สวัสดีครับเพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน ผมเป็นคนชอบเขียนชอบเล่าเรื่อง ประจวบเหมาะกับการที่ผมเริ่มคิดผันชีวิตทำงานเก็บเงินเพื่อเริ่มต้นออกเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง และทริปนี้ถือเป็นโอกาสแรกที่ผมได้ออกเดินทางแต่เพียงลำพังกับการแบกเป้ตะลุยแดน”เสือเหลือง” มาเลเซีย ซึ่งเป็นการตอกย้ำความคิดที่ว่า “ไปเที่ยวคนเดียวใครว่าไม่ได้ เที่ยวไม่สนุก !” ไม่จริงหรอกครับ มันมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ข้อดีคือ เราไม่ต้องรีรอใคร อยากจะไปไหน กินอะไร ทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องห่วงว่าต้องรอ หรือลงมติกับกลุ่มคนที่ไปกัน ส่วนข้อเสียสำหรับผมแล้ว แค่ถ่ายรูปเดี่ยวลำบากเท่านั้นแหละครับ 5555 คุณต้องมีเบสิกในการเซลฟี่สักหน่อยหล่ะ ก่อนอื่นผมออกตัวก่อนเลยว่า ผมไม่ใช่คนถ่ายรูปเก่ง ไม่มีศิลปะวิชาอะไรทั้งนั้น ออกจะเซ่อซ่าด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นรูปที่ผมถ่ายมาประกอบก็เอาเป็นว่าพอดูได้ละกันนะครับ ว่าอะไรเป็นยังไงบ้าง หากไม่สวยก็ขออภัยล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้ ผมเป็นคนชอบเล่าเรื่องมากกว่าครับ สำหรับท่านที่ยังไม่เคยไปก็ขอให้บ่นความนี้เป็นใบเบิกทางให้ท่านลองหาโอกาสไปดูให้เห็น ไปสัมผัสด้วยตัวเองจะดีกว่าครับ ส่วนท่านใดที่เคยไปมาแล้วก็ลองดูซิว่า ไปโดนมามีอะไรเหมือนกันบ้างมั๊ย?
เกริ่นถึงประเด็นที่เป็นตัวการทำให้เลือกมาเล คือช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผมลองหาๆประเทศที่จะไปเที่ยวในช่วงสงกรานต์ และแน่นอนว่ามันเป็นระยะเวลาที่ถือว่ากระชั้นชิดเกินไปกับช่วงเทศกาลหยุดยาวนี้ การเที่ยวในประเทศช่วงเทศกาลถือเป็นอะไรที่ยากลำบากทีเดียว แถมค่าเดินทางก็ไม่ได้ถูกไปกว่าออกนอกประเทศเลย ฉะนั้นแล้วผมจึงเลือกที่จะออกนอกประเทศ โดยเข้าทุกเว็บไซด์ของสายการบินโลว์คอสไล่ดูราคาในหลายเส้นทางรอบอาเซียน และเมียงมองขึ้นไปทางแถบเอเชียตะวันออกอย่างเกาหลี ญี่ปุ่นด้วย แต่ทว่าประเทศเหล่านั้นอยู่ไกลเกินกว่าเงินเก็บน้อยนิดในกระเป๋าตังค์ของผมจะเอื้อมถึง หวยจึงมาตกที่มาเล ตั๋วที่ถูกที่สุดในตอนนั้นคือของ Malindo Air ครับ บริษัทลูกของ Lion Air แม่จากอินโดนีเซีย ราคาเบ็ดเสร็จรวมทุกสิ่งอย่าง 5,480 บาท แพงครับบอกเลย!! ไปสิงคโปร์โปรถูกๆได้ 3 รอบ แต่ในเมื่อใจมันไปแล้ว ประกอบกับงบในกระเป๋าที่มียังพอไหว ช่างใจอยู่ 2 วันแล้วจองทันที พร้อมไปจ่ายตังค์ผ่านธนาคาร
