เมื่อวานซืนตอนบ่ายสองโมง ฟ้าเจิดจ้าเหมือนจะลุกเป็นไฟ
รถสี่ล้อเล็กคันเก่า คนขับเป็นลุงสูงวัยดูดบุหรี่วาบๆ
ปุเลงๆไปตามถนนจากแยกหอนาฬิกานครลำปาง
ภารกิจคือ ตามหาร้านกาแฟหลบร้อนแค่นั้นเอง
บอกไปแค่ว่า เจอร้านกาแฟตรงไหนจอดเลยนะลุง
อ้อยอิ่งออดแอดไปตามถนนที่ร้อนระอุ ผ่านไปร้านแล้วร้านเล่า
ก็ยังไม่เจอซักร้าน มีหลายร้านที่คิดว่าน่าจะใช่
ชี้บอกลุงว่านั่นไงลุง แกคีบบุหรี่ออกจากปาก
ดีดขี้บุหรี่ทิ้งนอกรถแล้วปล่อยควันโขมงตลบอบอวล
แล้วตอบสวนทันที
"ไม่ใช่ละม้างงง ดูยังกะบ้าน"
เอ๊า ลุงว่างั้น ยอมๆเค้าเป็นเจ้าถิ่น ไปเจออีกร้าน
"ไม่ใช่ละม้างงง ยังกะคลีนิค"
ผ่านอีกหลายร้าน ลุงยังยืนยันเหมือนเดิม
ออกมาไกลจนเกือบจะถึงโรงพักอยู่แล้ว
ร้านไหนก็ว่าไม่ใช่ ลุงคงคุ้นกับร้านกาแฟแบบเพิง ที่มีแก้วก้นจีนใสๆชงก๊องแก็งๆมากกว่า
หาไม่ถ้าเจอร้านแบบลุงคิด น่ากลัวจะได้นั่งกินแล้วสุกไปกับกาแฟยามบ่ายสองเป็นแน่
ขอลงเลยละกัน กะว่าเดินหาเองข้างทางน่าจะพอมี
ทอดน่องไปเรื่อยเปื่อย ลัดเลาะไปตามฟุตบาท ผ่านตึกแถวแบบเก่าๆประมาณ40-50ปีก่อน
ในตึกแถวยังมีร้านรวงโชว์ห่วยแบบโบราณเปิดให้บริการอยู่เลย
ขายของสารพัด ที่ไม่คิดว่าจะมีขาย ก็ยังหาเจอได้ที่นี่
อย่างหม้อเคลือบสีฟ้า ช้อนสังกะสี หรือตะเกียงน้ำมันก็ตามที
ไปเจอร้านกาแฟร้านหนึ่ง ติดกระจกมีแอร์ อยู่ตรงสี่แยกพอดีเป๊ะ
เปิดประตูเข้าไปเข้าไป เจอยายคนหนึ่งนั่งรถเข็นอยู่ในร้าน กำลังง่วนอยู่กับซองๆอะไรสักอย่าง
หลังเคาท์เตอร์เป็นผู้หญิงประมาณสามสิบปลายๆ
คงเป็นเจ้าของร้าน
"โกโก้ปั่นหนึ่งแก้วครับ"
"ได้ค่า รอแป๊บนะคะ"
ระหว่างรอ คุณยายก็เริ่มบทสนทนาแบบนิ่งๆเย็นๆ
"มาจากไหนเหรอหนู"
"อ๋อ เชียงใหม่ครับ"
หลังจากนั้น เหมือนสตาร์ทเครื่องติด ยายร่ายยายตั้งแต่พ่อแม่มาจากเมืองจีน
เสื่อผืนหมอนใบ มาตั้งรกรากเปิดร้านอาหารอยู่ลำปาง ออกลูกออกหลานกันสนุกสนาน
ยายเป็นพี่คนโตต้องออกโรงเรียนมาเลี้ยงน้อง จนทุกคนเรียนจบได้ดิบได้ดี คนนั้นเป็นอาจารย์ คนนู้นเป็นอัยการ ฯลฯ
เรื่องราวดำเนินย้อนลึกมาจนถึงสมัยสงครามโลก แกว่าตอนเขามาทิ้งระเบิด ยายยังเล็ก วิ่งเข้าหลุมนั้นหลุมนี้จนชำนิชำนาญ
ระเบิดจะทิ้งตอนค่ำๆเป็นต้นไป ใครหนีทันก็รอดไปเป็นวันๆ
"คนไหนหนีไม่ทันนี่แข้งขาดขาขาดเลยนะ มีครอบครัวหนึ่ง หลุมถล่มเลยตายยกครัวเลย"
