุณธรรมในย่านเฮลคิทเช่นกลางกรุงนิวยอร์คขึ้นมา



ปี 2012 ต่อมาไม่นาน ก็มีเหตุการณ์โลกินำทัพชิทอรี่ถล่มนิวยอร์ค เฮลคิตเช่นก็โดนผลกระทบบ้านเมืองเสียหายเช่นกัน และก็ต้องเริ่มฟื้นฟูสภาพบ้านเมือง แต่ในเงามืดของย่านเฮลคิตเช่นแห่งนี้ ก็มีพันธมิตรมืดสี่ฝ่าย จับมือกันสร้างเรื่องชั่วช้าในเฮลคิตเช่น และต้องการครอบครองเฮลคิตเช่น นั่นก็คือ Nobu มาเฟียญี่ปุ่นผู้ลึกลับ/ Leland Owlsley นักบัญชีและนายหน้าตลาดหุ้นผู้มีอิทธิพล/ Vladimir Ranskahov และ Anatoly Ranskahov สองพี่น้องหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียรัสเซีย / Madame Gao มาเฟียจีนผู้ฉลาดล้ำลึก/ และหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรนี้ Wilson Fisk ผู้เหี้ยมเกรียมซึ่งมีอิทธิพลล้นเหลือในเงามืดของเฮลคิตเช่น วิลสันมักให้มือขวาคนสนิทและเพื่อนผู้รู้ใจอย่าง James Wesley ออกหน้าแทนตนเสมอ



เบื้องหน้านั้น เมอด็อคกับฟ็อกกี้ร่วมกันเปิดสำนักงานทนายความของตนเองในชื่อ Nelson and Murdock แต่ในเงามืดนั้น เมอด็อคก็เริ่มทำสงครามกับกลุ่มอิทธิพลมืดสี่ฝ่ายนี้โดยไม่รู้ตัว เริ่มจากเมอด็อคไปช่วยบรรดาเด็กสาวซึ่งกำลังจะถูกนำไปขายยุโรป ซึ่งเป็นการกระทำของพวกรัสเซีย 1ใน4กลุ่มอิทธิพล จึงทำให้กลุ่มอิทธิพลนี้เริ่มหันมาสนใจชายชุดดำ

กลุ่มพันธมิตรที่ชั่วร้ายแห่งเฮลคิชเช่น

ปี2015  Karen Page สาวสวยนักบัญชีในบริษัท Union Allied Construction เริ่มเห็นความผิดปกติในตัวเลขบัญชีบริษัท จึงไปบอกผู้จัดการของบริษัท ซึ่งผู้จัดการก็ตอบกลับมาว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่คาเรนไม่เชื่อ เธอนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนร่วมงานคนนึงที่ชื่อ Daniel Fisher ทั้งคู่จึงไปที่บาร์หลังเลิกงานเพื่อพูดคุยกันต่อในเรื่องนี้ และคาเรนก็หมดสติไป

คาเรนตื่นขึ้นมาอีกทีในรุ่งเช้าที่อพาร์ทเมนต์เธอเอง พร้อมด้วยเลือดเปื้อนตามเสื้อผ้า และมือที่ถือมีดที่เปื้อนเลือดเช่นกัน ข้างๆเธอยังมีศพของดาเนี่ยลอีกด้วย ซึ่งตำรวจก็บุกห้องเธอทันทีและจับเธอในข้อหาฆาตกรรม

แท้จริงแล้วนี่คือการจัดฉากของเวสลีย์ เพื่อปกปิดความจริงเรื่องกระแสเงินผิดปกติในบริษัท Union ที่คาเรนพบพิรุธ เวสลีย์จึงหวังให้คาเรนติดคุกในข้อหาฆาตกรรม แต่แล้วก็มีสิ่งที่เวสลีย์ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น



ฟ็อกกี้ได้ข่าวนี้ ว่ามีเหตุหญิงสาวโดนข้อหาฆาตกรรมจาก Sgt. Brett Mahoney เพื่อนในกรมตำรวจ ซึ่งเป็นเพื่อนกันกับฟ็อกกี้ตั้งแต่เด็ก ฟ็อกกี้กับเมอด็อคจึงขอพบตัวคาเรนและหวังจะเป็นทนายให้คาเรน

เมื่อเมอด็อคและฟ็อกกี้ไปพบคาเรนที่ห้องขังและสอบถามเบื้องต้น เมอด็อคซึ่งฟังออกว่าใครพูดโกหกพูดจริงจากจากจังหวะการเต้นของหัวใจ เมอด็อคจึงรู้ว่าคาเรนไม่ได้ฆ่าดาเนี่ยล ทั้งสองจึงรับว่าความเป็นทนายให้คาเรนทันที และนี่ก็เป็นเคสแรกตั้งแต่เปิดบริษัทของทั้งสองเพื่อนรัก ซึ่งนี่เองที่ทำให้แผนของเวสลีย์เสียไป