===================================================================================
โปรแกรมทัวร์คร่าวๆที่ผมได้วางหมากเอาไว้หลังจากได้จองตั๋วเครื่องบินไปแล้ว คือเดินทางวันที่ 11-15 เมษายน 2558
วันที่ 11 เดินทางถึงราวบ่าย 3 โมง และต่อรถไปเที่ยวมะละกา(Melaka) พัก 1 คืนที่มะละกา
วันที่ 12 เดินเที่ยวในมะละกา(Melaka) ช่วงเช้า และนั่งรถเข้ากัวลาลัมเปอร์(Kuala Lumpur) เพื่อเดินทางต่อไปเก็นติ้ง(Genting) ในช่วงบ่าย พัก 1 คืนที่เก็นติ้ง
วันที่ 13 เที่ยวที่เก็นติ้ง(Genting) ในช่วงเช้า และกลับเข้ากัวลาลัมเปอร์(Kuala Lumpur) ในตอนบ่าย และไปชมตึกเปโตรนาส(Petronas Twin Tower) พัก 2 คืนที่เหลือในกัวลาลัมเปอร์
วันที่ 14 ตอนเช้าไปถ้ำบาตู(Batu Cave) ตอนเที่ยงกลับมาเดินจตุรัสเมอร์เดก้า(Merdeka Square), ไชน่าทาวน์(Petaling Street) และตลาดกลาง(Central Market) ช่วงเย็นไปขึ้นชมหอคอยเคแอล ทาวเวอร์(Menara KL) และปิดท้ายที่เดินเล่นย่านการค้าบูกิตบินตัง(Bukit Bintang)
วันที่ 15 Check-Out ออก เดินทางไปชมเมืองปุตราจาย่า(Putrajaya) และต่อไปสนามบินเดินทางกลับ
เมื่อได้โปรแกรมคร่าวๆแล้ว ผมจึงเริ่มจองที่พักผ่านเว็บ Agoda ตามโปรแกรมที่ได้วางเอาไว้แล้ว
===================================================================================
วันที่ 11 เมษายน ณ สนามบินดอนเมือง ผู้โดยสารเยอะมาก ส่วนเคาน์เตอร์ของไลอ้อนแอร์คนกลับเยอะกว่าเคาน์เตอร์สายการบินอื่นๆมาก โดยเฉพาะแถวของ International Flight ซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเนื่องจากว่าของไลอ้อนช่วงนั้นมีเพียงแค่ไฟล์ทไปกัวลาลัมเปอร์ของผมแค่ไฟล์ทเดียว ส่วนเคาน์เตอร์เช็คอินเปิดอยู่แค่ 2 เคาน์เตอร์เลยทำให้แถวยาวออกมาล้นไปเกะกะ Domestic Flight ผมยืนรอเช็คอินอยู่เกือบชั่วโมงจึงได้ตั๋วมา
เครื่องออก 11:50 ล้อหมุนตรงเวลาพอดิบพอดีใช้เวลาบินจริงชั่วโมงนิดๆ (เวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง) เครื่องบินโลว์คอสทุกสายการบินจะลงที่สนามบิน KLIA2 ซึ่งเป็นสนามบินโลว์คอสที่สร้างใหม่ ติดๆกันกับสนามบิน KLIA ครับ และผมได้ยินมาแล้วว่ากัปตันของ Lion Air ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนอินโดจะ Landing ค่อนข้างแรง ส่วนไฟล์ทที่บินมายังมาเลเซีย Malindo Air ซึ่งเป็นบริษัทลูกสัญชาติมาเลจะเป็นผู้ทำการบิน และสิ่งที่รู้มาก็แสดงให้เห็นเลยว่าจริง กัปตัน Landing ลงพื้นแรงสมคำร่ำลือ แถมเบรคอย่างแรงจนเครื่องแกว่ง เล่นเอาแอร์สาวที่นั่งอยู่ด้านหน้ายิ้มออกมาเลยทีเดียว
