ฉันเป็นอศาสนิก และการเป็นอศาสนิกของฉันก็ไม่ได้เป็นเพื่อเกลียดชังศาสนา
แต่เริ่มเดิมทีนั้น ฉันเกิดมาในครอบครัวพุทธบ้านนอก เข้าวัดวาตามญาติผู้ใหญ่ ไปงานประเพณี นับแต่เด็กมาเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ
ท้าวความก่อนว่าพ่อแม่ของฉันเป็นครู สอนประถม เริ่มก็สอนที่โรงเรียนบ้านนอกในหมู่บ้านที่ฉันอยู่ ซึ่งมีปู่ย่าอยู่บ้านไม่ห่างกัน
จากนั้นเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ พี่สาวสอบได้โรงเรียนประจำจังหวัด จึงได้ย้ายมาเรียนโรงเรียนในเมือง
แต่ก่อนตอนเด็ก เราก็ไปวัดวากับย่า นั่งฟังเทศน์รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
ใครถามว่าโตมาอยากเป็นอะไรเราก็บอก นักวิทยาศาสตร์ เพราะสมัยนั้นเรารู้จักอาชีพแค่ ครู พยาบาล ทหาร ตำรวจ
แต่ไอ้คำว่านักวิทยาศาสตร์นี่แล่ะโผล่มาไงจากเด็กบ้านนอก ก็พ่อแม่เป็นครู หาหนังสือความรู้รอบตัวมาให้อ่านเสมอ
เมื่อย้ายมาอยู่ในเมือง พ่อแม่พาไปอยู่ใกล้บ้านญาติที่เป็นป้า เราสร้างบ้านหลังใหม่ที่นั่น ในป่า ไกลจากตัวเมืองมาก
แต่มีคิวของรถโดยสารห่างไปประมาณสามกิโลเมตร เป็นรถเมล์เข้าไปถึงตัวเมือง สมัยนั้นยังเป็นรถเมล์แบบในกรุงเทพมีกระเป๋า
(ตอนมัธยม พัฒนามาใช้แบบหยอดเหรียญ และปลดกระเป๋าออก ทันสมัยมาก ถ้าหยอดแล้วหมุนไม่ได้ก็ลอดเอาซะ)
บ้านที่เราอยู่นั้นไม่ห่างไกลนักจากวัดที่ดังมาก “วัดหนองป่าพง” สงบเงียบ และฉันมักจะปั่นจักรยานไปเที่ยวเล่นที่พิพิธภัณฑ์หลวงปู่ชาเป็นประจำ
ที่นี่ป้าจะดูแลตากับยาย เพราะแก่มากแล้ว ยายจะมีหนังสือ/นิตยสารธรรมมะกองเบ้อเริ่มเลย ด้วยความที่ชอบอ่านเราก็หยิบมาอ่าน
ที่จำได้ก็ ธรรมบันดาล มีแก้ว มีเข้าทรงอะไรไม่รู้เหมือนกัน มีสาลิกาลิ้นทอง ทรงว่าคนนั้นมีกรรมนั่นนี่จะมีองค์เข้าแบบนี้ๆ
แต่ที่ฉันสนใจมากจริงๆ จะเป็นนิตยสารธรรมะที่มีพระเกจิอาจารย์ขึ้นปกมากกว่า
ฉันอยู่นั่นจนป.หกเทอมต้น เราก็ขายบ้านย้ายมาอยู่บ้านพักครูโรงเรียนในเมือง ในช่วงที่อยู่บ้านป้าประมาณห้าปี ฉันอ่านหนังสือธรรมมะ
จนใครๆ ถามก็บอกว่า ตั้งใจจะบวชจนเป็นพระอรหันต์ให้ได้ ผู้ใหญ่ต่างก็อนุโมทนาแล้วบอกว่าเด็กคนนี้คิดดี
เอาเป็นว่า ฉันเคยตั้งใจบวชไม่สึกและตั้งใจจะเป็นพระอรหันต์ให้ได้ แต่แม้แต่บวชเณรก็ไม่ได้ทำ
เมื่อเข้ามาอยู่ในเมือง ก็ตามประสาเด็กวัย 12-15 เราเป็นวัยรุ่นตอนต้น เริ่มมีสิ่งอื่นให้สนใจ ประกอบกับไม่มีหนังสือธรรมะและห่างวัด
เราไปเพราะผู้ใหญ่พาไป ความตั้งใจว่าจะบวชก็มลายหายไปสิ้น และที่บ้านเองก็ไม่เคยรบเร้าให้บวช
