ยามาโตะคือดวงวิญญาณที่อยู่ในร่างโอเด้ง
แบบว่าโอเด้งตายไปแล้วจริงๆแหล่ะแต่ไคโดเห็นว่าร่างกายโอเด้งแข็งแกร่งมากเลยเสียดาย บวกกับลูกชายของตน(ยามาโตะ)ในตอนนั้นพิการหรือร่างกายไม่แข็งแรง เลยขอให้คนสนิทช่วยใช้พลังย้ายดวงวิญญาณของลูกชายไปไว้ที่ร่างโอเด้ง(หลังจากฟื้นฟูร่างกายโอเด้ง ด้วยเทคโนโลยีที่มี) แล้วเพื่อให้เกียรติโอเด้งคนที่ตายไปแล้ว จึงให้ยามาโตะในร่างโอเด้งใส่หน้ากากไว้ตลอดเวลา ซึ่งคนที่ผมคิดว่าเป็นคนย้ายดวงวิญญาณลูกชายให้ไคโดน่าจะคือ บิ๊กมัมนี่แหล่ะครับ เลยเป็นเรื่องที่ไคโดติดค้างบิ๊กมัมอยู่จนถึงทุกวันนี้
ทำไมต้องใส่หน้ากาก?
ผมคิดว่าเป็นได้ 4 กรณี
1.ไคโดให้เกียรติผู้ตายตามที่บอกไปครับ เพราะไคโดเองก็ไม่ชอบที่ชนะโอเด้งอย่างไม่เป็นธรรม และยอมรับในความแข็งแกร่งของโอเด้ง คงไม่อยากเห็นหน้าโอเด้ง(ยามาโตะ) เดินไปมา อาจจะรู้สึกไม่ดีเอาก็ได้ ก็ศัตรูมาเป็นลูกชายนี่นะ
2.ใบหน้าของร่างโอเด้ง เละจนดูไม่ได้ครับ เพราะตอนที่ประหาร หน้าโอเด้งจุ่มไปในน้ำเดือดๆเลย คงเละน่าดูจึงให้ใส่หน้ากาก
3.ปกปิดตัวตนครับ เพราะถ้ามีใครเห็นว่าโอเด้งยังไม่ตาย(ซึ่งจริงๆแล้วคือยามาโตะในร่างโอเด้ง)อาจไม่เป็นผลดีต่อกลุ่มไคโดเอง เนื่องจากท่าทีของยามาโตะไม่ได้เห็นด้วยกับแนวคิดของไคโด จึงใช้ประโยชน์จากส่วนนี้ไม่ได้ เลยให้ปิดไว้
4.ปกปิดตัวตน (ด้วยความตั้งใจของตนเอง) เพื่อไม่ให้ประชาชนรู้ว่าตนครอบครองร่างของอดีตไดเมียวที่เป็นที่เคารพของผู้คนมากมาย ยิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วตนเป็นลูกของไคโด ที่เป็นคนทำลายประเทศนี้แล้วหล่ะก็ คงเกิดความวุ่นวาย เกิดจลาจลในวาโนะมากแน่ๆ
แล้วรู้จักมังกี้ ดี ลูฟี่ ได้ไง ทั้งๆที่เป็นประเทศปิด?
ผมเห็นด้วยกับบางความเห็นที่บอกว่า "เอสเล่าให้ยามาโตะฟัง" ครับโดยแบ่งความเป็นไปได้อีก 2 กรณี
1.ตอนยามาโตะยังเป็นคนร่างกายไม่แข็งแรง อาจบังเอิญได้รับความช่วยเหลือจากเอสและรู้สึกชื่นชมในตัวเอส(เหมือนทามะ) แล้วก็นั่งคุยกันจริงจัง เอสก็ฉอดเรื่องลูฟี่ให่ฟัง ประมาณนี้
2.ตอนที่ย้ายวิญญาณมาร่างโอเด้งเรียบร้อยแล้ว จากที่เห็นยามาโตะที่มีความคิดต่อต้านไคโด เนื่องจากความเชื่อในอุดมการณ์ของโอเด้ง(เพราะเห็นเหตุการณ์ประหาร หรือ เหตุการณ์ที่โอเด้งโดนเล่นตุกติกระหว่างสู้กับไคโด) จึงหาวิธีที่จะเปิดประเทศวาโนตามความตั้งใจของโอเด้ง ระหว่างที่พยายามออกทะเล บังเอิญไปเจอเอสพอดี เลยนั่งคุยกันถึงสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบัน เอสคงเล่าอะไรเกี่ยวกับลูฟี่ให้ยามาโตะฟังนั่นแหล่ะครับ
จาก One Piece 983 เป็นไปได้ไหมว่ายามาโตะคือ....