สภาพสนามบิน KLIA2 ใหม่เอี่ยมครับแต่ห้องน้ำเริ่มจะไปแล้วเหมือนกัน เดินจาก Gate ค่อนข้างไกลอยู่พอสมควรกว่าจะถึงตม.เข้าช่อง ASEAN เลยครับ ไม่ต้องกรอกใบอะไรทั้งนั้นใช้พาสปอร์ตอย่างเดียว เสร็จจากนี่แล้วก็ไปรับกระเป๋ากันเลย กว่าจะเสร็จก็ปาไปบ่าย 3 กว่าๆครับ
สำหรับค่าเงินของมาเลเซียตอนผมแลกที่ Superrich 8.84 Baht ต่อ 1 RM ครับ แต่ถ้าเราอยากคิดให้มันง่ายขึ้นก็ตีเป็น 10 Baht ไปเลยสะดวกดี แล้วก็มาเสียตังค์ครั้งแรกคือซื้อซิมครับ ของผมใช้ซิมของ Digi สีเหลืองๆ ราคา 27.4 ริงกิตครับ เล่นได้ 7 วัน เน็ต Unlimited
เป้าหมายผมในวันนี้คือเมืองมะละกา ผมเลยต้องเร่งหน่อยเพราะการเดินทางไปมะละกาใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าหากไม่อยากให้ถึงค่ำมืดผมต้องจับรถรอบประมาณบ่าย 4 โมงให้ทัน เสร็จแล้วผมรีบเดินตรงมาแถวประตูทางออก จะมีบันไดเลื่อนเพื่อลงสู่ชั้นล่างลงไปชั้นล่างสุดเลยครับ แล้วจะมองเห็นบู๊ทขายตั๋วอยู่หลายบู๊ท ผมเดินอ่านป้ายอยู่สักครู่ ไปมะละกาบู๊ทที่ 1 แรกสุดเลย เป็นรถของบริษัท Transnasional ครับ แล้วโชคดีก็เป็นของผมๆได้รถรอบ 4.15 เลย รอไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ค่าตั๋ว 24 RM ระยะทางจาก KLIA2 ไปมะละกาก็พอๆกับสุวรรณภูมิไปพัทยา ออกไปรอรถตรงประตูด้านข้างที่ขายตั๋วนั่นเลย รถจะมาเมื่อถึงเวลา ถ้าออกไปแล้วไม่เห็นรถจอดอย่าตกใจไปครับ
สภาพด้านในรถ พวกเดินทางคนเดียวมีโซนเบาะเดี่ยวให้ด้านหลังรถนั่งสบายๆ ช่วงแรกไม่ได้ถ่ายรูปเลยต้องขออภัยครับ เป็นช่วงเร่งรีบเวลาค่อนข้างบีบ นั่งไปได้ครึ่งทางฝนก็เทลงมา ผมนี่ภาวนาเลยว่าถึงมะละกาขอให้อย่าตก ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจึงมาถึง Melaka Sentral ขนส่งของมะละกาครับ
เราได้ศัพท์มา 1 คำแล้วนะครับ Sentral ก็คือสถานีขนส่งนั่นเอง ออกเสียงประมาณว่า “เซ้น-ตรู่” สำเนียงแขกๆหน่อยครับ ออก"เซ็นทรัล"นี่บางคนฟังไม่รู้เรื่อง ลงรถปุ๊บจะมองเห็นร้าน Mcdonald ให้รีบดิ่งไปตรงซอยข้างๆร้าน แล้วทะลุไปออกตรงที่รถเมล์จอดครับ จะเห็นรถเมล์สีแดงเขียนว่า Panorama Melaka จอดอยู่เต็มเลย การบ้านที่ผมทำมารถที่ต้องขึ้นคือสาย 17 แต่มองยังไงก็ไม่เห็น ผมเริ่มเสิร์ดกูเกิ้ลดูอีกรอบ หาว่ามีรถสายอื่นไหมนอกจากสาย 17 ที่ผ่านจัตุรัสดัตซ์(Dutch Square) พอดีมีพ่อแม่ลูกคนไทยที่ผมทักทายก่อนขึ้นรถมาด้วยกัน มองเห็นผมจึงเดินเข้ามาเรียกพร้อมบอกว่า “สาย 17 จอดอยู่ทางโน้นพี่ถามเค้ามาแล้ว” ที่ไหนได้ต้องเดินเลียบชานชาลาไปอีก สาย 17 ดันจอดชานชาลาสุดท้ายด้านหลังเลยครับ ถึงว่าหล่ะหาไม่เจอ นักท่องเที่ยวนั่งกันเต็มรถเลย บอกกระเป๋ารถว่าลง Dutch Square แล้วจ่ายค่ารถ 1.50 RM ครับ ตอนลงไม่ต้องห่วงกระเป๋ารถจะบอกว่า Dutch Square, Jonker Street คนลงกันเต็มไม่หลงอย่างแน่นอน
