[CR] แอร์เเขก : พาเที่ยวทะเลทราย โอเอซิส เเกรนเเคนยอนตะวันออกกลาง ธรรมชาติสวรรค์สร้างมาให้ สวยลื้มมมมม



สวัสดีค่า กะทู้นี้อยากพามาชมบรรยากาศทะเลทราย แห่งดินแดงตะวันออกกลาง  พร้อมกับแหล่งน้ำโอเอซิสกลางทะเลทราย   เป็นธรรมชาติที่แปลกใหม่ และแปลกตาดี  (แอบตื่นเต้นเบาๆ)  เอารูปมาแชร์ให้ดู กะทู้นี้นี้ไม่พูดมาก (เพราะลืมม ) ดูรูป กินลม ชมบรรยากาศกันก่ะ


ทะเลทรายเนื้อเนียน กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา  มีลวดลายสวยงามของทรายเป็นริ้วๆ



ส่วนภาคบ่ายพาชม “โอเอซิส ”  แหล่งตาน้ำ และแหล่งพักพิงของสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์กลางทะเลทรายที่อยู่คู่ชาวทะเลทรายเลยก็ว่าได้ เพราะ  ตั้งแต่สมัยก่อน คนที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายจะเป็นชนเผ่าเลี้ยงสัตว์ที่อพยพเร่ร่อนไปตามแหล่งอุดมสมบูรณ์ทั่วทะเลทราย (ซึ่งก็คือโอเอซิส)  เพื่อให้อาหารสัตว์เลี้ยง   หากโอเอซิสแห่งใดที่มีขนาดใหญ่มากพอ  ผู้คนก็จะอพยพเข้ามาอยู่มาก จนกลายเป็นเมืองขึ้นมากลางทะเลทราย   ( เดี๋ยวตอนท้ายๆ จะพาไปดู ไม่เชิงเป็นแหล่งชุมชน แต่พัฒนาขึ้นมาจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวมากกว่า )


หลายคนเข้าใจว่า  พอเครื่องบินแลนด์ถึงเมืองตะวันออกกลางปุ๊ป  เย้.. เราถึงทะเลทรายแล้ว!     มันไม่ใช่แบบนั้น  บริเวณเมืองทะเลทรายจะอยู่ตามชานเมือง  โดยต้องนั่งรถออกไปอีกประเทศ 2 ชม.



พื้นที่ดินแดนอันแห้งแล้ง  กับ เจ้าถิ่นแห่งท้องทะเลทรายก็คือเจ้าอูฐ นั่นเอง   มาทำความรู้จักกับเจ้าสัตว์พิเศษนี้หน่อย  อูฐเป็นสัตว์ที่มีความอดทนสูง สามารถอาศัยอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหารหรือน้ำเลย 2 สัปดาห์ เพราะมีไขมันสะสมไว้ในหนอกและร่างกายเก็บรักษาน้ำได้เป็นอย่างดี   และยังรับความร้อนได้ถึง 41 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิทั่วไป ในท้องทะเลทรายที่ร้อนระอุ จึงสามารถอาศัยอยู่ในที่ทุรกันดารเช่นทะเลทรายได้เป็นอย่างดี  กินอาหารประเภทใบไม้ในทะเลทราย   แบกน้ำหนักได้ 150-200 กิโลกรัม

1.    โหนกของอูฐเป็นที่เก็บไขมัน ซึ่งจะดึงออกมาใช้เมื่อไม่มีอาหารกิน และความร้อนที่สะสมในตัวอูฐก็จะลอดออกมาทางโหนกนี้ด้วย
2.    อูฐสามารถอุดจมูกได้ทันทีที่ต้องการ ทำให้พายุทรายกวนใจมันได้ยาก
3.    อูฐมีขนตายาวมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดทรายเข้าตา
4.    อูฐมีพื้นเท้าที่กว้างกว่าสัตว์อื่นๆ ช่วยไม่ให้จมลงในทรายอ่อนๆ ได้
5.    อูฐเป็นสัตว์ที่ขยับขาทางด้านเดียวพร้อมๆ กัน
6.    ท้องของอูฐเป็นที่เก็บน้ำชั้นดี แล้วจะปล่อยออกมาทางระบบย่อยทีละน้อยๆ ทำให้ย่อยแม้แต่หญ้าแห้งได้
7.    นมของอูฐเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญมาก ในการเดินทางไกลในทะเลทราย
8.    อูฐสามารถเดินฝ่าทะเลทรายได้วันละ 40 กม. ทั้งที่บรรทุกสัมภาระกว่า 100 กก.
9.    ขนของอูฐใช้ทำเสื้อผ้าได้ดีมาก และสามารถทอเป็นพรมได้ด้วย
10.    มูลของอูฐใช้ทำเป็นเชื้อเพลิงจุดผิงไฟในคืนที่หนาวจัดในทะเลทราย