เล่าไปมือไม้ยกขึ้นยกลง หน้าตาอินกับเรื่องราวสุดๆ
วี้ดดดดดด แซ่ดๆๆๆๆๆๆ
เสียงเครื่องปั่นแทรกเข้ามาอย่างได้จังหวะที่เล่าตอนหวอเตือนทิ้งระเบิด เล่าไปเล่ามา ยายถามอีกแล้ว
"มาจากกรุงเทพเหรอ"
เอ้าตอบแกอีกรอบ แล้วเข้าเรื่องสงครามโลกอีกยก ยืดยาว
"ตอนนั้นนะ อู๊ยยยย ลำบากแสนสาหัส ข้าวปลาก็หายาก อดๆอยากๆกัน กินกันไปตามมีตามเกิด เตี่ยเปิดร้านอาหาร
ก็โดนเขามาเอาข้าวของไปหมดเลย ไม่เหลือสักอย่าง ต้องไปอาศัยข้าวที่เค้าแจกมาแบ่งกันกิน
เก็บผักเก็บหญ้ากินพอให้รอดไปวันๆ"
"แล้วมาจากกรุงเทพเหรอ"
อีกครั้งที่แกถาม ก็ตอบไป น้ำปั่นหมดไปครึ่งแก้วแล้ว
แต่เรื่องสงครามกำลังเข้มข้นขึ้นทุกที
มีลูกค้าเข้าร้านมาเป็นระยะ พอลูกค้าออกไปก็ถามอีกด้วยคำถามเดิม
ฟังยายร่ายยาวจนน้ำปั่นหมดแก้ว
ยกมือไหว้จะขอตัวออกจากร้าน
ครับ มาเจอกับแกได้
ร้นอยู่สี่แยก ตรงข้ามห้างสุริยา
คุณยายคิ้ม กับประวัติสงครามโลกนอกหนังสือ
แต่เตรียมตอบดีๆนะ
แกหักมุมถามได้แบบฮาร์ดคอร์จริงๆ
คำถามทิ้งทวนตามมาส่งก่อนเปิดประตูออกจากร้าน
"มาจากกรุงเทพเหรอ!"
อยากตอบว่ามาจากดาวอังคาร แต่เกรงใจไม้เท้าแกจัง
ลำปาง ร้านกาแฟ และคุณยาย
รถสี่ล้อเล็กคันเก่า คนขับเป็นลุงสูงวัยดูดบุหรี่วาบๆ
ปุเลงๆไปตามถนนจากแยกหอนาฬิกานครลำปาง
ภารกิจคือ ตามหาร้านกาแฟหลบร้อนแค่นั้นเอง
บอกไปแค่ว่า เจอร้านกาแฟตรงไหนจอดเลยนะลุง
อ้อยอิ่งออดแอดไปตามถนนที่ร้อนระอุ ผ่านไปร้านแล้วร้านเล่า
ก็ยังไม่เจอซักร้าน มีหลายร้านที่คิดว่าน่าจะใช่
ชี้บอกลุงว่านั่นไงลุง แกคีบบุหรี่ออกจากปาก
ดีดขี้บุหรี่ทิ้งนอกรถแล้วปล่อยควันโขมงตลบอบอวล
แล้วตอบสวนทันที
"ไม่ใช่ละม้างงง ดูยังกะบ้าน"
เอ๊า ลุงว่างั้น ยอมๆเค้าเป็นเจ้าถิ่น ไปเจออีกร้าน
"ไม่ใช่ละม้างงง ยังกะคลีนิค"
ผ่านอีกหลายร้าน ลุงยังยืนยันเหมือนเดิม
ออกมาไกลจนเกือบจะถึงโรงพักอยู่แล้ว
ร้านไหนก็ว่าไม่ใช่ ลุงคงคุ้นกับร้านกาแฟแบบเพิง ที่มีแก้วก้นจีนใสๆชงก๊องแก็งๆมากกว่า
หาไม่ถ้าเจอร้านแบบลุงคิด น่ากลัวจะได้นั่งกินแล้วสุกไปกับกาแฟยามบ่ายสองเป็นแน่
ขอลงเลยละกัน กะว่าเดินหาเองข้างทางน่าจะพอมี
ทอดน่องไปเรื่อยเปื่อย ลัดเลาะไปตามฟุตบาท ผ่านตึกแถวแบบเก่าๆประมาณ40-50ปีก่อน
ในตึกแถวยังมีร้านรวงโชว์ห่วยแบบโบราณเปิดให้บริการอยู่เลย