เมื่อเราข้ามถนนจากป้ายรถเมล์ แล้วก็ข้ามสะพานมาก็จะเห็นแสงไฟสว่างไสวเลย นั่นหล่ะคือจุดหมายปลายทางของผมในวันนี้ ถนนคนเดิน Jonker street แห่งเมืองมะละกานั่นเอง ถนนคนเดินนี้จะมีทุกวันศุกร์, เสาร์ และอาทิตย์นะครับ ใครมานอกเหนือจากนี้จะเงิบได้ แต่บางเว็บก็บอกว่ามีแค่ศุกร์กับเสาร์ ไม่รู้อะไรแน่เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆผมเลือกมาวันเสาร์เพราะเหตุนี้ ยังไงๆก็ไม่พลาดแน่ครับ
หลังจากผมเดินหาโรงแรม Hotel Hong@Jonker Street Melaka ที่จะต้องพักอยู่นาน วนซะหลายรอบ เจอใครตามถนนก็ถามดะไปเลย แต่กลับไม่มีใครรู้จัก เหงื่อเริ่มแตก อากาศร้อนพอสมควรเลย แต่พอเดินมั่วๆไปกลับเจออยู่ตรงหน้า ที่ไหนได้ดันไม่เหมือนกับในแผนที่บอกเลยซักกะนิด แถมอยู่รอบนอกห่างจากถนนคนเดินประมาณ 700 เมตร เส้นทางเดินไปก็ผ่านที่จอดรถสาธารณะ แอบเปลี่ยวเล็กๆครับ มันเลยหาไม่เจอซักที โรงแรมเล็กๆตั้งอยู่บนร้านอะไรซักร้านเป็นตึกแถว แต่สภาพใหม่มากเหมือนเพิ่งรีโนเวทมาครับ ห้องเล็กๆน่ารักอยู่คนเดียวสบาย ถึงปุ๊บรีบอาบน้ำให้สดชื่นทันที เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลุยถนนคนเดินค่ำคืนนี้ เวลาที่ผมออกเดินก็ประมาณสองทุ่มถนนยังเปิดร้านกันเต็มไปหมด ถนนคนเดินที่นี่ปิดดึกไม่ต้องกลัวครับ
นี่หัวถนนครับ มีรถสามล้อตกแต่งประดับไฟอย่างสวยงามจอดอยู่เต็มเลย ด้านขวาเป็นร้านนั่ง ภาษาจีนเค้าจะเรียกว่า "เหลา" ครับ บรรยากาศครึกครื้นดีมาก
มี Hard Rock Cafe ตั้งอยู่หัวถนนเช่นกันครับ ทางด้านขวามือ
บรรยากาศถนนคนเดินครับ คนเยอะมากๆบอกเลย ทั้งนักท่องเที่ยวพวกฝรั่ง และคนจีนมากมาย มีคนไทยเดินสวนไปสวนมาก็เยอะ ส่วนสาวมะละกาน่ารักมากครับ ส่วนใหญ่คนที่นี่จะเป็นคนเชื้อสายจีน ไม่ก็คนจีนอพยพมา พูดจีนกันทั้งนั้น
มีเวทีการแสดงด้วยครับ ส่วนใหญ่จะเป็นอากงอาม่าขึ้นไปร้องเพลง ส่วนผู้ชมก็อากงอาม่าทั้งนั้นครับ จะเรียกว่าชมรมผู้สูงวัยก็ว่าได้ มองดูแล้วน่ารักดีนะครับ
ด้วยความที่ทานข้าวดึก ท้องก็เลยเริ่มอืดๆ ผมเลยจัดเพียงแค่ขนมจีบทานครับ ลูกละ 1 RM
ถัดมาก็มาจัดลูกชิ้น ราดน้ำจิ้มสะเต๊ะ รสชาตไล่เลี่ยกับบ้านเราเลย ร้านนี้จะขายพวกของเสียบไม้ ทั้งลูกชิ้นทั้งเนื้อทั้งผัก แล้วเราสามารถเลือกได้ว่าจะลวกอะไร มี 3 อย่างครับ ลวกน้ำเปล่า น้ำจิ้มสะเต๊ะ และน้ำจิ้มเผ็ด ร้านนี้ผมใช้ภาษาจีนที่ร่ำเรียนมาในการสั่ง
