<< บทความแปล MUFC ตอน 4.1 >> "แฉเบื้องลึกเบื่องหลัง ทุกปัญหาที่ทำให้ รอย คีน ต้องเดินจากไป" จากปากคำของ รอย คีน

**-เหตุการณ์นี้ค่อนข้างยาวนะครับ ผมจะแบ่งเป็น ตอน4.1 และ4.2(ที่จะโพสภายหน้า) เนื้อหาบางส่วนที่ไม่สำคัญได้ถูกตัดออกไปบ้าง
**-หากมีอะไรผิดพลาดต้องขอโทษด้วยครับ จุดประสงค์เพื่อให้คนฟุตบอลได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังที่น่าสนใจ ถ้าพร้อมแล้ว จัดไปครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
   ความผิดปรกติเริ่มต้นขึ้นในช่วงปรีซีซั่น 2005 นั้นก็คือเรื่องการเข้าแคมป์ปรีซีซั่นที่โปรตุเกส มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย แต่แท้จริงแล้วมันรุนแรงเลยละ เรามีโปรแกรมเก็บตัวที่แคมป์ “วารูโดโบ้” ในโปรตุเกส พวกเราเดินทางไปพร้อมกับครอบครัวซึ่งเราไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน ผมเดินทางล่วงหน้าไปก่อนวันรายงานตัวประมาณหนึ่งอาทิตย์และพักอยู่ในรีสอร์ทใกล้ๆวารูโดโบ้ ทุกคนจะบินตามมาในวันอาทิตย์และการซ้อมจะเริ่มต้นขึ้นวันจันทร์ พอวันอาทิตย์มาถึงผมกับครอบครัวก็ย้ายไปอยู่กับทุกๆคนที่วารูโดโบ้
  ผู้จัดการสาวที่วารูโดโบ้พาผมไปดูที่พักของผมและครอบครัว ผมมองไปรอบๆและพูดกับเธอว่า“ผมมีลูกมาด้วย 5 คน บ้านนี้มันเล็กเกินไปนะ” บ้านพัก 3 ห้องนอนพร้อมกับสระว่ายน้ำซึ่งผมคิดว่ามันอันตรายเพราะเรามีเด็ก 5คนและคนโตที่สุดอายุ 10ขวบ ผมแค่ไม่สบายใจกับมัน
     เธอบอกว่าไม่มีใครบอกเธอว่าผมจะพาเด็ก 5คนมาด้วย เธอเข้าใจความรู้สึกผมนะ ถ้าจำไม่ผิดเธอพูดด้วยว่าบ้านหลังนี้ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับครอบครัว แถมเธอยังชี้ไปที่โต๊ะกระจกที่มีมุมแหลมคม ที่นี่มันไม่เหมาะกับครอบครัวผม เมียของผมที่เป็นคนเงียบๆยังพูดเลยว่า”เราอยู่ที่นี่ไม่ได้ มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เด็กอยู่ด้วย”  ผู้จัดการรีสอร์ทพาผมไปดูบ้านอีกหลัง มันดีกว่าเดิมนะ แต่ผมคิดว่าจะกลับไปอยู่ที่พักเดิมที่ผมพักก่อนมารายงานตัวเพราะมันห่างจากที่นี่แค่ 5นาทีเอง ระหว่างนั้นคารอส(คารอส กีรอส ผู้ช่วยผจก.ทีม)เดินเข้ามา คารอส -ชาวโปรตุเกส- เป็นคนจัดการทริปนี้และผมคิดว่าเขาคงรู้จักกับคนในรีสอร์ทนี้
  เขาพูดว่า”อืม บ้านนี้มันด็เยี่ยมดีนิ” ผมตอบว่า”ฉันอยากไปอยู่ที่พักเดิม ฉันจะออกค่าใช้จ่ายเอง ฉันอยากให้ครอบครัวฉันรู้สึกสบายตอนที่ฉันกำลังซ้อมอยู่” แต่เราเห็นไม่ตรงกัน มันไม่ได้รุนแรงอะไรหรอก ผมรู้ว่าเรามาที่นี่เพื่อซ้อมปรีซีซั่น แต่นี่คือฮอลลิเดย์ของเมียและลูกของผม ผมคิดว่าคารอสไม่ค่อยพอใจและเรื่องนี้ต้องถึงหูบอส( อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน)อย่างไรก็ตาม ผมตัดสินใจกลับไปพักที่รีสอร์ทเดิม ที่ๆผมพักตอนมาถึง
