หลังจากดู Fleet of Time จบ ก็ออกมานั่งคิดนะว่าตัวหนังมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ดีเลิศเลย แต่ทำไมมันรู้สึกเจ็บปวดจังเลย คือมันติดๆอยู่ในใจ แล้วก็อดคิดถึงความรักสมัยวัยรุ่นไม่ได้เลยจริงๆ
สมัยเราเด็กๆ เราสามารถรักได้แบบไม่มีเงื่อนไข เราสามารถเดินไปไหนมาไหนไกลๆ เก็บเงินได้เยอะๆเพื่อซื้ออะไรแพงๆทีเ่กินความสามารถเด็กอย่างเราให้คนที่เรารักได้ เราไม่เคยหวังอะไรตอบแทนเลย นอกจากสถานภาพคำว่า แฟน หรือคนรัก หรือแค่ตื่นมาให้มีคนที่เราอยากโทรไปหา หรือตอนเลิกเรียนได้มีคนที่เดินกลับบ้านกับเราทุกวัน และเราไม่เคยหวังในร่างกายหรืออะไรจากคนที่เรารักเลย นอกจากได้จับมือ แค่หอมแก้มกันนี่ก็หน้าแดงจนไม่รู้จะแดงยังไงแล้ว คำว่า ฉันรักเธอ หรือ I love you

เป็นคำพูดที่ได้ยินแล้วหัวใจพองโต หรือบางทีเวลาเราอยู่เฉยๆ มีคนเอ่ยชื่อคนที่เราแอบชอบเราก็ยังหัวใจเต้นแรง
เราทุ่มเทมากมาย แต่เราแทบไม่หวังอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย นอกจากสถานภาพโดยที่ไม่ต้องมีความสัมพันธ์ก็ได้
แต่ทุกอย่างในสมัยวัยรุ่นมันกลับค่อยๆพังทลายลงเมื่อเราเติบโตขึ้น เมื่อเราได้พบ เมื่อเราได้เจอกับประสบการณ์ ได้เจอกับสิ่งแวดล้อม ได้เจอกับผู้คนที่เข้ามาในชีวิตมากมาย ซึ่งหลายๆอย่างมาร่วมกันหล่อหลอมให้เราเติบโต และเมื่อเราเติบโต ความรักของเรากลับพังทะลายลง คำว่า I Love You ไม่สามารถทำให้หัวใจฉันพองโตได้อีกแล้ว
คนที่เราเฝ้าทนุถนอม กลับไปมีอะไรกับคนอื่น ร่างกายของเราที่เฝ้าทนุถนอมเอาไว้เพราะอยากมีอะไรกับคนที่เรารักก็กลับไปมีอะไรกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่เรารัก
เป็นวัยรุ่นมันเจ็บปวด เอ็ดดี้เผิงคงเจ็บปวดไม่น้อย เมื่อฟางหุ่ยสาวคนรักที่เค้าเฝ้าทนุถนอมไม่ได้ลงเอยกับเค้า แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่น เค้าทำดีที่สุดแล้วในวัยและวุฒิภาวะของเค้าในขณะนั้น
แต่พอเราเติบโตขึ้น เรากลับเฉยชา และมุ่งไปที่ความสัมพันธ์ทางกายมากกว่าสถานภาพ เรากลับสร้างกำแพงมากมายเพราะกลัวการผูกมัด เราไม่ได้กลัวความรัก แต่เรากลัวปลายทางของมันที่เราชอบคิดไปเองว่ามันจะไม่สมหวัง
หลายครั้งที่ผมต้องดึงสติตัวเองกลับมาเวลาเห็นเด็กวัยรุ่นรักกันแล้วมองเป็นเรื่องขบขัน เราต้องดึงสติไม่ดูถูกความรักของพวกเค้า เพราะเราผ่านมันมาหมดแล้ว และเราอาจจะมีหน้าที่ปลอบโยนและเข้าข้างเด็กๆที่เข้ามาร้องไห้กับเรา
พี่อ้อยพี่ฉอดเองก็คงจะช่วยให้คำปรึกษาเรื่องความรักกับใครจริงๆไม่ได้ เพราะคนที่มีความรัก คนที่ผิดหวัง คนที่สมหวัง เค้าไม่ได้ต้องการคนปรึกษา แต่เค้าต่องการคนมานั่งฟัง คนอยู่ในห้วงแห่งรัก จะทุกข์หรือสุข เค้ามีธงของเค้าหมดแล้ว ถ้าเราให้คำปรึกษาตรงกับที่เค้าคิดจะทำ เราอาจจะเป็นที่ปรึกษาที่ช่วยยืนยันให้เค้าทำในสิ่งที่เค้าอยากทำ แต่ถ้าไม่ตรงกับที่เค้าจะทำ เราก็อาจจะเป็นแค่คนรับฟังที่เค้าอยากระบายเฉยๆ
Fleet of Time อาจะไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบ แต่มันสร้างความสะเทือนใจให้เรามาสามวันแล้ว จนอดไม่ได้ที่จะโทรไปหาแฟนเก่าสมัยเรียนมัธยม.......
