สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
บางท่านยังสับสนอยู่นะฮะว่าความต่างของนักแม่นปืนแบบ Sport กับแบบ Military มันต่างกันยังไง
ทั้ง 2 แบบไม่น่าจะเอามาเปรียบเรื่องความแม่นกันได้อย่างที่ความเห็นของคุณ todtoh ยกตัวอย่างเปรียบเทียบเอาไว้นะฮะ ....เพราะอะไรนะหรือ...?
เพราะมัน "ต่างเป้าประสงค์" กันยังไงหละฮะ ...ส่วนตัว ข้าเจ้าเคยเป็นนักกีฬายิงปืนสั้นมากก่อน มีต้องคลุกคลีกับทีมยิงปืนยาวบ้าง เคยแข่งยิงประเภทปืนยาวชาวบ้าน (ใช้ ปลย. 11) ขออนุญาตแชร์คร่าวๆ นะฮะ
...ความต่างของทั้ง 2 ประเภทนักแม่นปืนในเรื่องของเป้าประสงค์นั้น ...ทางทหารหรือตำรวจเป้าหมายคือ "หวังผลทางยุทธวิธี" ...ในขณะที่ในกลุ่มนักกีฬายิงปืน เป้าประสงค์จะอยู่ที่ "หวังผลในความเป็นเลิศ" ...เปรียบเทียบง่ายๆ ...
- นักแม่นปืนในกลุ่มทางหวังผลทางยุทธวิธีอย่างพลแม่นปืนทางทหารหรือตำรวจ มีหน้าที่หวังผลเพื่อ "หยุดการกระทำอันเป็นอันตรายต่อพลเมืองฝ่ายตน หรือภารกิจ หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียวกัน" ...เพราะงั้น เป้าหมายแค่หยุดการกระทำ เพื่อให้เป้าหมายที่ถูกยิง หมดสภาพความคุกคามโดยสิ้นเชิง ...ถ้าเจ็บ ก็ต้องเจ็บจนไร้ศักยภาพในการกลับมาคุกคามฝ่ายตนได้ ณ จุดๆ นั้น ถ้าตาย ก็สามารถเล็งจุดตายหวังผลได้ทั่วร่างกาย ไม่จำเป็นต้องเป้าเล็ก แต่ต้องเป็นตำแหน่งหวังผลตาย เพราะฉะนั้น วิธีการเล็ง การคุมสมาธิ การควบคุมปืน และอาวุธที่ใช้จะคนละแบบกับปืนแข่งขัน (ไม่เปรียบเทียบว่าอันไหนเจ๋งกว่ากันนะฮะ ไร้สาระเกิน) เช่น ไม่ต้องเล็งที่จุดกลาง แค่ยิงจุดสำคัญๆ ของร่างกายให้เสียเลือดในปริมาณที่มากที่สุดก็พอ (เพราะงั้นในความเป็นจริง พลแม่นปืนถ้ามีโอกาส เค้าไม่จะเป็นต้องเล็งหัว เพราะมันเป็นเป้าไม่นิ่งที่สุด แต่เล็งกลางอก หรือช่องท้อง (เช่น ตับ) จะให้ประสิทธิผลกับความเป็นไปได้ของการโดนมากที่สุด) เป็นต้น ...
