กระทู้นี้ จขกท. ตั้งใจเขียนขึ้นหลังจากได้ฟังข่าวกรณีแช่แข็งหนูน้อยวัย 2 ขวบที่สือทั่วโลกสนใจจับตามอง
จขกท.ไม่ขอออกความเห็นว่าในส่วนที่ว่าสิ่งที่ครอบครัวของน้องตัดสินใจทำไปแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด
จึงขอความร่วมมือในการแสดงออกความคิดเห็น ว่าจะไม่พาดพิง และเคารพการตัดสินใจของครอบครัวน้องๆ
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ติดตามข่าวสามารถอ่านตามได้ที่
http://www.pressreader.com/thailand/daily-news-thailand/20150421/281814282401015/TextView
http://news.sanook.com/1782354/
http://hilight.kapook.com/view/119261
หลังจากดูรายการข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จขกท. ก็ได้ติดตามและหาข้อมูลเพิ่มเติมในอินเตอร์เนตบ้าง
และบทความในวารสาร สื่อพลังของ ปตท. คอลัมน์จักรวาลและอจินไตย (ไม่ระบุชื่อผู้แต่ง) ก็ได้ผ่านตาเข้ามา
จึงคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจตีแผ่ ถึงกับยอมเปิดคอมเพื่อเขียนกระทู้นี้กันเลยเชียว
(ห้องคอมจขกท ไม่มีแอร์และร้อนมาก บวกกับสภาพอากาศปัจจุบันคิดว่าติดอยู่ในกระโจมอยู่ไฟละกัน เหอะๆๆ)
กระทู้นี้คัดลอกมาจากวาสารดังกล่าว ดัดแปลงและแต่งเสริมบ้างในบางส่วน จขกท. ไม่มีเจตนาในการคัดลอกความคิด
เพียงแต่เห็นว่าบทความนี่เขียนไว้นานแล้ว แต่กำลังมีการพูดถึงอย่างมากในปัจจุบัน
หากต้องการอ่านต้นฉบับทั้งไทยและอังกฤษ ตามลิ้งค์มาได้เลย
http://www3.pttplc.com/Files/Document/energy_mag/53_2/11_univers&the%20unthinkable.pdf
ในพุทธศาสนา เราเชื่อในเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และชีวิตมนุษย์ที่ตามโดยธรรมชาติเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 70 ปี
แต่ถ้าเรามองดูประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทุกวัฒนธรรมจะมีความเขื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ เช่นการเก็บร่างคนตายไว้ในสภาพสมบูรณ์ เพื่อรอให้วิญญาณผู้ตายกลับเข้ามาในร่างเดิม อย่างมัมมี่ในอียิปต์ หรือ เกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี ผ่านมาหลายร้อยหลายพันปีวิทยาการปัจจุบันก็ยังไม่สามารถทำให้เหล่าคนในอดีตหวนกลับมามีชีวิตใหม่ในร่างเดิมได้
"จากความเชื่อแปรเปลี่ยนไปเป็นวิทยาการ"
แม้ยังไม่มี The Mummy Returns เหมือนในภาพยนต์แต่มนุษย์ก็ยังคงคิดค้นวิธีเอาชนะหรือพยายามฝืนกฎธรรมชาติว่าด้วยเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยวิธีการทางธรรมชาติและทางการแพทย์ เช่นการบรรเทาความเจ็บปวดบ้าง การชะลอความแก่บ้าง ไครออนิกส์ก็เป็นหนึ่งในนั้น หรือไครออนิกส์จะเป็นพาสปอร์ต ในการเดินทางสู่โลกอนาคต