แต่ตัวเหม็นมากขอโบกกก  คุณพี่ไกด์ของเราในวันนั้น พาขับรถวนจนหนำใจ  เลยแวะเข้ากระท่อม (ข้างหลังในรูปต่อ) เพื่อเข้าไปดูวิถีชีวิต ของ “คนทะเลทราย” ที่ใช้ชีวิตอยู่ “กลางทะเลทราย”



ตัวกระท่อมจะถูกมุงเพลิง  (เข้าไปข้างในไม่ได้รู้สึกถึงความเย็น ยังคงร้อนระอุเหมือนข้างนอก )   เด็กเล็กก็ใช้ชีวิตกันที่นี้ตั้งแต่เกิด เผื่อใครสงสัยว่าแล้วพ่อแม่ ไม่ส่งลูกไปเรียนหนังสือหรอ ?  ตามความเป็นจริงแล้ว พ่อแม่ยุคใหม่ก็ขยับขยายอาศัยอยู่ตามชานเมือง ไม่ได้ใช้ชีวิตกลางทะเลทราย   แต่บรรพบุรุษรุ่นใหญ่ที่อยู่มานานจริงๆ เค้าก็จะไม่ยอมย้ายไปไหน
  จากรูปก็คือ ปูเสื่อนอนกันที่นี่เลย   แต่ช่วงที่หน้าร้อนเต็มตัว อุณหภูมิสูงถึง 50 องศา (เรียกว่าเป็นขั้นที่ยากลำบากในการใช้ชีวิต )  ก็กลับไปใช้ชีวิตอยู่บ้านตามชานเมืองแทน   ตอนนี้มันสมัยใหม่แล้ว     คนสมัยก่อนนี่เก่งจริงๆ  (สมัยนี้ แค่คิดว่าไม่มีเครื่องซักผ้า  เครื่องทำน้ำอุ่นใช้  ก็อยากจะร้องไห้แล้ว  55555)



โถเก็บของ หรือ น้ำ   แอบเห็นโถเก็บงูทะเลทราย ที่ชาวบ้านเก็บได้หลายตัวเชียว (แอบน่ากลัว)



ตามประเพณีต้อนรับแขกของชาวอารบิก   จะเสิร์ฟด้วย กาแฟอาราบิค (ขมมาก) กับ อินทผาลัม



เพื่อนร่วมเดินทาง และตากล้องให้เราในวันนี้   มีรูปคู่แค่รูปเดียว เพราะอากาศร้อนมาก  แม่วิ่งลงมาถ่ายรูปด้วย แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ลงจากรถอีกเลย



รถที่ใช้ในการขับขี่บนทะเลทรายจะต้องเป็นรถ โฟลวิล 4x4   สามารถขับเคลื่อนอย่างปลอดภัย และดริฟส์ขึ้นลงบนสันทราย (มันส์มาก) ได้อย่างไม่อันตราย  ส่วนรถกระบะ และรถเก๋งไม่แนะนำ  ขับได้เพียงทางตรงง่ายๆ




ฤดูที่เหมาะสมแก่การมาเที่ยวทะเลทรายคือ ฤดูหนาว  (ช่วงเดือนธันวาคม – เดือนกุมภาพันธ์)    ทะเลทรายในช่วงหน้าหนาว ก็หนาวมาก (คนมักนิยมมาตั้งแคมป์ปิ้ง นอนค้างคืนกลางทะเลทราย)  อุณหภูมิของทรายคืนตัวเร็ว  หมายถึง ร้อนก็ร้อนมาก แต่ถ้าเย็นก็เย็นมากเช่นกัน

ช่วงนั้นไปราวๆต้นเดือนเมษายน  ปรากฏว่าร้อนมาแล้ว  วินาทีแรกที่เอาเท้าสัมผัสพื้นทราย  (กำลังจินตนาการกับความฟิน)  จ๊อดดด !! ร้อนมากกกกก  แบบเท้าพอง รีบดึงเท้ากลับแทบไม่ทัน   **เม็ดทรายเนื้อเนียนละเอียด



กับคนขับรถ  ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง ผิวขอบชาวอาหรับก็จะหมองคล้ำ   และนิยมไว้หนวดกัน    ไม่เหมือนดาราบ้านเราที่หล่อๆ เกลี้ยงเกลาแบบพี่เคน



เท้าจุ่มทรายนี่กระโดดโหยงเลย



โมเมนต์สุดท้าย ที่เวลาไปสถานที่สวยๆ ก็อยากจะกระโดดเก็บไว้เป็นความทรงจำ รูปนี้เลยบอกบุคลิกมากก “เป็นผู้หญิงที่สติหลุด สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว” ฮ่าฮ่า



