วันที่ 15 เมย.หลังเทศกาลสงกรานต์ผ่านมาได้ 3 วัน ผมหมดภาระกิจ ปล่อยนก ปล่อยปลา รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้ว นึกครึ้มๆอยากจะปั่นทางไกล ราวๆ 100 กม.ดูบ้าง หลังจากว่างเว้นการปั่นระยะทางไกลๆมานาน ตั้งใจจะพิสูจน์สมรรถนะตัวเองดูอีกที ตื่นนอนตั้งแต่ตี5 เตรียมข้าวปลาอาหารให้ผู้เฒ่า ผู้แก่ อาบน้ำ แต่งตัวเรียบร้อย ตรวจเช็คสภาพ เมอริดาเพื่อนยาก พร้อมออกเดินทางหกโมงเช้าตรง ปั่นมาทางสาย สิงห์บุรี - ปากดง ผ่านวัดพระนอนจักร์สีห์ ตลาดท่าข้ามตั้งใจจะแวะกินโจ๊กสักชาม ดันไม่มีขายเลยปั่นเลยมาถึงวัดยายสร้อย แวะซื้อหมูปิ้ง 4 ไม้ 20 บาท ข้าวเหนียว 2 ห่อ 10 บาท พอแล้วสำหรับมื้อเช้าคนบ้านนอก ปั่นมาจนถึงอนุสาวรีย์วีระชน ชาวบ้านบางระจัน แวะกินช้าวสักหน่อย อนุสาวรีย์วีระชนชาวบ้านบางระจัน กำลังได้รับการปรับปรุงขนานใหญ่ อาจเป็นเพราะกระแส ละครเรื่องบางระจันที่พึ่งจะจบไปกระมัง ทำให้งบประมาณไหลมาเทมา ประเทศไทย อะไรก็ได้ ขอให้อยู่ในกระแส รับรองดัง ผมมาถึงยังไม่เจ็ดโมงยังเช้ามาก มีไก่แจ้วิ่งกันเป็นฝูงๆ ดูน่ารักดี
กินช้าวกินน้ำเสร็จ แวะเข้าห้องน้ำเสียหน่อย เจอกับฝูงยุงสักประมาณหนึ่งแสนสองพันตัวน่าจะได้ บินว่อนจนไม่กล้าอยู่นาน กลัวมันจะหามไปให้ลูกมันเล่น ปั่นออกจากอนุสาวรีย์ไปทาง รพ.ค่ายบางระจัน ผ่านไปทางคลองระมาน ได้ระยะทางประมาณสามสิบกว่า กม. หิวน้ำแวะนั่งพักที่ศาลาริมทาง ประมาณ 5 นาทีก็มีทีมจักรยานปั่นมาจากไหนไม่ทราบ น่าจะสัก 200 คันได้ ทุกๆคันนึกว่าผมอยู่ทีมเดียวกัน ปั่นมาด้วยกัน ต่างโบกไม้โบกมือ หลายคนอมยิ้ม คงสมเพทมั้งที่ว่าอะไรวะ ปั่นมาแป๊บเดียวพักเสียแล้ว ผมโบกไม้โบกมือตอบไปสักพัก ไม่ดีแน่ ทุกคนคงเข้าใจผิดเหมือนๆกันหมด และเนื่องด้วยมีหลายคนตัวอ้วน มีผู้หญิง มีคนแก่ แทบทุกคนโบกมือยิ้มให้ผมแบบเยาะๆ ลูกผู้ชายเมืองสิงห์ ฆ่าได้ หยามก็ได้ (ถ้าจำเป็น) จึงต้องออกปั่นไปกับเขา สปีดของทีมนี้ดีมากราวๆ 30 อัพทั้งนั้น ผมยังไม่หายเหนื่อยเท่าไหร่ก็ปั่นเกาะกลุ่มไปกับเขา ด้วยความเร็วระดับ 28-30 กม/ชม. เพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม แต่เนื่องจากผมปั่นมาไกลแล้ว และระดับความเร็วดังกล่าวไม่ใช่ความเร็วที่ผมคุ้นเคย ผมจึงตามเขาไปได้แค่ราวๆ 7 กม.