ปรัชยาไส้




หนังสือเล่มที่ผมอ่านในวันนี้ชื่อแปลกมาก  เพราะมีชื่อว่า  “ปรัชยาไส้” ที่เขียนโดยอาจินต์  ปัญจพรรค์ นักเขียนอาวุโสผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบรรณาธิการผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้  โดยเนื้อหาในเล่มนั้นเป็นบทความขนาดสั้นที่เป็นเสมือนบทบรรณาธิการในหน้าแรกของนิตยสาร  (ในสมัยนี้อาจจะเรียกว่าความเรียงก็ได้ ) บทความทั้งหมดถูกเขียนขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ถึง 2525  โดยส่วนใหญ่พิมพ์ลงในนิตยสารฟ้าเมืองไทยที่อาจินต์  ปัญจพรรค์เป็นบรรณาธิการ

ส่วนสาเหตุที่มีชื่อเรื่องว่า “ปรัชยาไส้” นั้นเป็นการนำเอาคำว่า “ปรัชญา” กับ “ยาไส้” มารวมเป็นคำเดียวกัน เป็นความเรียงขนาดสั้นที่รวบรวมเอาความคิดจากประสบการณ์ต่าง ๆ ที่อาจินต์  ปัญจพรรค์ได้พบเห็นจากสถานที่ต่าง ๆ ในแต่ละช่วงเวลา    จึงถือได้ว่า “ปรัชยาไส้” เล่มนี้เป็นเสมือนภาพบันทึกประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาหนึ่ง  ข้อเขียนของอาจินต์  ปัญจพรรค์ในเล่มนี้ทำให้ผู้อ่านได้เห็นภาพร่างของชีวิตและสภาพสังคมในช่วงเวลานั้น  ซึ่งส่วนใหญ่จะสะท้อนออกมาด้วยปัญหาเศรษฐกิจระดับรากหญ้า  ความแตกต่างระหว่างคนจนกับคนรวย  ซึ่งเป็นปัญหาปากท้องของคนส่วนใหญ่ในสังคม ที่ต้องลำบากฝ่าฟันให้ผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นไปได้  เป็นการใช้ปรัชญาชีวิตเพื่อการปรับตัวให้อยู่รอดในสังคม  โดยใช้ “ปรัชยาไส้”  นี้เอง


“ด้วยทุกข้อเขียนในหนังสือเล่มนี้  ล้วนเกิดจากการพบความเป็นไปของคนเล็กคนน้อย  สัมผัสความหลากหลายของผู้คนด้วยสายตาของนักคิดนักเขียน  และบรรณาธิการผู้คร่ำหวอดกับการพบเห็นเรื่องราวชีวิตในทุกชนชั้น  จนได้พบความเป็น “ปราชญ์” ที่มีอยู่ในตัวของผู้คนเหล่านั้น  ก่อนจะนำมาเรียบเรียงเป็นข้อเขียนชั้นเยี่ยม”
(คำนำสำนักพิมพ์ หน้า 17)



มีคนกล่าวไว้ว่า ...

“นักเขียนไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ที่จะแก้ปัญหาและพลิกฟื้นแผ่นดินได้หรอก  แต่นักเขียนสามารถชี้ให้เห็นถึงจุดเล็ก ๆ อันต่างพร้อยในสังคมได้”

จากคำกล่าวข้างต้นนี้เชื่อได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงเมื่อผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้  ปัญหาหลาย ๆ อย่างเคยถูกละเลยไปอย่างไรจนมาถึงทุกวันนี้ปัญหาเหล่านั้นก็ยังคงมีอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ปัญหาความยากจน , ปัญหาค่าครองชีพ , ปัญหาเรื่องการทำมาหากิน ฯลฯ  ปัญหาเหล่านี้ไม่เคยหมดไปจากสังคมไทยเลย  ทั้ง ๆ ที่มีคนมากมายคอยชี้ให้เห็นถึงปัญหาเหล่านั้นก็ตาม  ข้อเขียนในหนังสือเล่มนี้อาจินต์  ปัญจพรรค์ยังคงทำหน้าที่ของนักเขียนผู้มองสำรวจสังคมด้วยสายตาที่เป็นห่วงเหมือนผู้ใหญ่เฝ้ามองลูกหลานของตน  ข้อเขียนที่บันทึกเรื่องราวความเป็นไปในอดีตนั้นควรค่าแก่การรับรู้  อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อนำความรู้ที่ได้จากการอ่านข้อเขียนนั้นไปปรับใช้ในชีวิตจริง  ชีวิตที่แต่ละคนต้องมีปรัชญาเป็นของตัวเอง  ถ้าใครยังหาปรัชญาในการดำเนินชีวิตไม่ได้  ข้อเขียนในหนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นประโยชน์แก่ท่านก็เป็นได้  