และแม้จะมีคำถามจากย่า ว่าจะบวชให้ได้มั้ย ฉันเองก็บอกว่าได้ แต่จนเรียนจบ ทำงาน ฉันก็ไม่ได้บวชให้ และย่าก็ไม่ได้รบเร้าหรือถามอีกเลย
พอเริ่มเรียนม.ปลาย ฉันชอบทำกิจกรรม ซึ่งนอกจากสมัชชาเยาวนแห่งชาติ (ปี2543-2545) ก็จะมีชมรมพวก friend’s corner
และที่สำคัญคือ “ยุวพุทธิกสมาคม” อันนี้มีการเข้าค่ายห้าวันสี่คืนที่วัด ก็กิจกรรมและฟังเทศน์ตามรูปแบบทั่วไปนั่นแล่ะฮะ
และด้วยความที่อยู่ในเมือง เราก็ร่วมทำกิจกรรมอื่นๆ กับชมรมนี้เรื่อยๆ ทั้งการไปให้ความรู้เรื่องสิทธิเด็กตามโรงเรียนต่างๆ
มันทำให้เรากลับเข้ามาใกล้ชิดศาสนาอีกครั้ง และเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่เรานับถือและหาคำตอบกับมัน
การตั้งคำถาม ดูจะไม่ใช่ข้อห้ามของศาสนาพุทธ เพราะฉันถูกสอนมาเสมอว่า พุทธเป็นหนึ่งเดียวกับวิทยาศาสตร์ และฉันเคยตั้งใจจะเป็นนักวิทยาศาสตร์และจะเป็นพระอรหันต์ คำถามคือมันจะไปพร้อมกันได้ยังไง ฉันจะเป็นศาสนิกนักวิทยาศาสตร์ได้ยังไง และพื้นฐานของวิทยาศาสตร์คือการตั้งคำถาม และศาสนาพุทธสอนให้ฉันแสวงหาความรู้แจ้ง และความรู้แจ้งนั้นมันย่อมเกิดมาจากคำถาม
“ฉันจะเป็นนักวิทยาศาสตร์แบบไหนดี” ทางเลือกของฉันมีไม่กี่ทาง คือตั้งใจเรียนสายวิทย์ทำงานในสถาบันวิทย์
และไปวัดวาฟังธรรมมะตามประสาตามประเพณีเหมือนคนทั่วไป ซึ่งนั่นไม่ใช่แนวทางเป็นพระอรหันต์เลย ถ้ามันหลุดพ้นได้
คงมีคนเป็นพระอริยะกันเต็มไปหมด
ถ้าฉันเลือกบวชเพื่อศึกษาธรรมะ ฉันก็ต้องละทิ้งความเป็นนักวิทยาศาสตร์ เมื่อฉันเข้าไปคุยกับพระต่างๆ ก็ค้นพบว่า
พวกเค้าพร่ำบอกแต่ว่า พุทธเป็นวิทยาศาสตร์ แต่พระเหล่านั้นกลับละทิ้งวิธีคิดทางวิทยาศาสตร์นั่นคือการตั้งคำถาม
ฉันจึงพยายามหาอ่านและศึกษาศาสนาของฉันจากหนังสือ จนกระทั่งมีอินเทอร์เน็ต นอกจากจะโดดเรียนเพื่อไปเล่นเกมแล้วฉันก็พยายามหาความรู้จากเน็ต 56k นั้นเพิ่มเติมบ้าง แม้บางทีจะโดนด่าจากเจ้าของร้านว่าห้ามเปิดเว็บทำให้เกมช้า (ซึ่งไอ้บ้า เน็ตหลายๆ ร้านก็แบ่งเป็นสองท่อไม่ใช่เหรอ)
นอกจากความเชื่อด้านศาสนาแล้ว แน่นอนว่าวิถีความคิดและศีลธรรมความดีของฉันก็ตามแบบพุทธ เชื่อในกรรม
และแน่นอน เชื่อเรื่องผีสางเทวดา และจนถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังอยากรู้ว่า พวกเขามีจริงไหม แม้ว่า ฉันจะเคยประสบเหตุการณ์ที่น่าคิด
แต่ส่วนใหญ่มักมาตอนฉันนอน
ฉันพึ่งมารู้เอาตอนที่ internet 512k จากการอ่านบทความของนักวิชาการว่า ศาสนาพุทธของไทยนั้น มีปนทั้งพราหมณ์ทั้งผี