ปิดจ๊อบมื้อเย็นเบาๆด้วยต้นไม้ 1 กระถางครับ ฮ่าๆ ที่จริงเป็นไอติมครับ มีหลายรสให้เลือกพวกวานิลลา ช็อกโกแลต ช็อกชิพ สตอเบอรี่ เรนโบว์ ประมาณนั้น
ตรงนี้คือ อนุสาวรีย์ของอดีตนักเพาะกายชาวมะละกา DATUK WIRA DR.GAN BOON LEONG คนนี้เค้าเรียกกันว่า "บิดาแห่งการเพาะกายมาเลเซีย" เชียวหล่ะครับ มีหนุ่มสาววัยรุ่นถ่ายรูปกันเยอะมาก
ร้านนี้ดูภายนอกแล้วคงรู้นะครับว่าบริการอะไร 5555
ถ้าเห็นป้ายนี้แล้วรู้ได้เลยว่า สิ้นสุดถนน Jonker และก็ได้เวลากลับไปพักผ่อนสำหรับคืนแรกที่มะละกาแล้ว
[CR] << Stand Alone Tour >> สงกรานต์นี้แบกเป้ย่ำเท้าลุยมาเลเซีย 5 วัน 4 คืน
เกริ่นถึงประเด็นที่เป็นตัวการทำให้เลือกมาเล คือช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผมลองหาๆประเทศที่จะไปเที่ยวในช่วงสงกรานต์ และแน่นอนว่ามันเป็นระยะเวลาที่ถือว่ากระชั้นชิดเกินไปกับช่วงเทศกาลหยุดยาวนี้ การเที่ยวในประเทศช่วงเทศกาลถือเป็นอะไรที่ยากลำบากทีเดียว แถมค่าเดินทางก็ไม่ได้ถูกไปกว่าออกนอกประเทศเลย ฉะนั้นแล้วผมจึงเลือกที่จะออกนอกประเทศ โดยเข้าทุกเว็บไซด์ของสายการบินโลว์คอสไล่ดูราคาในหลายเส้นทางรอบอาเซียน และเมียงมองขึ้นไปทางแถบเอเชียตะวันออกอย่างเกาหลี ญี่ปุ่นด้วย แต่ทว่าประเทศเหล่านั้นอยู่ไกลเกินกว่าเงินเก็บน้อยนิดในกระเป๋าตังค์ของผมจะเอื้อมถึง หวยจึงมาตกที่มาเล ตั๋วที่ถูกที่สุดในตอนนั้นคือของ Malindo Air ครับ บริษัทลูกของ Lion Air แม่จากอินโดนีเซีย ราคาเบ็ดเสร็จรวมทุกสิ่งอย่าง 5,480 บาท แพงครับบอกเลย!! ไปสิงคโปร์โปรถูกๆได้ 3 รอบ แต่ในเมื่อใจมันไปแล้ว ประกอบกับงบในกระเป๋าที่มียังพอไหว ช่างใจอยู่ 2 วันแล้วจองทันที พร้อมไปจ่ายตังค์ผ่านธนาคาร
===================================================================================
โปรแกรมทัวร์คร่าวๆที่ผมได้วางหมากเอาไว้หลังจากได้จองตั๋วเครื่องบินไปแล้ว คือเดินทางวันที่ 11-15 เมษายน 2558
วันที่ 11 เดินทางถึงราวบ่าย 3 โมง และต่อรถไปเที่ยวมะละกา(Melaka) พัก 1 คืนที่มะละกา
วันที่ 12 เดินเที่ยวในมะละกา(Melaka) ช่วงเช้า และนั่งรถเข้ากัวลาลัมเปอร์(Kuala Lumpur) เพื่อเดินทางต่อไปเก็นติ้ง(Genting) ในช่วงบ่าย พัก 1 คืนที่เก็นติ้ง
วันที่ 13 เที่ยวที่เก็นติ้ง(Genting) ในช่วงเช้า และกลับเข้ากัวลาลัมเปอร์(Kuala Lumpur) ในตอนบ่าย และไปชมตึกเปโตรนาส(Petronas Twin Tower) พัก 2 คืนที่เหลือในกัวลาลัมเปอร์