  เมื่อการซ้อมครั้งแรกเสร็จสิ้น ระหว่างผมนั่งอยู่ในห้องแต่งตัว บอสเขามาตะโกนและโวยวายใส่ผม ตอนนั้นในห้องมีแต่ผมคนเดียว คนอื่นๆยังอยู่ข้างนอกแต่พวกเขาคงได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น “มันไม่น่าเป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไรนิ”ผมพูด ผมคิดว่าเขาเกินกว่าเหตุไปหน่อย “ผมแค่อยู่ห่างไป 5นาทีเอง”
  มีบางอย่างผิดปรกติเกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร บางที่อาจเพราะคารอสผู้ดูแลทริปนี้คงรู้สึกเสียหน้าหรืออาจคิดว่าผมไม่ให้เกียรติเพื่อนเขาที่เป็นเจ้าของรีสอร์ท
  ผมยังคงซ้อมตามปรกติ เราซ้อมอยู่ซักอาทิตย์เห็นจะได้ มันยอดเยี่ยม เราซ้อมช่วงเช้าพอช่วงบ่ายก็พักผ่อนกับครอบครัว ทั้งหมดมันสมบูรณ์แบบ ปรีซีซั่นคือการฟื้นฟู การซ้อม การเรียกความฟิตและทีมเวิร์ค
  วันหนึ่งบอสพูดระหว่างซ้อมว่า”ฉันต้องการผู้เล่นตัวหลักเพื่อจะไปรวมดินเนอร์กับเจ้าของรีสอร์ทคืนนี้” แต่เขาทำเหมือนผมเป็นอากาศ เขาไม่สนใจผม ทั้งๆที่ผมนั่งอยู่ข้างหน้าเขา เขาชอบทำตัวเหมือนเด็ก มันเกิดขึ้นประจำเวลาผมไปลงเล่นให้ทีมชาติหรือกลับลงสนามเร็วเกินไปหลังจากบาดเจ็บ งั้นผมก็เอาบ้าง เขาไม่พูดผมก็ไม่พูดกับเขา เราทั้งคู่ทำตัวเป็นเด็กใส่กัน บอสเลือกกิ๊กซี่และถ้าจำไม่ผิดอีกคนคือแกรี่ เขาเพิกเฉยใส่ผมทั้งๆที่ผมเป็นกัปตัน ผู้เล่นคนอื่นๆต่างมองมาที่ผมแล้วหัวเราะ นี่มันนิสัยของเด็กๆ!
  กลับมาที่แมนเชสเตอร์ ยังคงอยู่ในช่วงปรีซีซั่น ผมบาดเจ็บระหว่างฝึกซ้อมที่เอ็นร้อยหวาย นั้นหมายถึงผมจะพลาดการเล่นเกมปรีซีซั่นที่เอเชีย เมื่อคุณเป็นนักเตะชุดใหญ่แล้วบาดเจ็บ เมื่อกลับมาคุณต้องเรียกความฟิตกับทีมสำรองก่อน มันไม่ใช่เกมหนักอะไร แค่ลงไปคะสนิมเท่านั้น แต่เมื่อกลับมาซ้อมกับชุดใหญ่ มันไม่มีทางลัด ต้องทำไปตามขั้นตอนที่แพทย์ประจำทีมบอก จากประสบการณ์ของผม ตอนนี้ผมรู้สึกพร้อมกลับมาซ้อมกลับทีมชุดใหญ่แล้ว ผมพูด”ผมพร้อมที่จะเริ่มซ้อมวันจันทร์แล้ว” แต่คารอสกลับพูดว่า”ไม่ ไม่ ยังไม่ใช่ตอนนี้” ด้วยเหตุผมอะไรซักอย่าง เขาไม่เต็มใจให้ผมกลับสู่ทีมชุดใหญ่
  เมื่อถึงเวลาที่ผมกลับไปซ้อมกับทีมชุดใหญ่ มักมีการซ้อมแข่งในช่วงท้ายการซ้อม 10ต่อ10คน  8ต่อ8คน วันนั้นผมกลายเป็นคนสุดท้ายที่ยังไม่มีทีม คารอสมองผม ผมเลยพูดว่า”คารอส นี่มันบ้าอะไร”
