ต้องแยกก่อนนะครับ การแพทย์แผนไทย แบ่งเป็น ภาค ก ข และ ค และไทยประยุกต์

ภาค ก. คือระบบมอบตัวศิษย์เรียนกับแพทย์แผนไทยโดยตรง ไม่ก็ เรียน กับสถาบันการแพทย์ ประเภท ก เช่น วัดโพธิ์ สถาบันการแพทย์แผนไทย หมอเพ็ญนภา (ตรงโจหลุยส์ เก่า กระทรวงสาธาฯ) ภัทรเวช คลีนิคเนตรดาว ฯลฯ ซึ่งมีหลากหลายที่ให้เลือก บางที่ก็สอนครบสี่สาขา บางที่ก็แค่บางสาขา โดยแต่ละสาขาใช้เวลาเรียนคือ
1 ผดุงครรภ์ 1 ปี
2 นวด 2 ปี
3 เภสัชกรรม 2 ปี
4 เวชกรรม 3 ปี
โดยหมดนี่สามารถเรียนได้พร้อมกันหมดและจบใน 3 ปี ข้อดี แผน ก คือ ไม่ต้องเรียนวิชาพื้นฐานมหาวิทยาลัย พวก คณิต อังกฤษ เคมี ชีวะ ฟิสิกส์ แต่ข่าวร้ายคือ วิชาพวกนี้ จะแทรกในชม.เรียน ตลอดเวลา พูดง่าย ๆ เรียนเหมือน ป.โท เน้นอ่านเองเยอะ ๆ อ.จะบอกว่า ไปอ่านไรบ้าง แล้วก็มีสอนในห้องเพิ่มความเข้าใจ และก็ปฎิบัติงานกัน โดยต้อลฝึกงานออกหน่วยแบบ แผน ข.นะครับ

ภาค ข. และ แผนไทยประยุกต์
คือ ระบบการเรียนท่ีเรียนในมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น ศิริราช ธรรมศาตร์ มข. มอ. มรฎ.สกล ม.ราม เป็นต้น ซึ่งการเรียนก็คือ 4 ปี เรียนพื้นฐานทั่วไป ควบกับวิชาแพทย์แผนไทยและเรียนวิชาประยุกต์ แบบแผนปัจจุบันด้วย (หมายเหตุ ทั้งหมดนี่ ม.รามเป็นที่เดียวที่สอนภาคค่ำ ส่วน มสธ.เลิกคุย ยังไม่เปิดสอนมาหลายปีละ รอสภาอนุมัติ)

แบบ ค.
อันนี้คือแพทย์พื้นบ้าน แบบนี้จะไม่ต้องเรียน แต่ต้องมีประสบการณ์ เป็นที่ยอมรับ มีองค์ความรู้จริง ซึ่ง การจะได้ใบแผนนี้ยากมากต้องหาคนรับรองเยอะมาก หมอพื้นบ้านจึงไปเรียนแผน ก กันเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสี่ยงรอใบอนุญาติประเภทนี้ เพราะมันได้ยากมาก แต่องค์ความรู้เก่า ๆ อยู่ที่ หมอพื้นบ้านโดยมาก

ทีนี้มาพูดเรื่องการเรียนก่อนนะครับ แผนไทย เข้าเรียนง่าย แต่ได้ใบประกอบยากมาก ปีที่แล้ว สอบเวชกรรม 3,000 คน สอบผ่านทะลุทั่งภาคทฤษฏี และ ปฎิบัติเพียง 30 คน เท่านั้น เอาง่าย ๆ ขนาดหมอแผนปัจจุบันมาเรียน สอบ ยังตกระนาวครับ ไม่เข้าใจอะไรหลังไมค์ นะครับ

ทีนี้อยากจะฝากว่าที่เราเรียนไปสอบนี่แค่ส่วนน้อยมากนะครับ จบมาแล้วคุณอยากได้ด้านไหนคุณต้องไปตามขอวิชากับครูต่าง ๆ เองนะครับ ่