วันที่ 14 ตอนเช้าไปถ้ำบาตู(Batu Cave) ตอนเที่ยงกลับมาเดินจตุรัสเมอร์เดก้า(Merdeka Square), ไชน่าทาวน์(Petaling Street) และตลาดกลาง(Central Market) ช่วงเย็นไปขึ้นชมหอคอยเคแอล ทาวเวอร์(Menara KL) และปิดท้ายที่เดินเล่นย่านการค้าบูกิตบินตัง(Bukit Bintang)
วันที่ 15 Check-Out ออก เดินทางไปชมเมืองปุตราจาย่า(Putrajaya) และต่อไปสนามบินเดินทางกลับ
เมื่อได้โปรแกรมคร่าวๆแล้ว ผมจึงเริ่มจองที่พักผ่านเว็บ Agoda ตามโปรแกรมที่ได้วางเอาไว้แล้ว
===================================================================================
วันที่ 11 เมษายน ณ สนามบินดอนเมือง ผู้โดยสารเยอะมาก ส่วนเคาน์เตอร์ของไลอ้อนแอร์คนกลับเยอะกว่าเคาน์เตอร์สายการบินอื่นๆมาก โดยเฉพาะแถวของ International Flight ซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเนื่องจากว่าของไลอ้อนช่วงนั้นมีเพียงแค่ไฟล์ทไปกัวลาลัมเปอร์ของผมแค่ไฟล์ทเดียว ส่วนเคาน์เตอร์เช็คอินเปิดอยู่แค่ 2 เคาน์เตอร์เลยทำให้แถวยาวออกมาล้นไปเกะกะ Domestic Flight ผมยืนรอเช็คอินอยู่เกือบชั่วโมงจึงได้ตั๋วมา
เครื่องออก 11:50 ล้อหมุนตรงเวลาพอดิบพอดีใช้เวลาบินจริงชั่วโมงนิดๆ (เวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง) เครื่องบินโลว์คอสทุกสายการบินจะลงที่สนามบิน KLIA2 ซึ่งเป็นสนามบินโลว์คอสที่สร้างใหม่ ติดๆกันกับสนามบิน KLIA ครับ และผมได้ยินมาแล้วว่ากัปตันของ Lion Air ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนอินโดจะ Landing ค่อนข้างแรง ส่วนไฟล์ทที่บินมายังมาเลเซีย Malindo Air ซึ่งเป็นบริษัทลูกสัญชาติมาเลจะเป็นผู้ทำการบิน และสิ่งที่รู้มาก็แสดงให้เห็นเลยว่าจริง กัปตัน Landing ลงพื้นแรงสมคำร่ำลือ แถมเบรคอย่างแรงจนเครื่องแกว่ง เล่นเอาแอร์สาวที่นั่งอยู่ด้านหน้ายิ้มออกมาเลยทีเดียว
สภาพสนามบิน KLIA2 ใหม่เอี่ยมครับแต่ห้องน้ำเริ่มจะไปแล้วเหมือนกัน เดินจาก Gate ค่อนข้างไกลอยู่พอสมควรกว่าจะถึงตม.เข้าช่อง ASEAN เลยครับ ไม่ต้องกรอกใบอะไรทั้งนั้นใช้พาสปอร์ตอย่างเดียว เสร็จจากนี่แล้วก็ไปรับกระเป๋ากันเลย กว่าจะเสร็จก็ปาไปบ่าย 3 กว่าๆครับ
สำหรับค่าเงินของมาเลเซียตอนผมแลกที่ Superrich 8.84 Baht ต่อ 1 RM ครับ แต่ถ้าเราอยากคิดให้มันง่ายขึ้นก็ตีเป็น 10 Baht ไปเลยสะดวกดี แล้วก็มาเสียตังค์ครั้งแรกคือซื้อซิมครับ ของผมใช้ซิมของ Digi สีเหลืองๆ ราคา 27.4 ริงกิตครับ เล่นได้ 7 วัน เน็ต Unlimited