ไครออนิกส์ (Cryonics) วิชาแขนงหนึ่งของฟิสิกส์ ว่าด้วยเรื่องคุณสมบัติของวัตถุในอุณหภูมิต่ำ มีรากศัพท์มาจากกรีก
คำว่า kryos-' มีความหมายว่า 'icy cold'
Robert C.W.Ettinger ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของไครออนิกส์ ได้ก่อตั้งองค์กรเพื่อค้นคว้าและพัฒนาการเก็บรักษาเนื้อเยื่อด้วยวิธี ไครออนิกส์ อย่างจริงจัง โดยการนำเอาร่างกายหรืออวัยวะของมนุษย์และสัตว์ไปแช่ในไนโตรเจนเหลวที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า -196องศาเซลเซียส เหมือนกับฝากธนาคารไว้จนกว่าวิทยาการในอนาคตจะก้าวหน้าพอที่จะปลุกชีพขึ้นมาอีกครั้ง
"ความหวังที่จะกลับมามีชีวิตหลังความตายจึงมิใช่เรื่องเพ้อฝัน"
ตามหลักการแพทย์ที่เชื่อว่า สมองเป็นศูนย์รวมความคิดความรู้ความจำอีกนัยหนึ่งก็คือตัวตนของเรานั่นเอง ดังนั้น หากเก็บรักษาสภาพสมองเอาไว้หลังจากเสียชีวิตทันที ความหวังที่จะกลับมามีชีวิตหลังความตายจึงมิใช่เรื่องเพ้อฝัน หลักการหรือหัวใจของกระบวนการไครออนิกส์ คือ
ชีวิตสามารถหยุดและเริ่มใหม่ได้อีก หากโครงสร้างของเซลล์ได้รับการเก็บรักษาอย่างดีและหยุด กระบวนการทางเคมีทั้งหมด และด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Vitrification ทำให้สามารถแช่แข็งเนื้อเยื่อให้อยู่ในสภาพที่แข็งเหมือนแก้ว โดยใช้สารเคมีที่ช่วยยับยั้งการก่อตัวเป็นผลึกน้ำแข็งในขณะที่ อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เซลล์ไม่เสียหายจาก การขยายตัวของน้ำแข็งเหมือนกับการแช่แข็งปกติ พูดง่ายๆ Vitrification ไม่ใช่การแช่ Freeze ซึ่งจะทำลายเนื้อเยื่อนั่นเอง
ดังนั้นทันทีที่หัวใจหยุดเต้น สมองคนไข้จะได้รับการปกป้อง โดยมีอุปกรณ์เติมออกซิเจนสู่สมองเพื่อป้องกันสมองตาย และต่อเส้นเลือดดำเข้ากับอุปกรณ์เติมสารเคมีเพื่อรักษาระดับ ความดันโลหิต เมื่ออุณหภูมิของร่างกายถูกลดลงจนใกล้ถึง 0องศาเซลเซียส จึงแทนที่เลือดด้วยสารเคมีที่ป้องกัน การก่อตัวเป็นผลึกน้ำแข็ง แล้วลดอุณหภูมิลงเรื่อยๆ ประมาณ 3ชั่วโมง ให้ร่างทั้งหมดอยู่ที่อุณหภูมิ-124องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นสถานะที่ปลอดน้ำแข็งอย่างสิ้นเชิง และใช้เวลาอีกกว่า 2 สัปดาห์เพื่อลดอุณหภูมิจนถึง -196องศาเซลเซียส หลังจากนั้นจึงเก็บรักษาระยะยาวโดยใช้ไนโตรเจนเหลว ในการควบคุมอุณหภูมิ เมื่อเซลล์ซึ่งเป็นโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต ได้รับการเก็บ รักษาเป็นอย่างดีทั้งยังมีแนวโน้มว่าวิทยาการในอนาคตจะ สามารถ“ซ่อม” ความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น การคืนกลับ ของชีวิตจึงย่อมเป็นไปได้ แม้จะยังไม่เคยมีข้อมูลว่ามนุษย์รอดชีวิตจากอุณหภูมิ ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง หรือวิทยาการในการซ่อมสร้างร่างใหม่ จะมาถึงเมื่อใด สมองมนุษย์ที่ถูกแช่แข็งด้วยวิธีดังกล่าวจะ สามารถ“ปลุก” ให้ฟื้นโดยที่ยังเก็บข้อมูลเดิมได้อย่างสมบูรณ์ หรือไม่ยังคงเป็นเรื่องที่รอคอยการพิสูจน์