พูดคุย เรื่องที่ผ่านมา แล้วก็วางหู นอนหลับตา ยิ้ม ห่มผ้าห่ม ฝันดี.....
เพลงที่ว่าง... ของพี่โจ้วงพอสลอยเข้ามาในหัว
"วันที่เวียนเปลี่ยน วันที่เลยผ่าน รักคงมั่น
เราไม่เคยห่าง เคียงคู่ชิดใกล้ ทุกเวลา
ยอมทิ้งความฝัน ยอมทุกๆอย่าง ให้กันและกัน
เพียงได้เคียงข้าง เพียงได้ร่วมทาง โอ้รักนิรันดร์
ก่อนเคยคิดว่ารักต้องอยู่ด้วยกันตลอด
เติบโตจึงได้รู้ความจริง........
แวะไปคุยในเพจได้นะครับ(ไม่ต้อง Like ก็ได้ แค่อย่ากแลกเปลี่ยน
http://goo.gl/l15DX1
Fleet of Time.... เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด
หลังจากดู Fleet of Time จบ ก็ออกมานั่งคิดนะว่าตัวหนังมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ดีเลิศเลย แต่ทำไมมันรู้สึกเจ็บปวดจังเลย คือมันติดๆอยู่ในใจ แล้วก็อดคิดถึงความรักสมัยวัยรุ่นไม่ได้เลยจริงๆ
สมัยเราเด็กๆ เราสามารถรักได้แบบไม่มีเงื่อนไข เราสามารถเดินไปไหนมาไหนไกลๆ เก็บเงินได้เยอะๆเพื่อซื้ออะไรแพงๆทีเ่กินความสามารถเด็กอย่างเราให้คนที่เรารักได้ เราไม่เคยหวังอะไรตอบแทนเลย นอกจากสถานภาพคำว่า แฟน หรือคนรัก หรือแค่ตื่นมาให้มีคนที่เราอยากโทรไปหา หรือตอนเลิกเรียนได้มีคนที่เดินกลับบ้านกับเราทุกวัน และเราไม่เคยหวังในร่างกายหรืออะไรจากคนที่เรารักเลย นอกจากได้จับมือ แค่หอมแก้มกันนี่ก็หน้าแดงจนไม่รู้จะแดงยังไงแล้ว คำว่า ฉันรักเธอ หรือ I love you
เราทุ่มเทมากมาย แต่เราแทบไม่หวังอะไรที่เป็นรูปธรรมเลย นอกจากสถานภาพโดยที่ไม่ต้องมีความสัมพันธ์ก็ได้
แต่ทุกอย่างในสมัยวัยรุ่นมันกลับค่อยๆพังทลายลงเมื่อเราเติบโตขึ้น เมื่อเราได้พบ เมื่อเราได้เจอกับประสบการณ์ ได้เจอกับสิ่งแวดล้อม ได้เจอกับผู้คนที่เข้ามาในชีวิตมากมาย ซึ่งหลายๆอย่างมาร่วมกันหล่อหลอมให้เราเติบโต และเมื่อเราเติบโต ความรักของเรากลับพังทะลายลง คำว่า I Love You ไม่สามารถทำให้หัวใจฉันพองโตได้อีกแล้ว
คนที่เราเฝ้าทนุถนอม กลับไปมีอะไรกับคนอื่น ร่างกายของเราที่เฝ้าทนุถนอมเอาไว้เพราะอยากมีอะไรกับคนที่เรารักก็กลับไปมีอะไรกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่เรารัก