เป้าหมายผมในวันนี้คือเมืองมะละกา ผมเลยต้องเร่งหน่อยเพราะการเดินทางไปมะละกาใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าหากไม่อยากให้ถึงค่ำมืดผมต้องจับรถรอบประมาณบ่าย 4 โมงให้ทัน เสร็จแล้วผมรีบเดินตรงมาแถวประตูทางออก จะมีบันไดเลื่อนเพื่อลงสู่ชั้นล่างลงไปชั้นล่างสุดเลยครับ แล้วจะมองเห็นบู๊ทขายตั๋วอยู่หลายบู๊ท ผมเดินอ่านป้ายอยู่สักครู่ ไปมะละกาบู๊ทที่ 1 แรกสุดเลย เป็นรถของบริษัท Transnasional ครับ แล้วโชคดีก็เป็นของผมๆได้รถรอบ 4.15 เลย รอไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ค่าตั๋ว 24 RM ระยะทางจาก KLIA2 ไปมะละกาก็พอๆกับสุวรรณภูมิไปพัทยา ออกไปรอรถตรงประตูด้านข้างที่ขายตั๋วนั่นเลย รถจะมาเมื่อถึงเวลา ถ้าออกไปแล้วไม่เห็นรถจอดอย่าตกใจไปครับ
สภาพด้านในรถ พวกเดินทางคนเดียวมีโซนเบาะเดี่ยวให้ด้านหลังรถนั่งสบายๆ ช่วงแรกไม่ได้ถ่ายรูปเลยต้องขออภัยครับ เป็นช่วงเร่งรีบเวลาค่อนข้างบีบ นั่งไปได้ครึ่งทางฝนก็เทลงมา ผมนี่ภาวนาเลยว่าถึงมะละกาขอให้อย่าตก ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจึงมาถึง Melaka Sentral ขนส่งของมะละกาครับ
เราได้ศัพท์มา 1 คำแล้วนะครับ Sentral ก็คือสถานีขนส่งนั่นเอง ออกเสียงประมาณว่า “เซ้น-ตรู่” สำเนียงแขกๆหน่อยครับ ออก"เซ็นทรัล"นี่บางคนฟังไม่รู้เรื่อง ลงรถปุ๊บจะมองเห็นร้าน Mcdonald ให้รีบดิ่งไปตรงซอยข้างๆร้าน แล้วทะลุไปออกตรงที่รถเมล์จอดครับ จะเห็นรถเมล์สีแดงเขียนว่า Panorama Melaka จอดอยู่เต็มเลย การบ้านที่ผมทำมารถที่ต้องขึ้นคือสาย 17 แต่มองยังไงก็ไม่เห็น ผมเริ่มเสิร์ดกูเกิ้ลดูอีกรอบ หาว่ามีรถสายอื่นไหมนอกจากสาย 17 ที่ผ่านจัตุรัสดัตซ์(Dutch Square) พอดีมีพ่อแม่ลูกคนไทยที่ผมทักทายก่อนขึ้นรถมาด้วยกัน มองเห็นผมจึงเดินเข้ามาเรียกพร้อมบอกว่า “สาย 17 จอดอยู่ทางโน้นพี่ถามเค้ามาแล้ว” ที่ไหนได้ต้องเดินเลียบชานชาลาไปอีก สาย 17 ดันจอดชานชาลาสุดท้ายด้านหลังเลยครับ ถึงว่าหล่ะหาไม่เจอ นักท่องเที่ยวนั่งกันเต็มรถเลย บอกกระเป๋ารถว่าลง Dutch Square แล้วจ่ายค่ารถ 1.50 RM ครับ ตอนลงไม่ต้องห่วงกระเป๋ารถจะบอกว่า Dutch Square, Jonker Street คนลงกันเต็มไม่หลงอย่างแน่นอน
เมื่อเราข้ามถนนจากป้ายรถเมล์ แล้วก็ข้ามสะพานมาก็จะเห็นแสงไฟสว่างไสวเลย นั่นหล่ะคือจุดหมายปลายทางของผมในวันนี้ ถนนคนเดิน Jonker street แห่งเมืองมะละกานั่นเอง ถนนคนเดินนี้จะมีทุกวันศุกร์, เสาร์ และอาทิตย์นะครับ ใครมานอกเหนือจากนี้จะเงิบได้ แต่บางเว็บก็บอกว่ามีแค่ศุกร์กับเสาร์ ไม่รู้อะไรแน่เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆผมเลือกมาวันเสาร์เพราะเหตุนี้ ยังไงๆก็ไม่พลาดแน่ครับ