ก็หมดแรงข้าวเหนียวหมูย่าง แต่จะหยุดพักอีกทีต้องเสียฟอร์มซ้ำสองย่อมไม่ใช่วิสัย ผมจึงแวะที่ร้านค้าทำทีซื้อน้ำ และรอจนคันท้ายๆผ่านไป ผมจึงปั่นต่อไป ซึ่งรถปอเต็กต็งที่ตามเก็บพวกขาอ่อนทั้งหลาย ขับมาถึงผมพอดี คงคิดว่าผมเป็นคันสุดท้าย จึงชะลอๆ ตามผมมา กลายเป็นว่า ผมเป็นคันสุดท้ายของขบวน ผมปั่นมาเรื่อยๆ จนแซงคนอ้วนๆได้คนหนึ่ง และถึงจุดแจกน้ำพอดี จึงตีขลุมรับน้ำไปกับเขามา 1 ถ้วย ปั่นไปสักพักก็ถึงทางแยกไปทางโครงการพระราชดำริ ทุกคันก็พากันเลี้ยวไป ยกเว้นผมที่ตรงไปต่อ รถปอ บีบแตรกันใหญ่คิดว่าผมหลงทาง
ปั่นมาเรื่อยๆจนถึงเทศบาลตำบลเขาดิน มีป้ายประชาสัมพันธ์ผลงานใหญ่โต แจกเงินคนแก่ 9 ล้านต่อปี แจกนมเด็ก 3 ล้านต่อปี เงินรัฐบาลทั้งนั้นเอามาประชาสัมพันธ์เป็นผลงานตัวเอง ผมเกลียดมากนักการเมืองพวกนี้ ที่สิงห์บุรีก็มีอยู่คนหนึ่ง หน้าไม่อายขึ้นป้ายขอบคุณตัวเอง อาทิ ขอขอบคุณท่าน สส. ...... ที่ประสานงานจัดหางบประมาณมาสร้างถนนสายนี้ให้พวกเรา ทั้งๆที่รู้ๆกันว่าท่านวิ่ง งบมาทำมาหา แด...ของท่านเอง ส่งนอมินีมาประมูล มาฮั้ว แล้วก็มาขอบคุณตัวเอง ด้านที่สุด เลยมาอีกนิดเจอทางแยกไปทุ่งแฝก จ.สุพรรณบุรี เลยเลี้ยวซ้ายปั่นไปเรื่อยๆตามถนนเลียบลำคลอง มีต้นดอกรักปลูกเป็นระเบียบเรียบร้อย น่าจะปลูกไว้เก็บดอกร้อยพวงมาลัยขาย ปั่นมาเรื่อยๆผ่านวัดทุ่งแฝก กำลังจัดงานสงกรานต์ มีการตั้งเต๊นท์ริมถนน เปืดเพลง มึคนถือบาตรขอเรี่ยรายเงิน แจกน้ำดื่ม ผมปั่นเลยไป ไม่ได้บริจาคอะไร เพราะไม่ชอบทำบุญแบบนี้ ปั่นมาจนถึงสะพานข้ามไปวัดไผ่พันมือ เออชื่อแปลกดีแฮะ แวะไปดูดีกว่า ปั่นตามถนนไปสัก 2 กม.ก็ถึงวัด ระยะทาง 50 กม.พอดี ได้ตามเป้าหมายแล้ว ไป กลับ 100 กม นอนพักที่นี่แหล่ะ เวลาประมาณ 10 น. ที่วัดร่มเย็นดี มีเปลผูกไว้ให้นอนด้วย ผมนอนพักสักประมาณ 1 ชม. ก็เห็นว่าถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว แดดร้อนมาก ก่อนกลับแวะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย ปั่นไปห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ หมาวัดคงเห็นแต่งตัวแปลกๆ พากันวิ่งมาไล่กัดผมฝูงใหญ่ ในชีวิตผมตอนเด็กๆโดนหมากัดไม่เว้นเดือน แต่โตมาไม่เคยเลย ผมไม่กลัวหมา แต่ครั้งนี้กลัวมาก เพราะมันเยอะ รถล้มลง ไอ้ตัวดำจ่าฝูง วิ่งชาร์จถึงตัวผม นึกว่าซวยแล้วตรูจะกลับบ้านอย่างไงวะ ถ้าหมากัด แต่มันคงไม่เคยกัดใครเนื่องจากเป็นหมาวัด มันจึงทำได้แค่เพียงเอาจมูกมากระแทกกันหน้าแข้งผมเท่านั้น พอดีพระเขาช่วยไล่ให้ มันเลยวื่งหนีไป ผมจูงจักรายานออกจากที่เกิดเหตุ สำรวจความเสียหาย ไม่มีอะไร ชำรุด ก็ได้ฤกษ์เดินทางต่อ