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในคำถามที่ไครออนิกส์ยังไม่อาจตอบ ได้อย่างชัดเจน คือเรื่องของจิตวิญญาณ (soul) นั่นเอง ใน ค.ศ.1907 นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน Dr. Duncan MacDougall พบว่า น้ำหนักของผู้ที่ตายใหม่ๆ จะลดลง 21กรัม แม้ไม่มีการต่อยอด การทดลองนี้แต่หลายคนก็เชื่อว่า มวล 21 กรัมที่หายไปนั้น ก็คือวิญญาณซึ่งอยู่ในรูปพลังงาน โดยทางวิทยาศาสตร์ถือว่า วิญญาณเป็นสสาร คือรูปแบบหนึ่งของพลังงาน และจากสมการE = mc2 แสดงให้เห็นว่า มวลขนาดเล็กน้อยสามารถแปลงเป็นพลังงาน ปริมาณมหาศาลได้
หากเทียบในขันธ์5 ในศาสนาพุทธ -รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ก้อนสมอง=รูป
สิ่งที่สมองรับรู้และจดจำ = เวทนา สัญญาและสังขารซึ่งเรียก รวมว่า เจตสิก (เจ-ตะ-สิก)
ส่วนวิญญาณ=จิต
โดยที่เจตสิกและจิต ไม่อาจแยกกันได้จะเกิดหรือดับพร้อมกันเสมอ เหมือนเอาสีผสมน้ำเมื่อผสมแล้วก็ไม่สามารถแยกสีออกจากน้ำได้ หมายความว่า ตัวตน “ที่แท้จริง” ของคน ไม่ได้อยู่ที่สมองอันเป็น “รูปขันธ์” แต่เป็น “นามขันธ์” อันได้แก่จิตและเจตสิกนั่นเอง ดังความเชื่อของทิเบตเรื่อง การสืบทอดตำแหน่งขององค์ทะไลลามะกล่าวคือเมื่อ รูปขันธ์ขององค์ทะไลลามะดับสูญตามอายุนามขันธ์จะเข้าสู่ รูปขันธ์ใหม่ เพื่อกลับมาเป็นทะไลลามะองค์ต่อไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ในแผ่นดินทิเบตนั้น บุคคลระดับสูงที่ได้รับการยกย่อง และควรแก่ การเคารพ คือลามะตัลกู หรือตัลกุ ซึ่งชาวธิเบตโดยทั่วไปเชื่อว่า บุคคลเหล่านี้มีอำนาจจิตสูง เมื่อมรณภาพแล้ว ก็ย่อมกลับชาติมาเกิด ใหม่ได้อีกหรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ลามะตัลกูบางกลุ่ม เป็นผู้ ระลึกชาติได้
ในบรรดาลามะตัลกูนี้ ที่สำคัญที่สุดและได้รับการยกย่องเคารพบูชา มากที่สุดก็คือ " กยัลวา ริมโปชี " หรืออีกนัยหนึ่งคือ " ดาไลลามะ " คำว่า " กยัลวา ริมโปชี " เป็นพระนามของดาไลลามะ ที่ชาวทิเบต ทั่วประเทศเรียกกัน คำนี้มีความหมายว่า " กษัตริย์ผู้ประเสริฐ "
ดาไลลามะทุกองค์ของทิเบต ชาวทิเบตต่างเชื่อว่าในชาติก่อนเป็นพระ เจ้าแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ตำแหน่งดาไลลามะเป็นทั้งพระราชาและ พระสังฆราชของทิเบต และองค์ดาไลลามะ นับตั้งแต่องค์แรกจนถึง องค์ที่ 14 นั้น ถือกันว่าเป็นองค์เดียวกัน คือ จะเวียนกลับชาติมาเกิด ใหม่ ทั้งนี้ผลมาจากอำนาจพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ด้วยเหตุดัง กล่าวนี้ ชาวทิเบตทุกผู้ทุกนามจึงเคารพและเทิดทูนองค์ดาไลลามะใน ฐานะพระมหากษัตริย์ และสกลมหาสังฆปรินายกพร้อม ๆ กัน