เรานับถือผีบรรพบุรุษมาก่อนมีศาสนาพุทธ เรารับพรามหมณ์และพุทธมาจากอินเดีย อิทธิพลพรามณ์เราได้มาจากเขมร
อ่านย้อนกลับไปว่าประวัติศาสตร์การรับศาสนาเหล่านี้เข้ามานั้นมาได้ยังไง ยิ่งอ่านเรายิ่งเข้าใจในความเป็นศาสนามากขึ้น
ว่าศาสนาที่เรานับถืออยู่ทุกวันนี้มีวิวัฒนาการมายังไงและโครงสร้างแบบไหน
ยิ่งเน็ทเร็วขึ้น social มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เรารู้และค้นพบกับหลายๆ สิ่งอย่างที่หลอมรวมเป็นศาสนามากขึ้น
บางอย่างลวงตาเรา บางอย่างก็เป็นตัวเรา จนสุดท้าย เราเองเริ่มรู้สึกว่า ศาสนาที่เป็นอยู่ทุกวันนี้อาจไม่ใช่คำตอบ
ไม่ใช่ทางออกแห่งการพ้นทุกข์อย่างที่เราเคยเชื่อมั่นเอาไว้
ตำถามเป็นสิ่งอันตรายสำหรับศาสนา และแม้แต่กระทั่งศาสนาพุทธที่เปิดกว้างในคำถามเองก็ยังไม่สามารถห้ามได้เมื่อคำถามไปถึงจุดๆ หนึ่ง ที่เราทำอยู่จะพ้นทุกข์ได้จริงหรือ
เหตุเพราะเฟซบุ๊ค
Social Media ไม่ได้อันตรายกับรัฐเท่านั้น แต่แม้แต่กับศาสนาเองก็ด้วย ยิ่งรัฐที่ผูกกับศาสนาเป็นเนื้อเดียวกันอย่างประเทศไทยนี่ยิ่งอันตราย
ช่วงหนึ่งมีการเรียกร้องให้บรรจุศาสนาพุทธในรัฐธรรมนูญเป็นศาสนาประจำชาติ สัญชาติญาณบางอย่างบอกเราว่าไม่เห็นด้วย “คำถาม”
คำถามอีกแล้ว คำถามว่าเราทำไมไม่เห็นด้วยจึงเกิดขึ้นมา
ประเทศไทยไม่ได้มีศาสนาเดียว แน่นอนว่าคนพุทธเยอะมากกว่าศาสนาอื่น แค่นี้ทั้งหน่วยงานรัฐ จังหวัดและโรงเรียนก็จัดงานต่างๆ
โดยใช้งบประมาณหลวงมากพอแล้ว การยกขึ้นมาเพียงศาสนาเดียวจะเป็นการละทิ้งศาสนาอื่นๆ หรือเปล่า
ปัญหาเรื่องการเมืองภายในมหาเถรสมาคมเองก็เป็นอีกหนึ่งที่ทำให้เราสงสัยว่าทำไมพระเหล่านี้ถึงมีชั้นยศมีการปกครองเป็นรัฐที่ซ้อนในรัฐอีกรูปแบบหนึ่ง
และยิ่งย้อนไปในประวัติศาสตร์ความขัดแย้งกับพระท้องถิ่นสมัยก่อน เรื่องครูบาศรีวิชัย หรือการตั้งฝ่ายธรรมยุติขึ้นมาก็เป็นเรื่องการเมืองทั้งนั้น
มันทำให้เรามีคำถามไปยังคำสอนทางศาสนาที่พร่ำสอนเราอยู่ว่า มันมีอะไรลวงตาหรือไม่ จากการศึกษาคำสอน
กลายมาเป็นค้นหาความหมายของศาสนา หากศาสนานั้นมีความหมาย ฉันจึงจะศึกษาในคำสอน
ไม่ใช่ฉันไม่นับถือพระ
หลายครั้งฉันก็เห็นคนไหว้พระสงฆ์แต่ฉันไม่ไหว้ ฉันไม่ไหว้พระที่ฉันไม่รู้จักวัตรปฏิบัติ ไม่ใช่ฉันไม่นับถือพระสงฆ์เลย
ฉันไหว้พระสงฆ์ที่เค้าเป็นคนน่านับถือ ไม่ใช่เพราะเขาห่มผ้าเหลือง ฉันจึงละการใส่บาตรยามเช้า
และเลือกถวายสังฆทานเป็นบางโอกาสกับวัดป่าบ้านนอกเมื่อเวลากลับบ้าน
ไม่มีจุดหักเหหรือตัดสินใจ
การละศาสนาของเราเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีจุดหักเหหรือจุดจัดสินใจ เราละแค่ศาสนา
แต่ศีลธรรมจรรยา ความดี อะไรต่างๆ เรายังถูกขัดเกลามาและเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
และเชื่อมั่นว่าความดีไม่จำเป็นต้องมีศาสนา
แต่เป็นการขัดเกลาของครอบครัวและสังคมที่จะบอกให้อยู่ร่วมกันอย่างมีขันติต่อกันและยอมรับกันต่างหาก
อย่างว่าสังคมเองซับซ้อน ศาสนานอกจากถูกใช้เป็นเครื่องมือขัดเกลาสังคม
ยังใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อควบคุมคนอีกด้วย และเราจะละทิ้งศาสนาก็ไม่สามารถละทิ้งการถูกควบคุมจากส่วนอื่นๆ ไปได้
เราเป็นอศาสนิกที่เข้าใจศาสนา เราไม่ได้ละทิ้งเพราะเกลียดหรือไม่ดี เราละทิ้งไปเพราะแค่ไม่มีคำตอบที่ดีสำหรับเรา
และเรา ไม่ได้ละทิ้งความเป็นคน ที่ดี “คน ที่ ดี”
ปล.ผมไม่ใช่อศาสนิกที่ไล่ฟาดพวกศาสนิกนะครับ อยู่สงบๆ ตามแนวทางพุทธเพื่อหาทางใช้ชีวิตแบบปกติสุขเหมือนเดิมครับ
ที่มาเล่าให้ฟังเผื่อมีใครที่ค่อยๆ ละวาง ปล่อยวางการยึดติดในศาสนาของตัวเองบ้างเท่านั้นครับ
ฉันเป็นอศาสนิก และการเป็นอศาสนิกของฉันก็ไม่ได้เป็นเพื่อเกลียดชังศาสนา
แต่เริ่มเดิมทีนั้น ฉันเกิดมาในครอบครัวพุทธบ้านนอก เข้าวัดวาตามญาติผู้ใหญ่ ไปงานประเพณี นับแต่เด็กมาเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ
ท้าวความก่อนว่าพ่อแม่ของฉันเป็นครู สอนประถม เริ่มก็สอนที่โรงเรียนบ้านนอกในหมู่บ้านที่ฉันอยู่ ซึ่งมีปู่ย่าอยู่บ้านไม่ห่างกัน
จากนั้นเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ พี่สาวสอบได้โรงเรียนประจำจังหวัด จึงได้ย้ายมาเรียนโรงเรียนในเมือง
แต่ก่อนตอนเด็ก เราก็ไปวัดวากับย่า นั่งฟังเทศน์รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
ใครถามว่าโตมาอยากเป็นอะไรเราก็บอก นักวิทยาศาสตร์ เพราะสมัยนั้นเรารู้จักอาชีพแค่ ครู พยาบาล ทหาร ตำรวจ
แต่ไอ้คำว่านักวิทยาศาสตร์นี่แล่ะโผล่มาไงจากเด็กบ้านนอก ก็พ่อแม่เป็นครู หาหนังสือความรู้รอบตัวมาให้อ่านเสมอ
เมื่อย้ายมาอยู่ในเมือง พ่อแม่พาไปอยู่ใกล้บ้านญาติที่เป็นป้า เราสร้างบ้านหลังใหม่ที่นั่น ในป่า ไกลจากตัวเมืองมาก
แต่มีคิวของรถโดยสารห่างไปประมาณสามกิโลเมตร เป็นรถเมล์เข้าไปถึงตัวเมือง สมัยนั้นยังเป็นรถเมล์แบบในกรุงเทพมีกระเป๋า
(ตอนมัธยม พัฒนามาใช้แบบหยอดเหรียญ และปลดกระเป๋าออก ทันสมัยมาก ถ้าหยอดแล้วหมุนไม่ได้ก็ลอดเอาซะ)