หลังจากผมเดินหาโรงแรม Hotel Hong@Jonker Street Melaka ที่จะต้องพักอยู่นาน วนซะหลายรอบ เจอใครตามถนนก็ถามดะไปเลย แต่กลับไม่มีใครรู้จัก เหงื่อเริ่มแตก อากาศร้อนพอสมควรเลย แต่พอเดินมั่วๆไปกลับเจออยู่ตรงหน้า ที่ไหนได้ดันไม่เหมือนกับในแผนที่บอกเลยซักกะนิด แถมอยู่รอบนอกห่างจากถนนคนเดินประมาณ 700 เมตร เส้นทางเดินไปก็ผ่านที่จอดรถสาธารณะ แอบเปลี่ยวเล็กๆครับ มันเลยหาไม่เจอซักที โรงแรมเล็กๆตั้งอยู่บนร้านอะไรซักร้านเป็นตึกแถว แต่สภาพใหม่มากเหมือนเพิ่งรีโนเวทมาครับ ห้องเล็กๆน่ารักอยู่คนเดียวสบาย ถึงปุ๊บรีบอาบน้ำให้สดชื่นทันที เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลุยถนนคนเดินค่ำคืนนี้ เวลาที่ผมออกเดินก็ประมาณสองทุ่มถนนยังเปิดร้านกันเต็มไปหมด ถนนคนเดินที่นี่ปิดดึกไม่ต้องกลัวครับ
นี่หัวถนนครับ มีรถสามล้อตกแต่งประดับไฟอย่างสวยงามจอดอยู่เต็มเลย ด้านขวาเป็นร้านนั่ง ภาษาจีนเค้าจะเรียกว่า "เหลา" ครับ บรรยากาศครึกครื้นดีมาก
มี Hard Rock Cafe ตั้งอยู่หัวถนนเช่นกันครับ ทางด้านขวามือ
บรรยากาศถนนคนเดินครับ คนเยอะมากๆบอกเลย ทั้งนักท่องเที่ยวพวกฝรั่ง และคนจีนมากมาย มีคนไทยเดินสวนไปสวนมาก็เยอะ ส่วนสาวมะละกาน่ารักมากครับ ส่วนใหญ่คนที่นี่จะเป็นคนเชื้อสายจีน ไม่ก็คนจีนอพยพมา พูดจีนกันทั้งนั้น
มีเวทีการแสดงด้วยครับ ส่วนใหญ่จะเป็นอากงอาม่าขึ้นไปร้องเพลง ส่วนผู้ชมก็อากงอาม่าทั้งนั้นครับ จะเรียกว่าชมรมผู้สูงวัยก็ว่าได้ มองดูแล้วน่ารักดีนะครับ
ด้วยความที่ทานข้าวดึก ท้องก็เลยเริ่มอืดๆ ผมเลยจัดเพียงแค่ขนมจีบทานครับ ลูกละ 1 RM
ถัดมาก็มาจัดลูกชิ้น ราดน้ำจิ้มสะเต๊ะ รสชาตไล่เลี่ยกับบ้านเราเลย ร้านนี้จะขายพวกของเสียบไม้ ทั้งลูกชิ้นทั้งเนื้อทั้งผัก แล้วเราสามารถเลือกได้ว่าจะลวกอะไร มี 3 อย่างครับ ลวกน้ำเปล่า น้ำจิ้มสะเต๊ะ และน้ำจิ้มเผ็ด ร้านนี้ผมใช้ภาษาจีนที่ร่ำเรียนมาในการสั่ง
ปิดจ๊อบมื้อเย็นเบาๆด้วยต้นไม้ 1 กระถางครับ ฮ่าๆ ที่จริงเป็นไอติมครับ มีหลายรสให้เลือกพวกวานิลลา ช็อกโกแลต ช็อกชิพ สตอเบอรี่ เรนโบว์ ประมาณนั้น
ตรงนี้คือ อนุสาวรีย์ของอดีตนักเพาะกายชาวมะละกา DATUK WIRA DR.GAN BOON LEONG คนนี้เค้าเรียกกันว่า "บิดาแห่งการเพาะกายมาเลเซีย" เชียวหล่ะครับ มีหนุ่มสาววัยรุ่นถ่ายรูปกันเยอะมาก
ร้านนี้ดูภายนอกแล้วคงรู้นะครับว่าบริการอะไร 5555
ถ้าเห็นป้ายนี้แล้วรู้ได้เลยว่า สิ้นสุดถนน Jonker และก็ได้เวลากลับไปพักผ่อนสำหรับคืนแรกที่มะละกาแล้ว