  คารอสขว้างเสื้อเอี๊ยมมาที่ผม แล้วพูดว่า”นายแค่ลงไป แล้วยืนเป็นกองหน้า” นักเตะที่เหลือต่างมองมาที่ผม ผมจำวันนั้นได้แม่นเหมือนกับมันพึ่งเกิดเมื่อวานนี้ ผมแปลกใจที่ผมไม่ได้อัดเขากลิ้งในวันนั้น
  ผมคือกองกลางไม่ใช้กองหน้า มันเหมือนว่าเขากำลังพูดว่า”แกไปยืนกองหน้าซะ จะได้ไม่ทำเกมเสีย” ผมไม่ใช้คนที่จะมีปัญหาในสนามซ้อม ผมสามารถนับได้เลยว่าผมมีปัญหาในสนามซ้อมกี่ครั้ง ผมกำลังคิดว่า”ฉันทำผิดอะไรไปรีเปล่า  อาจจะนะ” แต่เรื่องปรีซีซั่นในโปรตุเกสไม่ได้อยู่ในหัวของผมเลยตอนนั้น  ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผมเขาไปคุยกับบอส “คารอสทำตัวแปลกๆ เขาไม่เต็มใจให้ผมกลับสู่ทีม” บอสพูดว่า” ใช้ ฉันเข้าใจ บางทีเขาก็เป็นตาแก่ใจร้าย ปล่อยให้ฉันจัดการเอง”
  เราเริ่มตันฤดูกาลได้โอเค ชนะสามนัดแรกแล้วก็เสมอกับแมนฯซิตี้ในบ้านซึ่งผมคิดว่าเป็นผลงานที่แย่-เราควรชนะซิตี้ทุกครั้ง- จากนั้นผมเจอกับการบาดเจ็บที่เท้าในเกมกับลิเวอร์พูล เจอร์ราดย่ำเท้าของผม ผมต้องทนเล่นต่อไป แต่มันโครตเจ็บเลย ผมโดนเตะอีกครั้งโดย รุยซ์ การ์เซีย ครั้งนี้ผมเล่นต่อไม่ไหวต้องเปลี่ยตัวออก ผู้คนมักคิดว่าผมเจ็บเพราะการ์เซีย แต่จริงแล้วเพราะเจอร์ราดต่างหาก
  ผลเอ็กซ์เรย์บอกว่า กระดูกผมแตก 5-6จุด ผมเจอกับการบาดเจ็บอีกครั้ง ผมนั่งในห้องแต่งตัวแล้วคิดว่า”มาเจ็บในช่วงเวลาแบบนี้ มันโคตรแย่เลย” เมื่อคุณบาดเจ็บที่เท้าคุณจะฟื้นฟูได้ช้า คุณต้องใส่รองเท้าป้องกันและเลือดจะไหลเวียนได้ไม่สะดวก  คุณทำอะไรไม่ได้มากและต้องอดทน ส่วนใหญ่แล้วจะต้องพักประมาณ 4-6สัปดาห์ ไม่ว่าคุณจะฟิตแค่ไหน และตอนนี้ผมอยู่ในช่วงปีสุดท้ายของสัญญา ที่สำคัญบรรยากาศในทีมยังแปลกๆสำหรับผมอีก- กับคารอส- ความไม่แน่นอนรอผมอยู่
  ในส่วนหนึ่งของสัญญานักเตะ เราจะต้องวนเวียนกันไปออกในช่อง MUTV พูดคุยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเกมที่ผ่านมา ประมาณเดือนหนึ่งหลังจากผมบาดเจ็บ ผมจำได้เราเล่นกับสเปอร์ในบ้านและนัดนั้นถึงคิวของผมในการไปออก MUTV แต่ผู้จัดการทีมบอกให้ผมเลื่อนไปก่อนเพื่อพักรักษาตัว บอสพูด”ทำไม่นายไม่ไปพักผ่อนอาบแดดที่ไหนซักที่เพื่อชาร์จแบตให้ตัวเองละ” โป๊ะเชะเลย! ผมพอเดินได้แล้วตอนนั้นและครอบครัวของผมพึ่งจะบินไปพักผ่อนที่ดูไบ งั้นผมคิดว่าผมสามารถจอยกับครอบครัวได้ ผมคิดว่าแกรี่(เนวิล)ไปออก MUTV แทนผมในตอนนั้นนะ โปรดิวเซอร์MUTV บอกว่าให้ผมมาในเกมหน้าหลังจากเล่นกับมิดเดิ้ลส์เบรอแทน
