เมื่อผู้ชายอย่างผม ถูกผู้หญิงร้อยละ 90% ปฏิเสธความรัก เพราะ ...

ข้อเกริ่นนำนิดนึงก่อนนะครับ...ผมเป็นผู้ชายที่แปลกนิดนึงคือ ผมมีคติประจำใจว่า ผมจีบผู้หญิงคนไหนก็ตาม ผมจะไม่สร้างภาพให้ตัวเองดูดีในเดทแรก พูดกันง่ายๆคือ "วันแรกผม...ได้แค่ไหน อีก 10 ปี ผมก็...ได้แค่นี้ เพราะมันคือนิสัยจริงๆของผม" วัดใจกันไปเลย ถ้ารับกันได้ก็คบ ถ้าจะเซย์กู๊ดบาย ก็ไม่ว่ากัน

มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า...เดทแรกของผม ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชวนเดท ผมก็จะเป็นตัวเอง สิ่งที่ผมทำคือ

1.ค่าใช้จ่ายในการเดทผมจะแชร์ทั้งหมด โดยเฉพาะถ้าฝ่ายหญิงเป็นคนชวนไปเดท หรือชวนไปซื้อของ (แต่ถือของให้นะ)
2.อาหารมาถ้าหิวกินเลยไม่ต้องรอ เพราะคนละกระเพาะ (ในกรณีที่เป็นอาหารจานเดียว หรือเป็นเซต) แต่ถ้าไม่หิวมาก จะรอก็ไม่ว่ากัน
3.เดทแรกผมจะไม่ตักอาหารให้ เพราะผมไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นชอบกินอะไร หรือไม่ชอบกินอะไร
4.ขามา - ขากลับ แยกย้ายกัน แต่ยินดีคุยโทรศัพท์จนผู้หญิงถึงบ้าน เพราะผมไม่มีรถยนต์ส่วนตัว โดนรถเมล์มาเที่ยวเหมือนกัน (ยกเว้นถ้าดึกมากจะพิจารณาเพื่อไปส่ง ในกรณีที่ผู้หญิงไม่มีรถส่วนตัว)
5.ไม่แต่งตัวดีๆไปเดทแรก เพราะวันทำงานต้องแต่งตัวดีอยู่แล้ว ก็แต่ตัวเซอร์ๆไปเดินด้วย (ผู้หญิงแต่งชิลก็ชอบนะ)

มีต่อ ..
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 19
ผมว่าคุณไม่ใช่ไม่เป็นสุภาพบุรุษนะ คุณไม่ได้เป็นผู้ชายที่ไม่ดี แต่คุณขาดความฟรุ้งฟริ้งเกินไป ผมอ่านแล้วรู้สึกว่ามันช่างเต็มไปด้วยความแห้งแล้ง เหือดแห้ง เสมือนไปเดทกับโรบอท ไปกับเพื่อนยังดูว่าน่าจะดีกว่า ไม่รู้จะมีแฟนไปทำไมจริงๆ .....

สำหรับผม ถ้าชอบใครสักคน ขอแค่เขาให้โอกาสเราได้เทคแคร์เขาก็ดีใจแล้วครับ ไม่เคยหวังให้เขามาเทคแคร์กลับเลย แต่เดี๋ยวเขารักเราเมื่อไหร่เขาก็จะเทคแคร์เราเองแหละ เทคแคร์ดีจนเกินไปด้วยซ้ำ 555+ เพราะผู้หญิงเขาจะละเอียดอ่อนกว่าเราเยอะ

ผมมีรถแล้ว แต่สมัยก่อนที่ผมยังไม่มีรถ ผมก็นั่งรถเมล์หรือแท็กซี่ไปส่งผู้หญิงเหมือนกัน ไม่ปล่อยให้กลับเองหรอกมันอันตราย ไม่ต้องดึกมากมันก็อันตรายได้ครับ ผู้หญิงโสดจำเป็นต้องไปไหนมาไหนคนเดียวมันก็ช่วยไม่ได้ที่เธอต้องยอมเสี่ยง แต่ถ้ามีเราแล้ว ผมก็อยากดูแลเธอให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสี่ยงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยอมลำบากอีกนิดหน่อย แต่สำหรับผมมันไม่ได้รู้สึกลำบากอะไรเลย มันคือความสุขที่ได้ดูแลเธอ ที่เธอยอมไว้ใจให้เราดูแล แต่สำหรับคุณมันอาจจะเป็นความลำบาก เป็นภาระ นั่นแหละที่ทำให้ผมอ่านข้อความคุณแล้วรู้สึกว่ามันแห้งแล้งมากๆ

คุณน่าจะเป็นคนคิดอะไรด้วยเหตุผลล้วนๆ ไม่เอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเลยล่ะมั้ง ซึ่งผมก็มองว่ามันไม่ได้ผิด เพียงแต่คุณเป็นคนส่วนน้อย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คุณจะถูกปฏิเสธเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งผู้หญิงเหล่านั้นก็ไม่ได้ผิดอีกเช่นเดียวกัน การคบกันมันคือการคลิกกัน ไม่มีใครถูกหรือผิด ตราบใดที่ไม่ได้ไปทำอะไรชั่วร้ายเลวทรามหลอกลวง ผมว่าคุณก็แฟร์ดีนะที่แสดงตัวตนตั้งแต่แรก ผู้หญิงคนไหนไม่ชอบก็เซย์โนไป ไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย

อีกอย่างผมมองว่าคุณสุดโต่งเกินไป ความคิดคุณเลยแปลกๆ คุณมองว่าเอาเงินไปเลี่ยงผู้หญิงอื่นคือสิ่งเลวร้าย เพราะคุณรู้สึกผิดที่ไม่เคยเลี้ยงพ่อแม่ให้ดี แต่อย่างผม ผมซื้อของให้พ่อแม่มากมาย ผมพาพ่อแม่ไปกินของดีๆ เสมอ ผมดูแลและให้เวลากับพ่อแม่ตลอด ดังนั้นผมจึงไม่เคยรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ เมื่อผมไม่รู้สึกผิดต่อพ่อแม่ ผมจะแบ่งเงินส่วนและเวลาส่วนหนึ่งไปเลี้ยงคนที่ผมชอบบ้าง (ซึ่งก็ไม่ได้มากกว่าที่ผมให้พ่อแม่ตัวเองเลย) ผมจึงไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเลวร้ายหรือผิดบาปอะไร

ผมว่าคุณน่าจะเหมาะกับการเป็นโสด แต่ถ้าคุณสามารถหาผู้หญิงที่เหมาะกับคุณได้ก็ยินดีด้วยครับ
ความคิดเห็นที่ 4
อีก 10% นั้นคงตาบอดแน่ๆถึงไม่ปฎิเสธ
ความคิดเห็นที่ 34
จขกท.เข้าใจผิดมากๆ ระหว่างการ "สร้างภาพ" กับ "การเป็นคนรู้จักดูแลคนอื่น"
ทางพุทธเรียกว่า "การเห็นผิด"


พูดกันง่ายๆคือ "วันแรกผม...ได้แค่ไหน อีก 10 ปี ผมก็...ได้แค่นี้ เพราะมันคือนิสัยจริงๆของผม"
^
^
ถ้านิสัยคุณจริงๆเป็นคนหาร กินก่อนไม่รอ จากกันไม่ไปส่ง  คุณคือคนที่ไม่รู้จักการดูแลผู้อื่น และรักไม่เป็น
น่าเสียดาย ที่คนที่ไม่มีความสามารถในการดูแลผู้อื่นและรักไม่เป็น มักหลงติดในมายาคติของคำว่า "ฉันเป็นฉันเอง ไม่สร้างภาพ"
เป็นมิจฉาทิฐิอย่างยิ่ง

นิสัยรู้จักรักถนอมผู้อื่น ดูแลผู้อื่น เป็นคุณสมบัติสำคัญมากของการเป็นคู่ชีวิตที่ดีครับ



และสำหรับคุณผู้หญิงที่พอใจกับผู้ชายแบบจขกท. ดูง่ายๆดี ไม่เรื่องมาก
ก็ฝากคำคมนี้ไว้ครับ

ความคิดเห็นที่ 18
เมื่อก่อนในวัยเด็กช่วงที่ยังขอเงินที่บ้านใช้ ผมก็เป็นพวกที่ไปไหนเลี้ยงสาว (ก็แน่หละ ไม่เคยหาเงินเอง เลยไม่รู้ว่ากว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทมันเหนื่อยขนาดไหน)

จนมาวันนึงที่ผมได้เริ่มก้าวสู่ชีวิตวัยทำงาน ผมเริ่มมีเงินเดือนเป็นของตัวเอง เวลาผมไปเดทกันสาว แล้วกินแต่ของดีๆ เที่ยวกันอย่างสบาย (ไม่มีรถก็นั่ง Taxi) เงินเก็บไม่เคยมีเพราะกินเที่ยวหมด ผมก็ยังไม่ได้คิดอะไร

จนมาวันนึงที่ผมได้สนทนากับแม่ผม หลังจากที่ผมกลับมาจากเดท (คุยกันปกติ ไม่ได้ซีเรียส)

แม่   "วันนี้ไปเที่ยวไหนมา ไปกินอะไรกันมาลูก"
ผม   "ดูหนังปกติ และกินปลาดิบ" (ผมชอบกินปลาดิบ)
แม่   "แม่อยากกิน MK พาแม่ไปกินบ้างได้ไหม"
ผม   "อึ้ง"

ใช่ครับ แค่บทสนทนาสั้นๆในวันนั้นมันทำให้มุมมองในเรื่องพวกนี้ของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ผมกลับมาคิดทบทวน แล้วย้อนกลับมามองตัวอีกครั้ง ... ผมเอาเงินเดือนที่ผมทำงานแทบตายมาเลี้ยงผู้หญิงคนนึง โดยที่อนาคตไม่รู้ว่าเค้าจะอยู่กับเราหรือไม่ แต่กับคนในครอบครัวเรา แค่ข้าวซักมื้อเรายังไม่มีเวลาพาไปเลี้ยงเลย

คำถามว่า "ทำไม ทำไม ทำไม" มันวนเวียนอยู่ในหัวผม และผมก็เริ่มที่จะหันกลับมาดูคนในครอบครัวมากกว่าเดิม

ซึ่งแน่นอน มันก็ต้องมีคำว่า ภาระ และค่าใช้จ่ายที่เราต้องแบ่งเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น (แต่ปกติผมให้เงินแม่ใช้ทุกเดือนอยู่แล้วนะ)

มีต่อ ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่