ขากลับมาทางเดิม เจอวัยรุ่นจับกลุ่มเล่นสงกรานต์แบบป่าเถื่อนมาก คือถอดเสื้อ เปิดเพลง กินเหล้าข้างถนน เอาผ้ามาทำเป็นธง คอยโบกรถราที่ผ่านไปมาให้จอด ผู้หญิงเคราะห์ร้ายที่ผ่านมา ไม่ต้องบอกว่าจะเจออะไร มะรุมมะตุ้ม ล้วงควักจนหนำใจ แล้วจึงปล่อยไป บางรายเขาไม่เล่นด้วย เลี้ยวรถกลับ ก็ยังวื่งไปฉุดลากเขามาปู้ยี่ปู้ยำ อะไรจะถ่อยเถื่อนขนาดนั้น ผมปั่นผ่านไป ยังตะโกนแซวอีกว่า บ้าหรือปล่าววะ ปั่นกลางแดดขนาดนี้ ไม่อยากมีเรื่องราว ก็ปั่นผ่านพวกมันไป ดีเท่าไหร่แล้วที่มันไม่มาล้วงควักผม ปั่นมาเรื่อยๆกลับมาทางบางระจัน คนละทางกับตอนขามาแดดร้อนมากๆ กลางถนนน่าจะ 50 องศาได้ เอาน้ำราดลงไประเหยกลายเป็นไอเลย ตอนแรกตั้งใจว่า 10 กม.จะพักที เปลี่ยนเป็น 5 กม.พักที สุดท้ายเจอศาลาริมทางเมื่อไหร่ พักทันที สภาพศาลารอรถโดยสารริมทางทุกวันนี้ มีสภาพพังชำรุดเต็มไปด้วยมูลนกพิราบ เพราะฝ้าเพดานจะถูกทุบด้วยมือคนมือบอน แตกเป็นช่องๆ ขีดเขียนสารพัดข้อความ ลามกอนาจาร นกเลยมีที่ทำรัง บางศาลานั่งไม่ได้เลย ผมเสนอว่าไม่ต้องทำมันหรอกฝ้าเพดาน ปล่อยโล่งๆ อย่างน้อยนกก็ทำรังไม่ได้ ความสกปรกคงลดลง กัดฟันปั่นมาเรื่อยๆ เจอจุดบริการประชาชน ช่วงสงกรานต์ที่ไหนก็แวะไปขอเติมน้ำที่นั่น เจอที่พักข้างทางตรงไหนก็แวะพักมาเรื่อยๆ จน 5 กม.สุดท้ายก่อนจะถึงบ้าน แทบจะยกขาไม่ขึ้น แต่ก็นึกในใจว่าถ้ายังไม่หยุดปั่น มันก็จะถึงในที่สุด และแล้วก็กลับถึงบ้านจนได้เมื่อเวลาประมาณ 16 น. รวมเวลาทั้งสิ้น 10 ชม. ดูไมล์ได้ระยะทาง 94 กม.ใช้เวลาปั่น 4 ชม.เศษ แสดงว่าผมพักทั้งหมดกว่า 5 ชม. จบทริปนี้ ด้วยสภาพ เหมือนคนใกล้ตายเลยครับ
ปั่นเที่ยวสงกรานต์บ้านนอก
กินช้าวกินน้ำเสร็จ แวะเข้าห้องน้ำเสียหน่อย เจอกับฝูงยุงสักประมาณหนึ่งแสนสองพันตัวน่าจะได้ บินว่อนจนไม่กล้าอยู่นาน กลัวมันจะหามไปให้ลูกมันเล่น ปั่นออกจากอนุสาวรีย์ไปทาง รพ.ค่ายบางระจัน ผ่านไปทางคลองระมาน ได้ระยะทางประมาณสามสิบกว่า กม. หิวน้ำแวะนั่งพักที่ศาลาริมทาง ประมาณ 5 นาทีก็มีทีมจักรยานปั่นมาจากไหนไม่ทราบ น่าจะสัก 200 คันได้ ทุกๆคันนึกว่าผมอยู่ทีมเดียวกัน ปั่นมาด้วยกัน ต่างโบกไม้โบกมือ หลายคนอมยิ้ม คงสมเพทมั้งที่ว่าอะไรวะ ปั่นมาแป๊บเดียวพักเสียแล้ว ผมโบกไม้โบกมือตอบไปสักพัก ไม่ดีแน่ ทุกคนคงเข้าใจผิดเหมือนๆกันหมด