บ้านที่เราอยู่นั้นไม่ห่างไกลนักจากวัดที่ดังมาก “วัดหนองป่าพง” สงบเงียบ และฉันมักจะปั่นจักรยานไปเที่ยวเล่นที่พิพิธภัณฑ์หลวงปู่ชาเป็นประจำ
ที่นี่ป้าจะดูแลตากับยาย เพราะแก่มากแล้ว ยายจะมีหนังสือ/นิตยสารธรรมมะกองเบ้อเริ่มเลย ด้วยความที่ชอบอ่านเราก็หยิบมาอ่าน
ที่จำได้ก็ ธรรมบันดาล มีแก้ว มีเข้าทรงอะไรไม่รู้เหมือนกัน มีสาลิกาลิ้นทอง ทรงว่าคนนั้นมีกรรมนั่นนี่จะมีองค์เข้าแบบนี้ๆ
แต่ที่ฉันสนใจมากจริงๆ จะเป็นนิตยสารธรรมะที่มีพระเกจิอาจารย์ขึ้นปกมากกว่า
ฉันอยู่นั่นจนป.หกเทอมต้น เราก็ขายบ้านย้ายมาอยู่บ้านพักครูโรงเรียนในเมือง ในช่วงที่อยู่บ้านป้าประมาณห้าปี ฉันอ่านหนังสือธรรมมะ
จนใครๆ ถามก็บอกว่า ตั้งใจจะบวชจนเป็นพระอรหันต์ให้ได้ ผู้ใหญ่ต่างก็อนุโมทนาแล้วบอกว่าเด็กคนนี้คิดดี
เอาเป็นว่า ฉันเคยตั้งใจบวชไม่สึกและตั้งใจจะเป็นพระอรหันต์ให้ได้ แต่แม้แต่บวชเณรก็ไม่ได้ทำ
เมื่อเข้ามาอยู่ในเมือง ก็ตามประสาเด็กวัย 12-15 เราเป็นวัยรุ่นตอนต้น เริ่มมีสิ่งอื่นให้สนใจ ประกอบกับไม่มีหนังสือธรรมะและห่างวัด
เราไปเพราะผู้ใหญ่พาไป ความตั้งใจว่าจะบวชก็มลายหายไปสิ้น และที่บ้านเองก็ไม่เคยรบเร้าให้บวช
และแม้จะมีคำถามจากย่า ว่าจะบวชให้ได้มั้ย ฉันเองก็บอกว่าได้ แต่จนเรียนจบ ทำงาน ฉันก็ไม่ได้บวชให้ และย่าก็ไม่ได้รบเร้าหรือถามอีกเลย
พอเริ่มเรียนม.ปลาย ฉันชอบทำกิจกรรม ซึ่งนอกจากสมัชชาเยาวนแห่งชาติ (ปี2543-2545) ก็จะมีชมรมพวก friend’s corner
และที่สำคัญคือ “ยุวพุทธิกสมาคม” อันนี้มีการเข้าค่ายห้าวันสี่คืนที่วัด ก็กิจกรรมและฟังเทศน์ตามรูปแบบทั่วไปนั่นแล่ะฮะ
และด้วยความที่อยู่ในเมือง เราก็ร่วมทำกิจกรรมอื่นๆ กับชมรมนี้เรื่อยๆ ทั้งการไปให้ความรู้เรื่องสิทธิเด็กตามโรงเรียนต่างๆ
มันทำให้เรากลับเข้ามาใกล้ชิดศาสนาอีกครั้ง และเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่เรานับถือและหาคำตอบกับมัน
การตั้งคำถาม ดูจะไม่ใช่ข้อห้ามของศาสนาพุทธ เพราะฉันถูกสอนมาเสมอว่า พุทธเป็นหนึ่งเดียวกับวิทยาศาสตร์ และฉันเคยตั้งใจจะเป็นนักวิทยาศาสตร์และจะเป็นพระอรหันต์ คำถามคือมันจะไปพร้อมกันได้ยังไง ฉันจะเป็นศาสนิกนักวิทยาศาสตร์ได้ยังไง และพื้นฐานของวิทยาศาสตร์คือการตั้งคำถาม และศาสนาพุทธสอนให้ฉันแสวงหาความรู้แจ้ง และความรู้แจ้งนั้นมันย่อมเกิดมาจากคำถาม
“ฉันจะเป็นนักวิทยาศาสตร์แบบไหนดี” ทางเลือกของฉันมีไม่กี่ทาง คือตั้งใจเรียนสายวิทย์ทำงานในสถาบันวิทย์
และไปวัดวาฟังธรรมมะตามประสาตามประเพณีเหมือนคนทั่วไป ซึ่งนั่นไม่ใช่แนวทางเป็นพระอรหันต์เลย ถ้ามันหลุดพ้นได้