สำหรับคนทั่วไปที่ยังไม่หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร นามขันธ์จะออกจากรูปขันธ์เดิมในทันทีที่ตาย จากนั้นจึงเข้าสู่ รูปขันธ์ใหม่ใช้สมองก้อนใหม่โดยไร้ความทรงจำของชีวิตเก่า ไม่ใช่กลับชาติมาเกิด แต่คือ เกิดเพื่อมาชดใช้กรรมเก่า
อย่างไรก็ตาม การตัดสินว่า “ตาย” ในทางการแพทย์ก็ยัง ไม่แน่ชัดว่าการตายที่แท้จริงคือการที่สมองตายหรือหัวใจหยุดเต้นกันแน่ หากเราเลี้ยงสมองไม่ให้“ตาย”จนถึง ช่วงเวลาแช่แข็งได้จิตวิญญาณ รวมทั้งความคิด ความทรงจำ ความฉลาดปราดเปรื่องจะหลับใหลไปพร้อมกับ ก้อนสมองหรือไม่ นี่อาจเป็นที่มาของหนึ่งในข้อตกลงที่ว่า “คนไข้”จะต้องไม่อยู่ในภาวะสมองตายก่อนเข้าสู่ กระบวนการไครออนิกส์
ถ้าจิตวิญญาณของมนุษย์ยังคงอยู่ในสมองดังที่คาดไว้ โดยที่มวล 21กรัม ถูกแช่แข็งอย่างไม่ทันตั้งตัวจนไม่มี ความเร่ง ส่งผลให้ไม่มีพลังงาน หลุดรอดเป็นวิญญาณ จากร่างไปได้หรือมีวิทยาการที่ก้าวหน้าพอที่จะเก็บรักษาข้อมูลวิญญาณในรูปแบบดิจิตอล ก็อาจมี ความเป็นไปได้ที่เราจะสามารถคืนชีพได้เราอาจเกิดอีกครั้ง โดยการดาวน์โหลดข้อมู,เก่าลงบนสมองเทียม แต่หากชีวิตคือการทำงาน “ร่วมกัน” ทั้งสมองและหัวใจ และการตายคือการที่อวัยวะสำคัญทั้งสองถูกแยกออกจากกัน หรือการตายคือการที่เซลล์ทั้งหมดหยุดกระบวนการทางเคมี เมื่อ“พลังงาน” ที่ได้จากมวล 21กรัมถูกปลดปล่อย สมอง ที่บรรจงเก็บรักษาก็เป็นได้เพียงฮาร์ดดิสก์ว่างเปล่า?
อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายร้อย หลายพันปี กว่ามนุษยชาติจะได้คำตอบ ไม่รู้ว่าวิทยาการในอนาคตมนุษย์อาจสามารถสร้างร่างอวตารเหมือนในหนัง เรื่อง AVATAR หรือถูกแข่แข็งแล้วกลับมามีชีวิตเหมือนเรื่อง Forever Young สามารถทางข้ามจักรวาล หรือสามารถสร้างโลกใต้พิภพ เรามักจะเห็นอะไรก็ตามที่ไม่น่าเชื่อจากในภาพยนต์เหล่านี้แหละ เพียงแต่ในช่วงอายุขัยของคนๆหนึ่งอาจไม่มีวันได้เห็นมัน
ฤาวิทยาศาสตร์จะสามารถเอาชนะได้แม้กระทั่งความตายได้
จขกท.ไม่ขอออกความเห็นว่าในส่วนที่ว่าสิ่งที่ครอบครัวของน้องตัดสินใจทำไปแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด
จึงขอความร่วมมือในการแสดงออกความคิดเห็น ว่าจะไม่พาดพิง และเคารพการตัดสินใจของครอบครัวน้องๆ
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ติดตามข่าวสามารถอ่านตามได้ที่
http://www.pressreader.com/thailand/daily-news-thailand/20150421/281814282401015/TextView
http://news.sanook.com/1782354/
http://hilight.kapook.com/view/119261
หลังจากดูรายการข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จขกท. ก็ได้ติดตามและหาข้อมูลเพิ่มเติมในอินเตอร์เนตบ้าง