อนึ่ง ...ในบรรดาพลแม่นปืนทางยุทธวิธีด้วยกัน กลุ่มของพลแม่นปืนทางยุทธวิธีในเมือง (ข้าเจ้าไม่ขอเน้นว่าเป็นทหารหรือตำรวจนะฮะ เพราะไม่ทราบเชิงลึกในเรื่องของการจัดสรรกำลัง ภารกิจ หรือวิธีการแบ่งหน่วยฝึกเชิงลึก) ส่วนใหญ่จะเจอเป้าประสงค์ที่เน้นกว่าในสนามรบ ไม่ใช่เพราะแม่นกว่า แต่ภารกิจกับระยะทางมักจะถูกสั่งให้หวังผลเลิศเข้ามาด้วย เช่น กรณีจับตัวประกัน หรือกรณีที่ต้องหวังผลไม่ถึงแก่ชีวืต
- สำหรับนักกีฬายิงปืน จะถูกฝึกมาเพื่อหวังผลเลิศมากกว่า เนื่องจากต้องปรับเปลี่ยนการยิงและเครื่องมือ "ภายใต้กฎกติการการแข่งขัน" ซึ่งการแข่งขันกีฬามันเป็นกิจกรรมที่ไม่ต่างจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือ มีการ "ควบคุมปัจจัยต่างๆ เพื่อความเท่าเทียมกันของผู้แข่งขัน" เพราะฉะนั้น ปัจจัยแวดล้อมจะมีกติกาบังคับให้อยู่ในสภาพที่เอื้อต่อการสามารถหวังผลเลิศได้ ต่างจากแบบทางยุทธวิธีที่ยิงภายใต้สภาวะปัจจัยแวดล้อมที่ "เป็นเพียงสมติฐานที่ปรับเปลี่ยนตามประสบการณ์" ...นักกีฬายิงปืนจะมีวิธีทำสมาธิอาจจะคล้ายกับทางทหารหรือตำรวจ แต่อาจจะแค่คล้าย เพราะในความเป็นจริงเราใช้สมาธิกับจุดเล็กกลางเป้าเท่ากับก้นยางลบดินสอนั่นก็เครียดแทบบ้าแล้ว ถ้ายังต้องมาปรับเปลี่ยนตามสภาพแวดล้อมที่ไม่ถูกควบคุม ก็หวังผลเลิศลำบากมาก ...สิ่งที่วัดกันคือเทคนิคการควบคุมร่างกายและอุปกรณ์ โดยมีเป้าประสงค์คือการทำคะแนนให้ผิดพลาดน้อยที่สุด ...ความเครียดต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าระดับความเครียดนักกีฬาจะน้อยกว่าทหารหรือตำรวจ ถึงหลายคนจะบอกว่าไม่มีอะไรเทียบเท่ากับความเครียดของการเอาชีวิต แต่สุดท้ายพลแม่นปืน ณ เฉพาะจุดที่ยิงก็จะมองเป้าหมายเป็นเพียงเป้าหมายตามภารกิจ ยากนักที่จะเกิดการยิ่งโดยศีลธรรมเป็นตัวตัดสิน ....ในทางนักกีฬา การไม่สามารถเอาชนะเพื่อไปอยู่บนโพเดียมรับเหรียญรางวัลได้ หลังจากการผ่านการฝึกมาเป็นปีๆ กับการนั่งเพ่งมองเป้าเท่าก้นดินสอทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 100 เหนี่ยวไก (การซ้อมไม่จำเป็นต้องซ้อมใส่กระสุน แต่ซ้อมยิงลมกับเป้าเปล่าเฉยๆ ด้วย) เพราะงั้น ปัจจัยความเครียดควรมองว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากกว่าหน้าที่ อยู่ที่บุคคลคนนั้นมีวิธีรับมือกับความเครียดต่างกันได้ดีแค่ไหน ...