และเนื่องด้วยมีหลายคนตัวอ้วน มีผู้หญิง มีคนแก่ แทบทุกคนโบกมือยิ้มให้ผมแบบเยาะๆ ลูกผู้ชายเมืองสิงห์ ฆ่าได้ หยามก็ได้ (ถ้าจำเป็น) จึงต้องออกปั่นไปกับเขา สปีดของทีมนี้ดีมากราวๆ 30 อัพทั้งนั้น ผมยังไม่หายเหนื่อยเท่าไหร่ก็ปั่นเกาะกลุ่มไปกับเขา ด้วยความเร็วระดับ 28-30 กม/ชม. เพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม แต่เนื่องจากผมปั่นมาไกลแล้ว และระดับความเร็วดังกล่าวไม่ใช่ความเร็วที่ผมคุ้นเคย ผมจึงตามเขาไปได้แค่ราวๆ 7 กม.ก็หมดแรงข้าวเหนียวหมูย่าง แต่จะหยุดพักอีกทีต้องเสียฟอร์มซ้ำสองย่อมไม่ใช่วิสัย ผมจึงแวะที่ร้านค้าทำทีซื้อน้ำ และรอจนคันท้ายๆผ่านไป ผมจึงปั่นต่อไป ซึ่งรถปอเต็กต็งที่ตามเก็บพวกขาอ่อนทั้งหลาย ขับมาถึงผมพอดี คงคิดว่าผมเป็นคันสุดท้าย จึงชะลอๆ ตามผมมา กลายเป็นว่า ผมเป็นคันสุดท้ายของขบวน ผมปั่นมาเรื่อยๆ จนแซงคนอ้วนๆได้คนหนึ่ง และถึงจุดแจกน้ำพอดี จึงตีขลุมรับน้ำไปกับเขามา 1 ถ้วย ปั่นไปสักพักก็ถึงทางแยกไปทางโครงการพระราชดำริ ทุกคันก็พากันเลี้ยวไป ยกเว้นผมที่ตรงไปต่อ รถปอ บีบแตรกันใหญ่คิดว่าผมหลงทาง
ปั่นมาเรื่อยๆจนถึงเทศบาลตำบลเขาดิน มีป้ายประชาสัมพันธ์ผลงานใหญ่โต แจกเงินคนแก่ 9 ล้านต่อปี แจกนมเด็ก 3 ล้านต่อปี เงินรัฐบาลทั้งนั้นเอามาประชาสัมพันธ์เป็นผลงานตัวเอง ผมเกลียดมากนักการเมืองพวกนี้ ที่สิงห์บุรีก็มีอยู่คนหนึ่ง หน้าไม่อายขึ้นป้ายขอบคุณตัวเอง อาทิ ขอขอบคุณท่าน สส. ...... ที่ประสานงานจัดหางบประมาณมาสร้างถนนสายนี้ให้พวกเรา ทั้งๆที่รู้ๆกันว่าท่านวิ่ง งบมาทำมาหา แด...ของท่านเอง ส่งนอมินีมาประมูล มาฮั้ว แล้วก็มาขอบคุณตัวเอง ด้านที่สุด เลยมาอีกนิดเจอทางแยกไปทุ่งแฝก จ.สุพรรณบุรี เลยเลี้ยวซ้ายปั่นไปเรื่อยๆตามถนนเลียบลำคลอง มีต้นดอกรักปลูกเป็นระเบียบเรียบร้อย น่าจะปลูกไว้เก็บดอกร้อยพวงมาลัยขาย ปั่นมาเรื่อยๆผ่านวัดทุ่งแฝก กำลังจัดงานสงกรานต์ มีการตั้งเต๊นท์ริมถนน เปืดเพลง มึคนถือบาตรขอเรี่ยรายเงิน แจกน้ำดื่ม ผมปั่นเลยไป ไม่ได้บริจาคอะไร เพราะไม่ชอบทำบุญแบบนี้ ปั่นมาจนถึงสะพานข้ามไปวัดไผ่พันมือ เออชื่อแปลกดีแฮะ แวะไปดูดีกว่า ปั่นตามถนนไปสัก 2 กม.ก็ถึงวัด ระยะทาง 50 กม.