และบทความในวารสาร สื่อพลังของ ปตท. คอลัมน์จักรวาลและอจินไตย (ไม่ระบุชื่อผู้แต่ง) ก็ได้ผ่านตาเข้ามา
จึงคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจตีแผ่ ถึงกับยอมเปิดคอมเพื่อเขียนกระทู้นี้กันเลยเชียว
(ห้องคอมจขกท ไม่มีแอร์และร้อนมาก บวกกับสภาพอากาศปัจจุบันคิดว่าติดอยู่ในกระโจมอยู่ไฟละกัน เหอะๆๆ)
กระทู้นี้คัดลอกมาจากวาสารดังกล่าว ดัดแปลงและแต่งเสริมบ้างในบางส่วน จขกท. ไม่มีเจตนาในการคัดลอกความคิด
เพียงแต่เห็นว่าบทความนี่เขียนไว้นานแล้ว แต่กำลังมีการพูดถึงอย่างมากในปัจจุบัน
หากต้องการอ่านต้นฉบับทั้งไทยและอังกฤษ ตามลิ้งค์มาได้เลย
http://www3.pttplc.com/Files/Document/energy_mag/53_2/11_univers&the%20unthinkable.pdf
ในพุทธศาสนา เราเชื่อในเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และชีวิตมนุษย์ที่ตามโดยธรรมชาติเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 70 ปี
แต่ถ้าเรามองดูประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทุกวัฒนธรรมจะมีความเขื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ เช่นการเก็บร่างคนตายไว้ในสภาพสมบูรณ์ เพื่อรอให้วิญญาณผู้ตายกลับเข้ามาในร่างเดิม อย่างมัมมี่ในอียิปต์ หรือ เกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี ผ่านมาหลายร้อยหลายพันปีวิทยาการปัจจุบันก็ยังไม่สามารถทำให้เหล่าคนในอดีตหวนกลับมามีชีวิตใหม่ในร่างเดิมได้
"จากความเชื่อแปรเปลี่ยนไปเป็นวิทยาการ"
แม้ยังไม่มี The Mummy Returns เหมือนในภาพยนต์แต่มนุษย์ก็ยังคงคิดค้นวิธีเอาชนะหรือพยายามฝืนกฎธรรมชาติว่าด้วยเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยวิธีการทางธรรมชาติและทางการแพทย์ เช่นการบรรเทาความเจ็บปวดบ้าง การชะลอความแก่บ้าง ไครออนิกส์ก็เป็นหนึ่งในนั้น หรือไครออนิกส์จะเป็นพาสปอร์ต ในการเดินทางสู่โลกอนาคต
ไครออนิกส์ (Cryonics) วิชาแขนงหนึ่งของฟิสิกส์ ว่าด้วยเรื่องคุณสมบัติของวัตถุในอุณหภูมิต่ำ มีรากศัพท์มาจากกรีก
คำว่า kryos-' มีความหมายว่า 'icy cold'
Robert C.W.Ettinger ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของไครออนิกส์ ได้ก่อตั้งองค์กรเพื่อค้นคว้าและพัฒนาการเก็บรักษาเนื้อเยื่อด้วยวิธี ไครออนิกส์ อย่างจริงจัง โดยการนำเอาร่างกายหรืออวัยวะของมนุษย์และสัตว์ไปแช่ในไนโตรเจนเหลวที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า -196องศาเซลเซียส เหมือนกับฝากธนาคารไว้จนกว่าวิทยาการในอนาคตจะก้าวหน้าพอที่จะปลุกชีพขึ้นมาอีกครั้ง
"ความหวังที่จะกลับมามีชีวิตหลังความตายจึงมิใช่เรื่องเพ้อฝัน"