  ผมเลยไปดูไบ อาบแดด จุ่มเท้าเล่นในน้ำทะเลมันโรแมนติกมิใช้น้อย ผมรู้ว่าเกมกับมิดเดิ้ลส์เบรอมีถ่ายทอด”ฉันต้องดูเกม เพื่อที่จะได้ไปให้สัมภาษณ์กับMUTVตอนกลับไป”
  เราแพ้ 4-1 เหงซวย!! แมนฯยูเล่นห่วยแตกและมันมาเกิดในเกมที่ผมต้องให้สัมภาษณ์!! เวรเอ้ย
  ผมมานั่งคิดเมื่อไม่นานมานี้ว่า “ถ้าฉันได้ให้สัมภาษณ์ในเกมกับสเปอร์ ถ้าฉันไม่บาดเจ็บ ถ้าฉันไม่ไปที่ดูไบ ถ้าฉันไม่..... ถ้า.. ถ้า.. ถ้า..” คงไม่มีเรื่องราวแย่ๆเกิดขึ้นภายหลัง
  ผมกลับมาที่แมนเชสเตอร์ เจ้าหน้าที่MUTVบอกว่า”ตานายแล้วรอย” แมนฯยูเล่นได้ห่วยและผมผิดหวังกับผู้เล่น แต่นี่มันMUTV –ช่องของสโมสร, สื่อหลักของทีม- เมื่อผลงานทีมไม่ดี เขามักเอาเรื่องราวดีๆอย่างอื่นเช่น ผู้เล่นสำคัญต่อสัญญา ราคาหุ้นขึ้นหรืออะไรพันนั้นมาออก เพื่อให้คนดูลืมเรื่องแย่ๆ เมื่อถึงการให้สัมภาษณ์ของผม ผมพูด”พวกเขา(นักเตะ)มันห่วย เกมรับก็ห่วย มันต้องดีกว่านี้ บลา บลาๆ” ผมเซ็งแต่ไม่ได้หงุดหงิดนะ ที่บอกกันว่าผมออกรายการแล้วตะโกนโหวกเหวกนั้นไม่ใช้ ที่ผมจะสื่อคือ เราเล่นไม่ดีพอ เราต้องทำได้ดีกว่านี้
   วันรุ่งขึ้น มีคนบอกผม ว่าเทปนั้นถูกห้ามออกอากาศและสโมสรไม่อยากจะเชื่อว่าผมได้พูดอะไรออกไป แต่ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไรนิ เราแพ้4-1 ผมไม่สามารถบอกว่าเราเล่นดีได้ ผมมักพูดว่า”นี่มันไม่ดีพอ” แต่ตอนนั้นมันราวกับว่า ผมถูกคาดหวังว่าจะไม่พูดอะไรประมาณนั้น ผมคิดว่าทุกคนนะโอเวอร์เกินไป
  แต่ข่าวนั้นมันได้รั่วออกไปแล้วและผมรู้มันดูไม่ดีสำหรับผม ผู้คนเริ่มที่จะพูดว่า”โอ้! เราต้องไม่ให้มันออกอากาศ” ผมค่อนข้างมั่นใจว่ามีคนในสโมสรเป็นหนอนบ่อนไส้ รอยเพิ่งจะวิจารณ์ทีม รอยทรยศต่อทีม พวกเขากำลังสร้างสถานการณ์ มันกลายไปเป็นพาดหัวข่าวหน้าหลังของสื่อทุกฉบับ เมื่อเรื่องต่างๆเกิดขึ้นกับแมนฯยูไนเต็ด มันจะรุนแรงมากขึ้นกว่าที่มันเป็น เมื่อคุณชนะ คุณคือคนที่เก่งที่สุดของโลกนี้ แต่เมื่อคุณแพ้ คุณก็คือคนที่แย่ที่สุดในโลกทันที
  มันเครียดยิ่งขึ้นไปอีกในเมืองแมนเชสเตอร์ เพราะมันหมายถึงแมนฯยูไนเต็ด ผมไม่สามารถหยุดที่จะคิดได้ว่า”มันจะกลายเป็นหายนะ” เมื่อก่อนหากผมเริ่มจะออกนอกลู่นอกทาง สโมสรจะมีวิธีจัดการมันอย่างยอดเยี่ยม แต่ตอนนี้มันไม่มีสิ่งนั้นเลย
  ผมไม่กังวลกับมันหรอก เพราะผมรู้ว่าเพื่อนร่วมทีมรู้จักผมดี แต่ปัญหาต่างๆกำลังถูกพูดในสื่อเช่น ผมพูดวิจารณ์เกี่ยวกับค่าเหนื่อยของเพื่อนร่วมทีม ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่เคยทำเลยตลอดมา ที่ผ่านมาเมื่อมีข่าวฉาวเกี่ยวกับผู้เล่นหรือสตาฟ์ เรามักจะรับมือกับมันได้ “ฟังนะ เราคุ้นเคยกับเรื่องพันนี้ เราคือยูไนเต็ด ทุกอย่างมันเกินจริง” แต่ตอนนี้บรรยากาศมันไม่ดีเอาเสียเลย
