รัฐมนตรีกระทรวงศาสนาในอินโดนีเซีย สนับสนุนแกมบังคับให้คนมุสลิมนิกายชีอะห์หันมานับถือนิกายซุนนี ภายใต้โครงการสมานฉันท์ เพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างสองนิกายนี้ในเกาะมาดูรา จังหวัดชวาตะวันออก

หลังจากที่ชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ถูกขับออกจากบ้านเกิดในอำเภอซัมปัง เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จากความขัดแย้งเรื่องหมิ่นศาสนา

ชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ถูกยื่นข้อเสนอแกมบังคับว่า หากปรารถนาจะกลับบ้าน ให้ทำการประณามศรัทธาเดิมของตน โดยมีรายงานว่า มุสลิมชีอะห์ 34 คน จาก 235 คน ที่ถูกขับออกจากซัมปัง จะกลับถิ่นฐานในเดือนสิงหาคม และ 7 คนในนั้นยินยอมลงนามตามสัญญาผูกมัดทั้งเก้าข้อ ซึ่งหนึ่งในข้อตกลงนั้นระบุถึงการเต็มใจกลับสู่ “คำสอนอิสลามที่แท้จริง” รวมถึงให้ประณามคำสอนของครูสอนศาสนาชาวชีอะห์ที่ในเวลานี้ถูกจำคุกด้วยข้อหาหมิ่นศาสนา ฝ่ายยื่นข้อเสนอชี้แจงว่า กระบวนการดังกล่าวไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นการแนะแนวทางที่จะให้พวกเขากลับบ้าน

ตรงกันข้าม นักเคลื่อนไหวทางด้านสิทธิมนุษยชน และผู้อำนวยการบริหารจากสถาบันช่วยเหลือทางกฎหมาย ยูนิเวอร์ซาเลีย ออกมาให้ความเห็นว่า กระบวนการสมานฉันท์กลับกลายเป็นเรื่องทางการเมือง นอกจากนั้นบางคนก็เห็นว่าวิถีทางดังกล่าวแสดงให้เห็นการเลือกข้าง รวมถึงประธานสภามัสยิดอินโดนีเซีย  ก็มองว่า การบีบบังคับดังกล่าวขัดต่อแนวทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ แนวทางการสมานฉันท์ต้องคำนึงถึงสิทธิของกลุ่มต่าง ๆ ที่ขัดืแย้งกัน