ตามหลักการแพทย์ที่เชื่อว่า สมองเป็นศูนย์รวมความคิดความรู้ความจำอีกนัยหนึ่งก็คือตัวตนของเรานั่นเอง ดังนั้น หากเก็บรักษาสภาพสมองเอาไว้หลังจากเสียชีวิตทันที ความหวังที่จะกลับมามีชีวิตหลังความตายจึงมิใช่เรื่องเพ้อฝัน หลักการหรือหัวใจของกระบวนการไครออนิกส์ คือ
ชีวิตสามารถหยุดและเริ่มใหม่ได้อีก หากโครงสร้างของเซลล์ได้รับการเก็บรักษาอย่างดีและหยุด กระบวนการทางเคมีทั้งหมด และด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Vitrification ทำให้สามารถแช่แข็งเนื้อเยื่อให้อยู่ในสภาพที่แข็งเหมือนแก้ว โดยใช้สารเคมีที่ช่วยยับยั้งการก่อตัวเป็นผลึกน้ำแข็งในขณะที่ อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เซลล์ไม่เสียหายจาก การขยายตัวของน้ำแข็งเหมือนกับการแช่แข็งปกติ พูดง่ายๆ Vitrification ไม่ใช่การแช่ Freeze ซึ่งจะทำลายเนื้อเยื่อนั่นเอง
ดังนั้นทันทีที่หัวใจหยุดเต้น สมองคนไข้จะได้รับการปกป้อง โดยมีอุปกรณ์เติมออกซิเจนสู่สมองเพื่อป้องกันสมองตาย และต่อเส้นเลือดดำเข้ากับอุปกรณ์เติมสารเคมีเพื่อรักษาระดับ ความดันโลหิต เมื่ออุณหภูมิของร่างกายถูกลดลงจนใกล้ถึง 0องศาเซลเซียส จึงแทนที่เลือดด้วยสารเคมีที่ป้องกัน การก่อตัวเป็นผลึกน้ำแข็ง แล้วลดอุณหภูมิลงเรื่อยๆ ประมาณ 3ชั่วโมง ให้ร่างทั้งหมดอยู่ที่อุณหภูมิ-124องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นสถานะที่ปลอดน้ำแข็งอย่างสิ้นเชิง และใช้เวลาอีกกว่า 2 สัปดาห์เพื่อลดอุณหภูมิจนถึง -196องศาเซลเซียส หลังจากนั้นจึงเก็บรักษาระยะยาวโดยใช้ไนโตรเจนเหลว ในการควบคุมอุณหภูมิ เมื่อเซลล์ซึ่งเป็นโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต ได้รับการเก็บ รักษาเป็นอย่างดีทั้งยังมีแนวโน้มว่าวิทยาการในอนาคตจะ สามารถ“ซ่อม” ความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น การคืนกลับ ของชีวิตจึงย่อมเป็นไปได้ แม้จะยังไม่เคยมีข้อมูลว่ามนุษย์รอดชีวิตจากอุณหภูมิ ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง หรือวิทยาการในการซ่อมสร้างร่างใหม่ จะมาถึงเมื่อใด สมองมนุษย์ที่ถูกแช่แข็งด้วยวิธีดังกล่าวจะ สามารถ“ปลุก” ให้ฟื้นโดยที่ยังเก็บข้อมูลเดิมได้อย่างสมบูรณ์ หรือไม่ยังคงเป็นเรื่องที่รอคอยการพิสูจน์
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในคำถามที่ไครออนิกส์ยังไม่อาจตอบ ได้อย่างชัดเจน คือเรื่องของจิตวิญญาณ (soul) นั่นเอง ใน ค.ศ.1907 นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน Dr. Duncan MacDougall พบว่า น้ำหนักของผู้ที่ตายใหม่ๆ จะลดลง 21กรัม แม้ไม่มีการต่อยอด การทดลองนี้แต่หลายคนก็เชื่อว่า มวล 21 กรัมที่หายไปนั้น ก็คือวิญญาณซึ่งอยู่ในรูปพลังงาน โดยทางวิทยาศาสตร์ถือว่า วิญญาณเป็นสสาร คือรูปแบบหนึ่งของพลังงาน และจากสมการE = mc2 แสดงให้เห็นว่า มวลขนาดเล็กน้อยสามารถแปลงเป็นพลังงาน ปริมาณมหาศาลได้