อนึ่ง ...ในขณะที่เป้าประสงค์ทางยุทธิวิธีต้องการแค่ "หยุดการกระทำ" แต่เป้าประสงค์เพื่อหวังผลเป็นเลิศในทางกีฬา คือการ "ไล่ล่ากลุ่มกระสุนให้เล็กที่สุด" ...นักกีฬายิงปืนไม่ว่าจะปืนสั้นหรือยาว จะเน้นความแม่นยำด้วยการฝึกลดขนาดของกลุ่มกระสุน เช่น การยิงหลังเป้า หรือเป้าไม่มีลายระดับคะแนน เพื่อเน้นกลุ่มกระสุน ฝึกความแน่นนอนในการควบคุมร่างกายและอุปกรณ์เพื่อให้ได้ผลของกลุ่มกระสุนที่เล็กและสม่ำเสมอมากที่สุด โดยอาจจะไม่ต้องสนว่าจะเข้ากลางเป้าหรือไม่ เพราะสุดท้าย กลุ่มกระสุนสามารถกลับมาปรับที่อุปกรณ์เพื่ชดเชยศูนย์ได้ แต่ขนาดกลุ่มกระสุนเกิดจากผู้ยิงล้วนๆ เป็นส่วนใหญ่ ...รู้กันมั้ยว่า การแข่งขันยิงปืนยาวระดับปืนยาวมาตรฐานไม่ว่าจะปืนชนวนหรืออัดลม การยิงเข้าเป้ากลางเป็นเรื่อง "มาตรฐาน" มากๆ ในกลุ่มนักกีฬาจริงๆ ...แต่สิ่งที่วัดคือความสามารถในการกินพื้นที่วงกลมวงในสุดที่เป็นรูกากบาท X ได้แค่ไหน ...แต้มจะนับกันเป็น 10.x (เพราะวงในคือ 10 แต้ม แค่โดนขอบวงแหว่งนิดๆ ก็นับ 10 แต้มแล้ว แต่การกินระยะวงเข้าไปจะเริ่มนับเป็น 10.1-10.9 หรือถ้ากินเต็มก็ถือเป็นแต้มพิเศษเพิ่ม) ...นี่คือลักษณะของการหวังผลเป็นเลิศที่แตกต่างจากการหวังผลทางยุทธวิธี ...
..............
ไม่ผิดฮะถ้าอยากจะเทียบ 2 ประเภทการยิงปืนนี้ แต่ ...ถ้าคุณได้ลองสัมผัสทั้ง 2 ประเภทการฝึกยิงแล้ว คุณจะเข้าใจว่า "เสือกับสิงโต ต่างก็เป็นสัตว์ร้ายในถิ่นตน"
ทั้ง 2 แบบไม่น่าจะเอามาเปรียบเรื่องความแม่นกันได้อย่างที่ความเห็นของคุณ todtoh ยกตัวอย่างเปรียบเทียบเอาไว้นะฮะ ....เพราะอะไรนะหรือ...?
เพราะมัน "ต่างเป้าประสงค์" กันยังไงหละฮะ ...ส่วนตัว ข้าเจ้าเคยเป็นนักกีฬายิงปืนสั้นมากก่อน มีต้องคลุกคลีกับทีมยิงปืนยาวบ้าง เคยแข่งยิงประเภทปืนยาวชาวบ้าน (ใช้ ปลย. 11) ขออนุญาตแชร์คร่าวๆ นะฮะ
...ความต่างของทั้ง 2 ประเภทนักแม่นปืนในเรื่องของเป้าประสงค์นั้น ...ทางทหารหรือตำรวจเป้าหมายคือ "หวังผลทางยุทธวิธี" ...ในขณะที่ในกลุ่มนักกีฬายิงปืน เป้าประสงค์จะอยู่ที่ "หวังผลในความเป็นเลิศ" ...เปรียบเทียบง่ายๆ ...