  ดังนั้น ในที่สุดผมจึงต้องเรียกประชุมทีมในห้องแต่งตัว ผมพูด”ฟังนะพวกนาย ฉันอยากเอาเรื่องบ้าพวกนี้ออกจากสมองฉันเสียที นายได้เห็นข่าวเหล่านั้นในสื่อแล้ว แค่อยากจะบอกพวกนายว่านั้นมันไร้สาระ ฉันไม่เคยพูดในเรื่องค่าเหนื่อยที่พวกนายได้หรือเรื่องส่วนตัว ฉันอาจจะพูดว่าพวกนายทำได้ไม่ดี” ทุกคนเริ่มสงเสียง “ใช่ๆ, ฉันรู้” ไม่มีใครมีประเด็นกับผม
  แต่ลึกๆแล้ว ผมก็คิดอยู่นะว่า”ผมได้พูดเรื่องแย่ๆเช่น วิจารณ์ค่าเหนื่อยหรือเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนร่วมทีมไปรึเปล่าหว่า” ผมอาจพูดไปแล้วจำไม่ได้รึเปล่า เพราะผู้คนดูจะกังวลกับมันเหลือเกิน “เทปนั้นต้องถูกนำไปทำลาย” ทำอย่างกับมันเป็นอาวุธนิวเคลียอย่างไงอย่างงั้น มีใครเอามันไปทำลายข้างนอกเมืองหรือมีหน่วยกู้ระเบิดมาทำลายมันรึยัง มันต้องถูกทำลาย!!
  อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นในห้องแต่งตัว พวกเราคุยว่าจะยกมาตรฐานของเกมเราอย่างไร และมีอะไรที่เราทำผิดพลาดไป แทนที่จะออกไปซ้อม(ตอนนั้นเป็นเวลาซ้อม) เราเสนอความเห็นระหว่างกันและทุกคนมีส่วนร่วม โอเล่(กุนน่า โซลชาร์)-นักเตะที่ผมให้เกียรติ- พูดเรื่องว่าทำอย่างไรเราถึงกลับมามีสมาธิอีกครั้งและทำอย่างไรเราถึงไม่ถูกกวนสมาธิจากเรื่องนอกสนาม โอเล่คิดว่านั้นคือสิ่งที่เราต้องการตอนนั้น ไม่มีการตะโกนใส่กันหรือบลัฟกันระหว่างนักเตะ ผมพูดถึงการซ้อมด้วยเช่นกัน”ทุกคน เราต้องจริงจังกว่าเดิม เรามาที่นี่ทำไมกัน เพื่อฟุตบอล เพื่อชัยชนะ!!”
  เราใช้เวลาไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ ดังนั้นผมจึงต้องเดินไปบอกบอสบนออฟฟิตของเขา ว่าทำไมเราถึงยังไม่ได้ออกไปซ้อมกัน ผมเขาไปในห้องเขา บอกเขาไป
  ผู้จัดการทีมพูด”เอาหละ เดี้ยวฉันจะลงไปหาพวกแก”  ผมรู้จากเซ็นต์เลยว่าเขาไม่สบอารมณ์ ผมกลับมาที่ห้องแต่งตัวแล้วบอกกับทุกคนว่า”ฉันไม่แน่ในว่าที่เราทำอยู่มันจะเป็นความคิดที่ดีซะแล้ว”
  ผู้จัดการพุ่งเข้ามาในห้องอย่างฉุนเฉียวแล้วพูด”นี่มันบ้าอะไรกัน” แล้วบอสก็ถามว่าผมกำลังกลาวคำขอโทษอยู่หรือไม่
    ผมตอบว่า”ผมไม่มีอะไรต้องขอโทษ”
    “แล้วเรื่องวิดีโอละ” บอสถาม ผมตอบว่า”ผมคิดว่ามันก็โอเคนิ”
    “ฉันจะบอกอะไรแกนะ ทุกคน ขึ้นไปบนห้องประชุมเดี้ยวนี้!” บอสพูด  -- โปรดติดตามตอนต่อไป(ตอน4.2) ---
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่