คณะสภาอุลามะอ์ ซาอุดิอาระเบีย
ประกาศให้ “ชาวมุสลิมเยเมนเป็น “กาเฟร” (ผู้ปฏิเสธ) และถือว่าสงครามที่ซาอุฯ บุกโจมตีเยมนนั้น “คือสงครามศักดิ์สิทธิ์” หรือ การญิฮาดในหนทางของพระองค์
เหล่าอุลามาอ์แห่งราชสำนักราชวงศ์ซาอุฯ ออกคำวินิจฉัย การหลั่งเลือดประชาชนชาวเยเมนเป็นสิ่งที่อนุมัติ สงครามที่ซาอุฯถล่มเยเมน เป็นการญิฮาด (สู้รบ)ในหนทางของพระองค์ และบุคคลที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ถือว่าเป็นชะฮีด
โดย เชค ฟาฮัด บิน สาอัด อัลมาญิด เลขาธิการสูงสุดของสภาอุลามาอ์ซาอุดิอาระเบีย กล่าวว่า บุคคลใดที่เข้าร่วมสงครามกับศัตรูและถูกฆ่าตาย เขาคือผู้ที่เสียชีวิตในหนทางของพระองค์
"การทำสงครามกับเยเมน เป็นการปกป้องมุสลิมและพิทักษ์รักษาเกียตริของศาสนาอิสลาม”
ด้านสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ออกรายงานประเมินจำนวนผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์สู้รบในเยเมน ตลอด 2 สัปดาห์ จากภารกิจทางทหารของกองทัพพันธมิตรอาหรับนำโดยซาอุดีอารเบีย โจมตีเยเมนว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 519 ศพ และได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 1,700 คน
ขณะที่ เกส บราวน์ อาจารย์ มหาลัยไฮฟา อิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับสถานีช่อง 10 ของอิสราเอล ระบุว่า กลุ่มเฮาซี เป็นหนึ่งในแนวคิดเชิงอุดมการณ์ที่มีอยู่ในเยเมน ซึ่งปรากฏตัวได้อย่างโดดเด่นในช่วงทศวรรษที่ 90 และเริ่มมีการปะทะเกิดขึ้นกับทหารเยเมน เมื่อปี 2004 ซึ่งนับจากปี 2004 นถึงเหตุการณ์อาหรับสปริง เฮาซีย์ได้ทำสงครามกับทหารเยเมนมาแล้ว 6 ครั้งด้วยกัน และในทุก 6 ครั้ง ซาอุฯเข้าไปแทรกแซงโดยตรงทุกครั้ง ซึ่งผลจากประสบการณ์ทั้ง 6 สงคราม ทำให้เฮาซีย์ มีอำนาจและแข็งแกร่งมากขึ้น
เขาชี้ว่า ซาอุฯ เพียงแค่สามารถโจมตีเยเมนทางอากาศในการกำหนดเป้าฐานที่มั่นต่างๆของเฮาซีย์เท่านั้น แต่ในภาคพื้นดินแล้วจะไม่สามารถเข้าสู่เมืองเศาะดะห์ ได้เป็นอันขาด
"จะเห็นว่า ในปี 2004 ซาอุฯ ได้ทำต่อสู้ภาคพื้นดีกับเฮาซีย์ ผลครั้งนั้น เฮาซีย์ สามารถรุกคืบและยึดหมู่บ้านหลายแห่งของซาอุฯ ตามเขตชายแดน ในที่สุดซาอุฯ จำต้องร่นถ่อย ซึ่งแนวทางเดียวที่ซาอุฯ จะสามารถเข้ายึดเมืองเอเดนได้ คือ ได้รับการช่วยเหลือจากอียิปต์เท่านั้น”
ขณะเดียวกัน รัสเซียและกาชาดสากลได้เรียกร้องให้มีการหยุดยิง เพื่อนำสิ่งบรรเทาทุกไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ
สภาอูลามะห์ซาอุฯ ฟันธง มุสลิมเยเมน เป็นกาเฟร
คณะสภาอุลามะอ์ ซาอุดิอาระเบีย ประกาศให้ “ชาวมุสลิมเยเมนเป็น “กาเฟร” (ผู้ปฏิเสธ) และถือว่าสงครามที่ซาอุฯ บุกโจมตีเยมนนั้น “คือสงครามศักดิ์สิทธิ์” หรือ การญิฮาดในหนทางของพระองค์
เหล่าอุลามาอ์แห่งราชสำนักราชวงศ์ซาอุฯ ออกคำวินิจฉัย การหลั่งเลือดประชาชนชาวเยเมนเป็นสิ่งที่อนุมัติ สงครามที่ซาอุฯถล่มเยเมน เป็นการญิฮาด (สู้รบ)ในหนทางของพระองค์ และบุคคลที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ถือว่าเป็นชะฮีด
โดย เชค ฟาฮัด บิน สาอัด อัลมาญิด เลขาธิการสูงสุดของสภาอุลามาอ์ซาอุดิอาระเบีย กล่าวว่า บุคคลใดที่เข้าร่วมสงครามกับศัตรูและถูกฆ่าตาย เขาคือผู้ที่เสียชีวิตในหนทางของพระองค์
"การทำสงครามกับเยเมน เป็นการปกป้องมุสลิมและพิทักษ์รักษาเกียตริของศาสนาอิสลาม”
ด้านสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ออกรายงานประเมินจำนวนผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์สู้รบในเยเมน ตลอด 2 สัปดาห์ จากภารกิจทางทหารของกองทัพพันธมิตรอาหรับนำโดยซาอุดีอารเบีย โจมตีเยเมนว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 519 ศพ และได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 1,700 คน
ขณะที่ เกส บราวน์ อาจารย์ มหาลัยไฮฟา อิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับสถานีช่อง 10 ของอิสราเอล ระบุว่า กลุ่มเฮาซี เป็นหนึ่งในแนวคิดเชิงอุดมการณ์ที่มีอยู่ในเยเมน ซึ่งปรากฏตัวได้อย่างโดดเด่นในช่วงทศวรรษที่ 90 และเริ่มมีการปะทะเกิดขึ้นกับทหารเยเมน เมื่อปี 2004 ซึ่งนับจากปี 2004 นถึงเหตุการณ์อาหรับสปริง เฮาซีย์ได้ทำสงครามกับทหารเยเมนมาแล้ว 6 ครั้งด้วยกัน และในทุก 6 ครั้ง ซาอุฯเข้าไปแทรกแซงโดยตรงทุกครั้ง ซึ่งผลจากประสบการณ์ทั้ง 6 สงคราม ทำให้เฮาซีย์ มีอำนาจและแข็งแกร่งมากขึ้น
เขาชี้ว่า ซาอุฯ เพียงแค่สามารถโจมตีเยเมนทางอากาศในการกำหนดเป้าฐานที่มั่นต่างๆของเฮาซีย์เท่านั้น แต่ในภาคพื้นดินแล้วจะไม่สามารถเข้าสู่เมืองเศาะดะห์ ได้เป็นอันขาด
"จะเห็นว่า ในปี 2004 ซาอุฯ ได้ทำต่อสู้ภาคพื้นดีกับเฮาซีย์ ผลครั้งนั้น เฮาซีย์ สามารถรุกคืบและยึดหมู่บ้านหลายแห่งของซาอุฯ ตามเขตชายแดน ในที่สุดซาอุฯ จำต้องร่นถ่อย ซึ่งแนวทางเดียวที่ซาอุฯ จะสามารถเข้ายึดเมืองเอเดนได้ คือ ได้รับการช่วยเหลือจากอียิปต์เท่านั้น”
ขณะเดียวกัน รัสเซียและกาชาดสากลได้เรียกร้องให้มีการหยุดยิง เพื่อนำสิ่งบรรเทาทุกไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