- นักแม่นปืนในกลุ่มทางหวังผลทางยุทธวิธีอย่างพลแม่นปืนทางทหารหรือตำรวจ มีหน้าที่หวังผลเพื่อ "หยุดการกระทำอันเป็นอันตรายต่อพลเมืองฝ่ายตน หรือภารกิจ หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียวกัน" ...เพราะงั้น เป้าหมายแค่หยุดการกระทำ เพื่อให้เป้าหมายที่ถูกยิง หมดสภาพความคุกคามโดยสิ้นเชิง ...ถ้าเจ็บ ก็ต้องเจ็บจนไร้ศักยภาพในการกลับมาคุกคามฝ่ายตนได้ ณ จุดๆ นั้น ถ้าตาย ก็สามารถเล็งจุดตายหวังผลได้ทั่วร่างกาย ไม่จำเป็นต้องเป้าเล็ก แต่ต้องเป็นตำแหน่งหวังผลตาย เพราะฉะนั้น วิธีการเล็ง การคุมสมาธิ การควบคุมปืน และอาวุธที่ใช้จะคนละแบบกับปืนแข่งขัน (ไม่เปรียบเทียบว่าอันไหนเจ๋งกว่ากันนะฮะ ไร้สาระเกิน) เช่น ไม่ต้องเล็งที่จุดกลาง แค่ยิงจุดสำคัญๆ ของร่างกายให้เสียเลือดในปริมาณที่มากที่สุดก็พอ (เพราะงั้นในความเป็นจริง พลแม่นปืนถ้ามีโอกาส เค้าไม่จะเป็นต้องเล็งหัว เพราะมันเป็นเป้าไม่นิ่งที่สุด แต่เล็งกลางอก หรือช่องท้อง (เช่น ตับ) จะให้ประสิทธิผลกับความเป็นไปได้ของการโดนมากที่สุด) เป็นต้น ...
อนึ่ง ...ในบรรดาพลแม่นปืนทางยุทธวิธีด้วยกัน กลุ่มของพลแม่นปืนทางยุทธวิธีในเมือง (ข้าเจ้าไม่ขอเน้นว่าเป็นทหารหรือตำรวจนะฮะ เพราะไม่ทราบเชิงลึกในเรื่องของการจัดสรรกำลัง ภารกิจ หรือวิธีการแบ่งหน่วยฝึกเชิงลึก) ส่วนใหญ่จะเจอเป้าประสงค์ที่เน้นกว่าในสนามรบ ไม่ใช่เพราะแม่นกว่า แต่ภารกิจกับระยะทางมักจะถูกสั่งให้หวังผลเลิศเข้ามาด้วย เช่น กรณีจับตัวประกัน หรือกรณีที่ต้องหวังผลไม่ถึงแก่ชีวืต
- สำหรับนักกีฬายิงปืน จะถูกฝึกมาเพื่อหวังผลเลิศมากกว่า เนื่องจากต้องปรับเปลี่ยนการยิงและเครื่องมือ "ภายใต้กฎกติการการแข่งขัน" ซึ่งการแข่งขันกีฬามันเป็นกิจกรรมที่ไม่ต่างจากการทดลองทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือ มีการ "ควบคุมปัจจัยต่างๆ เพื่อความเท่าเทียมกันของผู้แข่งขัน" เพราะฉะนั้น ปัจจัยแวดล้อมจะมีกติกาบังคับให้อยู่ในสภาพที่เอื้อต่อการสามารถหวังผลเลิศได้ ต่างจากแบบทางยุทธวิธีที่ยิงภายใต้สภาวะปัจจัยแวดล้อมที่ "เป็นเพียงสมติฐานที่ปรับเปลี่ยนตามประสบการณ์" ...นักกีฬายิงปืนจะมีวิธีทำสมาธิอาจจะคล้ายกับทางทหารหรือตำรวจ แต่อาจจะแค่คล้าย เพราะในความเป็นจริงเราใช้สมาธิกับจุดเล็กกลางเป้าเท่ากับก้นยางลบดินสอนั่นก็เครียดแทบบ้าแล้ว ถ้ายังต้องมาปรับเปลี่ยนตามสภาพแวดล้อมที่ไม่ถูกควบคุม ก็หวังผลเลิศลำบากมาก ...สิ่งที่วัดกันคือเทคนิคการควบคุมร่างกายและอุปกรณ์ โดยมีเป้าประสงค์คือการทำคะแนนให้ผิดพลาดน้อยที่สุด ...ความเครียดต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าระดับความเครียดนักกีฬาจะน้อยกว่าทหารหรือตำรวจ ถึงหลายคนจะบอกว่าไม่มีอะไรเทียบเท่ากับความเครียดของการเอาชีวิต แต่สุดท้ายพลแม่นปืน ณ เฉพาะจุดที่ยิงก็จะมองเป้าหมายเป็นเพียงเป้าหมายตามภารกิจ ยากนักที่จะเกิดการยิ่งโดยศีลธรรมเป็นตัวตัดสิน ....ในทางนักกีฬา การไม่สามารถเอาชนะเพื่อไปอยู่บนโพเดียมรับเหรียญรางวัลได้ หลังจากการผ่านการฝึกมาเป็นปีๆ กับการนั่งเพ่งมองเป้าเท่าก้นดินสอทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 100 เหนี่ยวไก (การซ้อมไม่จำเป็นต้องซ้อมใส่กระสุน แต่ซ้อมยิงลมกับเป้าเปล่าเฉยๆ ด้วย) เพราะงั้น ปัจจัยความเครียดควรมองว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากกว่าหน้าที่ อยู่ที่บุคคลคนนั้นมีวิธีรับมือกับความเครียดต่างกันได้ดีแค่ไหน ...