หากเทียบในขันธ์5 ในศาสนาพุทธ -รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ก้อนสมอง=รูป
สิ่งที่สมองรับรู้และจดจำ = เวทนา สัญญาและสังขารซึ่งเรียก รวมว่า เจตสิก (เจ-ตะ-สิก)
ส่วนวิญญาณ=จิต
โดยที่เจตสิกและจิต ไม่อาจแยกกันได้จะเกิดหรือดับพร้อมกันเสมอ เหมือนเอาสีผสมน้ำเมื่อผสมแล้วก็ไม่สามารถแยกสีออกจากน้ำได้ หมายความว่า ตัวตน “ที่แท้จริง” ของคน ไม่ได้อยู่ที่สมองอันเป็น “รูปขันธ์” แต่เป็น “นามขันธ์” อันได้แก่จิตและเจตสิกนั่นเอง ดังความเชื่อของทิเบตเรื่อง การสืบทอดตำแหน่งขององค์ทะไลลามะกล่าวคือเมื่อ รูปขันธ์ขององค์ทะไลลามะดับสูญตามอายุนามขันธ์จะเข้าสู่ รูปขันธ์ใหม่ เพื่อกลับมาเป็นทะไลลามะองค์ต่อไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับคนทั่วไปที่ยังไม่หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร นามขันธ์จะออกจากรูปขันธ์เดิมในทันทีที่ตาย จากนั้นจึงเข้าสู่ รูปขันธ์ใหม่ใช้สมองก้อนใหม่โดยไร้ความทรงจำของชีวิตเก่า ไม่ใช่กลับชาติมาเกิด แต่คือ เกิดเพื่อมาชดใช้กรรมเก่า
อย่างไรก็ตาม การตัดสินว่า “ตาย” ในทางการแพทย์ก็ยัง ไม่แน่ชัดว่าการตายที่แท้จริงคือการที่สมองตายหรือหัวใจหยุดเต้นกันแน่ หากเราเลี้ยงสมองไม่ให้“ตาย”จนถึง ช่วงเวลาแช่แข็งได้จิตวิญญาณ รวมทั้งความคิด ความทรงจำ ความฉลาดปราดเปรื่องจะหลับใหลไปพร้อมกับ ก้อนสมองหรือไม่ นี่อาจเป็นที่มาของหนึ่งในข้อตกลงที่ว่า “คนไข้”จะต้องไม่อยู่ในภาวะสมองตายก่อนเข้าสู่ กระบวนการไครออนิกส์
ถ้าจิตวิญญาณของมนุษย์ยังคงอยู่ในสมองดังที่คาดไว้ โดยที่มวล 21กรัม ถูกแช่แข็งอย่างไม่ทันตั้งตัวจนไม่มี ความเร่ง ส่งผลให้ไม่มีพลังงาน หลุดรอดเป็นวิญญาณ จากร่างไปได้หรือมีวิทยาการที่ก้าวหน้าพอที่จะเก็บรักษาข้อมูลวิญญาณในรูปแบบดิจิตอล ก็อาจมี ความเป็นไปได้ที่เราจะสามารถคืนชีพได้เราอาจเกิดอีกครั้ง โดยการดาวน์โหลดข้อมู,เก่าลงบนสมองเทียม แต่หากชีวิตคือการทำงาน “ร่วมกัน” ทั้งสมองและหัวใจ และการตายคือการที่อวัยวะสำคัญทั้งสองถูกแยกออกจากกัน หรือการตายคือการที่เซลล์ทั้งหมดหยุดกระบวนการทางเคมี เมื่อ“พลังงาน” ที่ได้จากมวล 21กรัมถูกปลดปล่อย สมอง ที่บรรจงเก็บรักษาก็เป็นได้เพียงฮาร์ดดิสก์ว่างเปล่า?
อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายร้อย หลายพันปี กว่ามนุษยชาติจะได้คำตอบ ไม่รู้ว่าวิทยาการในอนาคตมนุษย์อาจสามารถสร้างร่างอวตารเหมือนในหนัง เรื่อง AVATAR หรือถูกแข่แข็งแล้วกลับมามีชีวิตเหมือนเรื่อง Forever Young สามารถทางข้ามจักรวาล หรือสามารถสร้างโลกใต้พิภพ เรามักจะเห็นอะไรก็ตามที่ไม่น่าเชื่อจากในภาพยนต์เหล่านี้แหละ เพียงแต่ในช่วงอายุขัยของคนๆหนึ่งอาจไม่มีวันได้เห็นมัน