พอดี ได้ตามเป้าหมายแล้ว ไป กลับ 100 กม นอนพักที่นี่แหล่ะ เวลาประมาณ 10 น. ที่วัดร่มเย็นดี มีเปลผูกไว้ให้นอนด้วย ผมนอนพักสักประมาณ 1 ชม. ก็เห็นว่าถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว แดดร้อนมาก ก่อนกลับแวะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย ปั่นไปห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ หมาวัดคงเห็นแต่งตัวแปลกๆ พากันวิ่งมาไล่กัดผมฝูงใหญ่ ในชีวิตผมตอนเด็กๆโดนหมากัดไม่เว้นเดือน แต่โตมาไม่เคยเลย ผมไม่กลัวหมา แต่ครั้งนี้กลัวมาก เพราะมันเยอะ รถล้มลง ไอ้ตัวดำจ่าฝูง วิ่งชาร์จถึงตัวผม นึกว่าซวยแล้วตรูจะกลับบ้านอย่างไงวะ ถ้าหมากัด แต่มันคงไม่เคยกัดใครเนื่องจากเป็นหมาวัด มันจึงทำได้แค่เพียงเอาจมูกมากระแทกกันหน้าแข้งผมเท่านั้น พอดีพระเขาช่วยไล่ให้ มันเลยวื่งหนีไป ผมจูงจักรายานออกจากที่เกิดเหตุ สำรวจความเสียหาย ไม่มีอะไร ชำรุด ก็ได้ฤกษ์เดินทางต่อ
ขากลับมาทางเดิม เจอวัยรุ่นจับกลุ่มเล่นสงกรานต์แบบป่าเถื่อนมาก คือถอดเสื้อ เปิดเพลง กินเหล้าข้างถนน เอาผ้ามาทำเป็นธง คอยโบกรถราที่ผ่านไปมาให้จอด ผู้หญิงเคราะห์ร้ายที่ผ่านมา ไม่ต้องบอกว่าจะเจออะไร มะรุมมะตุ้ม ล้วงควักจนหนำใจ แล้วจึงปล่อยไป บางรายเขาไม่เล่นด้วย เลี้ยวรถกลับ ก็ยังวื่งไปฉุดลากเขามาปู้ยี่ปู้ยำ อะไรจะถ่อยเถื่อนขนาดนั้น ผมปั่นผ่านไป ยังตะโกนแซวอีกว่า บ้าหรือปล่าววะ ปั่นกลางแดดขนาดนี้ ไม่อยากมีเรื่องราว ก็ปั่นผ่านพวกมันไป ดีเท่าไหร่แล้วที่มันไม่มาล้วงควักผม ปั่นมาเรื่อยๆกลับมาทางบางระจัน คนละทางกับตอนขามาแดดร้อนมากๆ กลางถนนน่าจะ 50 องศาได้ เอาน้ำราดลงไประเหยกลายเป็นไอเลย ตอนแรกตั้งใจว่า 10 กม.จะพักที เปลี่ยนเป็น 5 กม.พักที สุดท้ายเจอศาลาริมทางเมื่อไหร่ พักทันที สภาพศาลารอรถโดยสารริมทางทุกวันนี้ มีสภาพพังชำรุดเต็มไปด้วยมูลนกพิราบ เพราะฝ้าเพดานจะถูกทุบด้วยมือคนมือบอน แตกเป็นช่องๆ ขีดเขียนสารพัดข้อความ ลามกอนาจาร นกเลยมีที่ทำรัง บางศาลานั่งไม่ได้เลย ผมเสนอว่าไม่ต้องทำมันหรอกฝ้าเพดาน ปล่อยโล่งๆ อย่างน้อยนกก็ทำรังไม่ได้ ความสกปรกคงลดลง กัดฟันปั่นมาเรื่อยๆ เจอจุดบริการประชาชน ช่วงสงกรานต์ที่ไหนก็แวะไปขอเติมน้ำที่นั่น เจอที่พักข้างทางตรงไหนก็แวะพักมาเรื่อยๆ จน 5 กม.สุดท้ายก่อนจะถึงบ้าน แทบจะยกขาไม่ขึ้น แต่ก็นึกในใจว่าถ้ายังไม่หยุดปั่น มันก็จะถึงในที่สุด และแล้วก็กลับถึงบ้านจนได้เมื่อเวลาประมาณ 16 น. รวมเวลาทั้งสิ้น 10 ชม. ดูไมล์ได้ระยะทาง 94 กม.ใช้เวลาปั่น 4 ชม.เศษ แสดงว่าผมพักทั้งหมดกว่า 5 ชม. จบทริปนี้ ด้วยสภาพ เหมือนคนใกล้ตายเลยครับ