ตัวผมเคยอ่านงานของอาจินต์  ปัญจพรรค์มาแล้วซึ่งก็คือเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่  ผมคิดว่าสไตล์การเขียนของท่านนั้นมีความโดดเด่นในแง่ของการสื่อความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างง่าย  โดยไม่ต้องมีเนื้อหาที่ซับซ้อนซ้อนเงื่อนมากเท่าไหร่เลย  แต่ในสำนวนการเขียนของท่านนั้นมักจะใช้คำที่กินใจผู้อ่าน  โดยคำที่ท่านเลือกสรรมาใช้นั้นสามารถกระแทกอารมณ์ความรู้สึกของผู้อ่านได้   และเมื่อผมได้มาอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว  ผมก็ยอมรับในความเป็นเลิศทางการเขียนของท่าน  ถือได้ว่าข้อเขียนของอาจินต์  ปัญจพรรค์เป็นสำนวนการเขียนที่สวยสดและงดงามอย่างพอดี   บทความตอนต่าง ๆ ในเล่มนี้ผมอ่านแล้วก็เหมือนกับได้นั่งดูรูปภาพในอัลบั้มไปที่ละรูปที่ละรูปเรียงร้อยกันไปเรื่อย  เป็นเรื่องราวที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้อ่านเป็นอย่างมาก  มีทั้งการเล่าเรื่องการชี้ให้เห็นปม การประชดประชันเพื่อสร้างอารมณ์ร่วม การทิ้งคำถามให้ผู้อ่านได้ฉุกคิด  รวมทั้งบรรจงหักมุมจบในตอนท้ายอีกด้วย  ถือว่าเป็นข้อเขียนชั้นยอดของปรมาจารย์ตัวจริงในบรรณพิภพไทยเลย

ผมอ่าน “ปรัชยาไส้” เล่มนี้แล้วนอกจากจะได้แง่คิดตามเนื้อความที่อาจินต์  ปัญจพรรค์เขียนแล้ว  ผมยังได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตอีกด้วย  เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์ทั้งในแง่สังคม การเมือง และการบริโภค(เศรษฐศาสตร์) เหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์สำหรับคนรุ่นหลังอย่างผม เช่นเรื่องของค่าครองชีพที่แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก  สมัยก่อนนั้นทำงานรับราชการเงินเดือนเริ่มต้น 300 บาท ข้าวแกงจานละ 1 บาท  ในสมัยก่อนซื้อนมผงชงให้ลูกกินแล้วเอาฉลากมาเขียนชิงโชคได้  โดยรางวัลใหญ่สุดในสมัยนั้นเป็นจักรเย็บผ้ารองลงมาก็เป็นวิทยุและกล้องถ่ายรูป (สมัยนี้แจกรถเบนซ์คันละ 4 ล้าน)  สมัยก่อนการโดยสารแท็กซี่นั้นถือว่าเป็นของฟุ่มเฟือย  ค่าแท็กซี่สามารถต่อรองกันได้  ค่าแท็กซี่แพงสุดจากถนนเพชรบุรีไปดอนเมืองก็ 100 บาท (ปัจจุบันเฉพาะค่าทางด่วนก็ 50 บาทแล้ว)

การได้รู้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ในอดีตนั้นทำให้เราสามารถย้อนมองตัวเองในปัจจุบันได้  ถึงแม้ว่าตัวเราจะเกิดคนละยุคสมัยกัน   แต่สิ่งที่หนีไม่พ้นก็คือเรื่องปากท้องเรื่องการกินอยู่หลับนอนของเรา  แม้ว่าค่าของเงินและค่าครองชีพจะแปรเปลี่ยนไปเพียงไร  ทุกวันนี้คนยังโอดครวญว่าของแพงและเงินไม่พอใช้อยู่เสมอ  คงเป็นสัจธรรมของการดำรงชีพในสังคมเมืองเป็นแน่  ดังนั้นการย้อนมองอดีตจึงทำให้เราเห็นตัวตนของเราในปัจจุบันได้ชัดเจนมากขึ้นก็เป็นได้

ท่านใดที่ชอบอ่านงานเขียนในลักษณะที่ได้ทั้งความรู้และได้แง่คิดนั้น  ผมก็ขอแนะนำให้ท่านลองหาหนังสือ “ปรัชยาไส้” ของอาจินต์  ปัญจพรรค์ เล่มนี้มาอ่านดู  สำหรับเล่มที่อยู่ในมือของผมนี้เป็นฉบับปกแข็งที่พิมพ์รวมเล่มใหม่เป็นครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์มติชน  กันยายน 2557  ด้วยความหนาแบบอ่านเพลิน ๆ (อ่านเพลินจริง ๆ เพราะว่าภาษาที่ใช้เขียนยอดเยี่ยมมาก) จำนวน 575 หน้า  ราคาปก 470 บาท  ควรค่าแก่การหาซื้อมาอ่านประดับความรู้ของท่านเป็นอย่างมาก

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านหนังสือ  ขอให้ความรู้ที่แอบแฝงอยู่ในหนังสือทะลุผ่านตัวอักษรเข้าไปในรอยหยักของสมองท่าน  และขอให้ท่านอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินนะครับ

พาพันอยากรู้พาพันชอบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่