อนึ่ง ...ในขณะที่เป้าประสงค์ทางยุทธิวิธีต้องการแค่ "หยุดการกระทำ" แต่เป้าประสงค์เพื่อหวังผลเป็นเลิศในทางกีฬา คือการ "ไล่ล่ากลุ่มกระสุนให้เล็กที่สุด" ...นักกีฬายิงปืนไม่ว่าจะปืนสั้นหรือยาว จะเน้นความแม่นยำด้วยการฝึกลดขนาดของกลุ่มกระสุน เช่น การยิงหลังเป้า หรือเป้าไม่มีลายระดับคะแนน เพื่อเน้นกลุ่มกระสุน ฝึกความแน่นนอนในการควบคุมร่างกายและอุปกรณ์เพื่อให้ได้ผลของกลุ่มกระสุนที่เล็กและสม่ำเสมอมากที่สุด โดยอาจจะไม่ต้องสนว่าจะเข้ากลางเป้าหรือไม่ เพราะสุดท้าย กลุ่มกระสุนสามารถกลับมาปรับที่อุปกรณ์เพื่ชดเชยศูนย์ได้ แต่ขนาดกลุ่มกระสุนเกิดจากผู้ยิงล้วนๆ เป็นส่วนใหญ่ ...รู้กันมั้ยว่า การแข่งขันยิงปืนยาวระดับปืนยาวมาตรฐานไม่ว่าจะปืนชนวนหรืออัดลม การยิงเข้าเป้ากลางเป็นเรื่อง "มาตรฐาน" มากๆ ในกลุ่มนักกีฬาจริงๆ ...แต่สิ่งที่วัดคือความสามารถในการกินพื้นที่วงกลมวงในสุดที่เป็นรูกากบาท X ได้แค่ไหน ...แต้มจะนับกันเป็น 10.x (เพราะวงในคือ 10 แต้ม แค่โดนขอบวงแหว่งนิดๆ ก็นับ 10 แต้มแล้ว แต่การกินระยะวงเข้าไปจะเริ่มนับเป็น 10.1-10.9 หรือถ้ากินเต็มก็ถือเป็นแต้มพิเศษเพิ่ม) ...นี่คือลักษณะของการหวังผลเป็นเลิศที่แตกต่างจากการหวังผลทางยุทธวิธี ...
..............
ไม่ผิดฮะถ้าอยากจะเทียบ 2 ประเภทการยิงปืนนี้ แต่ ...ถ้าคุณได้ลองสัมผัสทั้ง 2 ประเภทการฝึกยิงแล้ว คุณจะเข้าใจว่า "เสือกับสิงโต ต่างก็เป็นสัตว์ร้ายในถิ่นตน"
แสดงความคิดเห็น
โดยปกติแล้วพลแม่นปืนของทหารกับนักกีฬาแม่นปืนของทีมชาติต่างๆใครยิงปืนแม่นกว่ากัน