เป็นวัยรุ่นมันเจ็บปวด เอ็ดดี้เผิงคงเจ็บปวดไม่น้อย เมื่อฟางหุ่ยสาวคนรักที่เค้าเฝ้าทนุถนอมไม่ได้ลงเอยกับเค้า แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่น เค้าทำดีที่สุดแล้วในวัยและวุฒิภาวะของเค้าในขณะนั้น
แต่พอเราเติบโตขึ้น เรากลับเฉยชา และมุ่งไปที่ความสัมพันธ์ทางกายมากกว่าสถานภาพ เรากลับสร้างกำแพงมากมายเพราะกลัวการผูกมัด เราไม่ได้กลัวความรัก แต่เรากลัวปลายทางของมันที่เราชอบคิดไปเองว่ามันจะไม่สมหวัง
หลายครั้งที่ผมต้องดึงสติตัวเองกลับมาเวลาเห็นเด็กวัยรุ่นรักกันแล้วมองเป็นเรื่องขบขัน เราต้องดึงสติไม่ดูถูกความรักของพวกเค้า เพราะเราผ่านมันมาหมดแล้ว และเราอาจจะมีหน้าที่ปลอบโยนและเข้าข้างเด็กๆที่เข้ามาร้องไห้กับเรา
พี่อ้อยพี่ฉอดเองก็คงจะช่วยให้คำปรึกษาเรื่องความรักกับใครจริงๆไม่ได้ เพราะคนที่มีความรัก คนที่ผิดหวัง คนที่สมหวัง เค้าไม่ได้ต้องการคนปรึกษา แต่เค้าต่องการคนมานั่งฟัง คนอยู่ในห้วงแห่งรัก จะทุกข์หรือสุข เค้ามีธงของเค้าหมดแล้ว ถ้าเราให้คำปรึกษาตรงกับที่เค้าคิดจะทำ เราอาจจะเป็นที่ปรึกษาที่ช่วยยืนยันให้เค้าทำในสิ่งที่เค้าอยากทำ แต่ถ้าไม่ตรงกับที่เค้าจะทำ เราก็อาจจะเป็นแค่คนรับฟังที่เค้าอยากระบายเฉยๆ
Fleet of Time อาจะไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบ แต่มันสร้างความสะเทือนใจให้เรามาสามวันแล้ว จนอดไม่ได้ที่จะโทรไปหาแฟนเก่าสมัยเรียนมัธยม.......
พูดคุย เรื่องที่ผ่านมา แล้วก็วางหู นอนหลับตา ยิ้ม ห่มผ้าห่ม ฝันดี.....
เพลงที่ว่าง... ของพี่โจ้วงพอสลอยเข้ามาในหัว
"วันที่เวียนเปลี่ยน วันที่เลยผ่าน รักคงมั่น
เราไม่เคยห่าง เคียงคู่ชิดใกล้ ทุกเวลา
ยอมทิ้งความฝัน ยอมทุกๆอย่าง ให้กันและกัน
เพียงได้เคียงข้าง เพียงได้ร่วมทาง โอ้รักนิรันดร์
ก่อนเคยคิดว่ารักต้องอยู่ด้วยกันตลอด
เติบโตจึงได้รู้ความจริง........
แวะไปคุยในเพจได้นะครับ(ไม่ต้อง Like ก็ได้ แค่อย่ากแลกเปลี่ยน
http://goo.gl/l15DX1