ลาแล้วทะเลทราย ไปต่อกันที่โอเอซิส



ขับรถต่อไปอีกประมาณ 1 ชม.   ภูมิทัศน์ก็เป็นเทือกเขาหินไปตลอดทาง  




มาถึงแล้ว ทางเข้าบ่อน้ำ  เรียกว่า Wadi   มีต้นอินผาลัมลำต้นสูงเรียงราย   เหมาะแก่การเป็นร่มเงาให้กับพืชลำต้นเตี้ยได้เติบโต   อินผาลัมที่คนนิยมซื้อไปฝากเวลามาเยือนเมืองแขก  คือผ่านการตากแห้งและอบมาแล้ว  แต่ออริจินอลจากต้นเลย เปลือกจะแข็งและมีรสชาติฝาด    แต่ถือเป็นผลไม้รสชาติหวาน (แคลอรี่สูงมากและมีประโยชน์มากเช่นกัน)  ฉ่ำน้ำให้ความสดชื่นแก่ร่างกาย  แถมยังนำมาตากแห้งเก็บกินได้อีกหลายปี



ถึงแล้วค่ะ แหล่งน้ำกลางทะเลทราย  บ่อน้ำธรรมชาติ โอเอซิสจากเนินเขา  ยิ่งถ้าเมื่อใดที่ฝนตกในทะเลทราย  น้ำฝนปริมาณมากเข้า ก็จะรวมตัวกันเกิดขึ้นเป็นลำธาร  เลยทำให้พื้นที่นั่นเขียวชอุ่ม   ผู้คนก็อพยพมาตั้งถิ่นฐาน เกิดเป็นชุมชมกลางทะเลทราย  



มื้อกลางวันทำมาทานกันเอง  มีข้าวผัดไก่กิมจิ  กับ ผัดผักวุ้นเส้น  ต้องประหยัด เนื่องจากมากับทัวร์ค่อนข้างแพง เหมามาคันละ 8,000บาท  ไม่มีอาหารกลางวันให้ แต่มีน้ำดื่มและ Snack ( ถ้าเป็นไปได้มากัน 4 คนก็จะประหยัดขึ้นไปอีก)



กับข้าวธรรมดาๆ แต่ได้นั่งกินในบรรยากาศใหม่ๆ แปลกตา  สุดยอดไปเลย



เดินตรงเข้าไปจาก Wadi อีกหน่อย ก็จะเจอกับผาหิน   จะเรียกว่าเป็น “แกรนแคนยอนเมืองแขก”  อะไรทำนองนั้นก็ไม่เชิง  (ข้างล่างสามารถลงเล่นน้ำได้ด้วยนะคะ น้ำเย็นและใส่มาก)
เราตัดสินใจเดินลุยต่อไปสำรวจทางข้างหน้า (กับไกด์)  เพราะเคยมาคราวก่อนแล้วไม่ได้ลุยต่อเลยรู้สึกค้างคา  รอบนี้เลยไม่ได้ละ! ต้องจัด!




การเดินในระยะสั้นๆ ไปกลับประมาณ 1 ชม. คล้ายๆ กับเส้นทาง Trekking แต่ไม่โหดเท่า  เดินยากในระดับนึงเลยล่ะ ด้วยอากาศที่ร้อน และโขดหินสูงตะปุ่ม ตะป่ำ ไม่เท่ากัน  (ถ้าตรงไหนเจอขั้นบันได หรือทางเดินแบบนี้ก็โชคดีไป)



เหงื่อแตกพลั่กเลย  



บ่อน้ำเล็กๆ  ปอลิง. หนุ่มข้างหลังที่กำลังห้อยโหน เล่นอะไรอยู่ก็ไม่รู้ (ซินะ) 55555



แม่เราที่ Trekking ไม่ไหว ก็นั่งรอให้ปลาดูด  สบายเท้าไป



ถึงขากลับแล้ว  คุณพี่ไกด์แกบอกว่า เป็นโปรแกรมแถม พามาขับรถเล่นที่อีก Wadi หนึ่ง (ที่เป็นแหล่งลำธาร แต่ตอนนี้น้ำแห้ง รถเลยสามารถวิ่งเข้าออกได้)



ไม่ได้แห้งแล้งซะทีเดียว ยังพอมีน้ำอยู่บ้าง



กระโดดเบาๆ (แต่ทำไมพุงเปิด)



ก้อนหินและก้อนกรวด



สิ่งธรรมชาติโดยแท้ ที่ ธรรมชาติให้มา : )



ถือเป็นบรรยากาศใหม่ๆ ที่พามาดู ณ เมืองมัสกัต ประเทศโอมาน ดินแดงแห่งตะวันออกกลาง  ไว้เจอกันใหม่กะทู้หน้าค่ะ
ชื่อสินค้า:   ,
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่