ขายของสารพัด ที่ไม่คิดว่าจะมีขาย ก็ยังหาเจอได้ที่นี่
อย่างหม้อเคลือบสีฟ้า ช้อนสังกะสี หรือตะเกียงน้ำมันก็ตามที
ไปเจอร้านกาแฟร้านหนึ่ง ติดกระจกมีแอร์ อยู่ตรงสี่แยกพอดีเป๊ะ
เปิดประตูเข้าไปเข้าไป เจอยายคนหนึ่งนั่งรถเข็นอยู่ในร้าน กำลังง่วนอยู่กับซองๆอะไรสักอย่าง
หลังเคาท์เตอร์เป็นผู้หญิงประมาณสามสิบปลายๆ
คงเป็นเจ้าของร้าน
"โกโก้ปั่นหนึ่งแก้วครับ"
"ได้ค่า รอแป๊บนะคะ"
ระหว่างรอ คุณยายก็เริ่มบทสนทนาแบบนิ่งๆเย็นๆ
"มาจากไหนเหรอหนู"
"อ๋อ เชียงใหม่ครับ"
หลังจากนั้น เหมือนสตาร์ทเครื่องติด ยายร่ายยายตั้งแต่พ่อแม่มาจากเมืองจีน
เสื่อผืนหมอนใบ มาตั้งรกรากเปิดร้านอาหารอยู่ลำปาง ออกลูกออกหลานกันสนุกสนาน
ยายเป็นพี่คนโตต้องออกโรงเรียนมาเลี้ยงน้อง จนทุกคนเรียนจบได้ดิบได้ดี คนนั้นเป็นอาจารย์ คนนู้นเป็นอัยการ ฯลฯ
เรื่องราวดำเนินย้อนลึกมาจนถึงสมัยสงครามโลก แกว่าตอนเขามาทิ้งระเบิด ยายยังเล็ก วิ่งเข้าหลุมนั้นหลุมนี้จนชำนิชำนาญ
ระเบิดจะทิ้งตอนค่ำๆเป็นต้นไป ใครหนีทันก็รอดไปเป็นวันๆ
"คนไหนหนีไม่ทันนี่แข้งขาดขาขาดเลยนะ มีครอบครัวหนึ่ง หลุมถล่มเลยตายยกครัวเลย"
เล่าไปมือไม้ยกขึ้นยกลง หน้าตาอินกับเรื่องราวสุดๆ
วี้ดดดดดด แซ่ดๆๆๆๆๆๆ
เสียงเครื่องปั่นแทรกเข้ามาอย่างได้จังหวะที่เล่าตอนหวอเตือนทิ้งระเบิด เล่าไปเล่ามา ยายถามอีกแล้ว
"มาจากกรุงเทพเหรอ"
เอ้าตอบแกอีกรอบ แล้วเข้าเรื่องสงครามโลกอีกยก ยืดยาว
"ตอนนั้นนะ อู๊ยยยย ลำบากแสนสาหัส ข้าวปลาก็หายาก อดๆอยากๆกัน กินกันไปตามมีตามเกิด เตี่ยเปิดร้านอาหาร
ก็โดนเขามาเอาข้าวของไปหมดเลย ไม่เหลือสักอย่าง ต้องไปอาศัยข้าวที่เค้าแจกมาแบ่งกันกิน
เก็บผักเก็บหญ้ากินพอให้รอดไปวันๆ"
"แล้วมาจากกรุงเทพเหรอ"
อีกครั้งที่แกถาม ก็ตอบไป น้ำปั่นหมดไปครึ่งแก้วแล้ว
แต่เรื่องสงครามกำลังเข้มข้นขึ้นทุกที
มีลูกค้าเข้าร้านมาเป็นระยะ พอลูกค้าออกไปก็ถามอีกด้วยคำถามเดิม
ฟังยายร่ายยาวจนน้ำปั่นหมดแก้ว
ยกมือไหว้จะขอตัวออกจากร้าน
ครับ มาเจอกับแกได้
ร้นอยู่สี่แยก ตรงข้ามห้างสุริยา
คุณยายคิ้ม กับประวัติสงครามโลกนอกหนังสือ
แต่เตรียมตอบดีๆนะ
แกหักมุมถามได้แบบฮาร์ดคอร์จริงๆ
คำถามทิ้งทวนตามมาส่งก่อนเปิดประตูออกจากร้าน
"มาจากกรุงเทพเหรอ!"
อยากตอบว่ามาจากดาวอังคาร แต่เกรงใจไม้เท้าแกจัง