แบบว่าโอเด้งตายไปแล้วจริงๆแหล่ะแต่ไคโดเห็นว่าร่างกายโอเด้งแข็งแกร่งมากเลยเสียดาย บวกกับลูกชายของตน(ยามาโตะ)ในตอนนั้นพิการหรือร่างกายไม่แข็งแรง เลยขอให้คนสนิทช่วยใช้พลังย้ายดวงวิญญาณของลูกชายไปไว้ที่ร่างโอเด้ง(หลังจากฟื้นฟูร่างกายโอเด้ง ด้วยเทคโนโลยีที่มี) แล้วเพื่อให้เกียรติโอเด้งคนที่ตายไปแล้ว จึงให้ยามาโตะในร่างโอเด้งใส่หน้ากากไว้ตลอดเวลา ซึ่งคนที่ผมคิดว่าเป็นคนย้ายดวงวิญญาณลูกชายให้ไคโดน่าจะคือ บิ๊กมัมนี่แหล่ะครับ เลยเป็นเรื่องที่ไคโดติดค้างบิ๊กมัมอยู่จนถึงทุกวันนี้
ทำไมต้องใส่หน้ากาก?
ผมคิดว่าเป็นได้ 4 กรณี
1.ไคโดให้เกียรติผู้ตายตามที่บอกไปครับ เพราะไคโดเองก็ไม่ชอบที่ชนะโอเด้งอย่างไม่เป็นธรรม และยอมรับในความแข็งแกร่งของโอเด้ง คงไม่อยากเห็นหน้าโอเด้ง(ยามาโตะ) เดินไปมา อาจจะรู้สึกไม่ดีเอาก็ได้ ก็ศัตรูมาเป็นลูกชายนี่นะ
2.ใบหน้าของร่างโอเด้ง เละจนดูไม่ได้ครับ เพราะตอนที่ประหาร หน้าโอเด้งจุ่มไปในน้ำเดือดๆเลย คงเละน่าดูจึงให้ใส่หน้ากาก
3.ปกปิดตัวตนครับ เพราะถ้ามีใครเห็นว่าโอเด้งยังไม่ตาย(ซึ่งจริงๆแล้วคือยามาโตะในร่างโอเด้ง)อาจไม่เป็นผลดีต่อกลุ่มไคโดเอง เนื่องจากท่าทีของยามาโตะไม่ได้เห็นด้วยกับแนวคิดของไคโด จึงใช้ประโยชน์จากส่วนนี้ไม่ได้ เลยให้ปิดไว้
4.ปกปิดตัวตน (ด้วยความตั้งใจของตนเอง) เพื่อไม่ให้ประชาชนรู้ว่าตนครอบครองร่างของอดีตไดเมียวที่เป็นที่เคารพของผู้คนมากมาย ยิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วตนเป็นลูกของไคโด ที่เป็นคนทำลายประเทศนี้แล้วหล่ะก็ คงเกิดความวุ่นวาย เกิดจลาจลในวาโนะมากแน่ๆ
แล้วรู้จักมังกี้ ดี ลูฟี่ ได้ไง ทั้งๆที่เป็นประเทศปิด?
ผมเห็นด้วยกับบางความเห็นที่บอกว่า "เอสเล่าให้ยามาโตะฟัง" ครับโดยแบ่งความเป็นไปได้อีก 2 กรณี
1.ตอนยามาโตะยังเป็นคนร่างกายไม่แข็งแรง อาจบังเอิญได้รับความช่วยเหลือจากเอสและรู้สึกชื่นชมในตัวเอส(เหมือนทามะ) แล้วก็นั่งคุยกันจริงจัง เอสก็ฉอดเรื่องลูฟี่ให่ฟัง ประมาณนี้
2.ตอนที่ย้ายวิญญาณมาร่างโอเด้งเรียบร้อยแล้ว จากที่เห็นยามาโตะที่มีความคิดต่อต้านไคโด เนื่องจากความเชื่อในอุดมการณ์ของโอเด้ง(เพราะเห็นเหตุการณ์ประหาร หรือ เหตุการณ์ที่โอเด้งโดนเล่นตุกติกระหว่างสู้กับไคโด) จึงหาวิธีที่จะเปิดประเทศวาโนตามความตั้งใจของโอเด้ง ระหว่างที่พยายามออกทะเล บังเอิญไปเจอเอสพอดี เลยนั่งคุยกันถึงสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบัน เอสคงเล่าอะไรเกี่ยวกับลูฟี่ให้ยามาโตะฟังนั่นแหล่ะครับ