คงมีคนเป็นพระอริยะกันเต็มไปหมด
ถ้าฉันเลือกบวชเพื่อศึกษาธรรมะ ฉันก็ต้องละทิ้งความเป็นนักวิทยาศาสตร์ เมื่อฉันเข้าไปคุยกับพระต่างๆ ก็ค้นพบว่า
พวกเค้าพร่ำบอกแต่ว่า พุทธเป็นวิทยาศาสตร์ แต่พระเหล่านั้นกลับละทิ้งวิธีคิดทางวิทยาศาสตร์นั่นคือการตั้งคำถาม
ฉันจึงพยายามหาอ่านและศึกษาศาสนาของฉันจากหนังสือ จนกระทั่งมีอินเทอร์เน็ต นอกจากจะโดดเรียนเพื่อไปเล่นเกมแล้วฉันก็พยายามหาความรู้จากเน็ต 56k นั้นเพิ่มเติมบ้าง แม้บางทีจะโดนด่าจากเจ้าของร้านว่าห้ามเปิดเว็บทำให้เกมช้า (ซึ่งไอ้บ้า เน็ตหลายๆ ร้านก็แบ่งเป็นสองท่อไม่ใช่เหรอ)
นอกจากความเชื่อด้านศาสนาแล้ว แน่นอนว่าวิถีความคิดและศีลธรรมความดีของฉันก็ตามแบบพุทธ เชื่อในกรรม
และแน่นอน เชื่อเรื่องผีสางเทวดา และจนถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังอยากรู้ว่า พวกเขามีจริงไหม แม้ว่า ฉันจะเคยประสบเหตุการณ์ที่น่าคิด
แต่ส่วนใหญ่มักมาตอนฉันนอน
ฉันพึ่งมารู้เอาตอนที่ internet 512k จากการอ่านบทความของนักวิชาการว่า ศาสนาพุทธของไทยนั้น มีปนทั้งพราหมณ์ทั้งผี
เรานับถือผีบรรพบุรุษมาก่อนมีศาสนาพุทธ เรารับพรามหมณ์และพุทธมาจากอินเดีย อิทธิพลพรามณ์เราได้มาจากเขมร
อ่านย้อนกลับไปว่าประวัติศาสตร์การรับศาสนาเหล่านี้เข้ามานั้นมาได้ยังไง ยิ่งอ่านเรายิ่งเข้าใจในความเป็นศาสนามากขึ้น
ว่าศาสนาที่เรานับถืออยู่ทุกวันนี้มีวิวัฒนาการมายังไงและโครงสร้างแบบไหน
ยิ่งเน็ทเร็วขึ้น social มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เรารู้และค้นพบกับหลายๆ สิ่งอย่างที่หลอมรวมเป็นศาสนามากขึ้น
บางอย่างลวงตาเรา บางอย่างก็เป็นตัวเรา จนสุดท้าย เราเองเริ่มรู้สึกว่า ศาสนาที่เป็นอยู่ทุกวันนี้อาจไม่ใช่คำตอบ
ไม่ใช่ทางออกแห่งการพ้นทุกข์อย่างที่เราเคยเชื่อมั่นเอาไว้
ตำถามเป็นสิ่งอันตรายสำหรับศาสนา และแม้แต่กระทั่งศาสนาพุทธที่เปิดกว้างในคำถามเองก็ยังไม่สามารถห้ามได้เมื่อคำถามไปถึงจุดๆ หนึ่ง ที่เราทำอยู่จะพ้นทุกข์ได้จริงหรือ
เหตุเพราะเฟซบุ๊ค
Social Media ไม่ได้อันตรายกับรัฐเท่านั้น แต่แม้แต่กับศาสนาเองก็ด้วย ยิ่งรัฐที่ผูกกับศาสนาเป็นเนื้อเดียวกันอย่างประเทศไทยนี่ยิ่งอันตราย
ช่วงหนึ่งมีการเรียกร้องให้บรรจุศาสนาพุทธในรัฐธรรมนูญเป็นศาสนาประจำชาติ สัญชาติญาณบางอย่างบอกเราว่าไม่เห็นด้วย “คำถาม”
คำถามอีกแล้ว คำถามว่าเราทำไมไม่เห็นด้วยจึงเกิดขึ้นมา
ประเทศไทยไม่ได้มีศาสนาเดียว แน่นอนว่าคนพุทธเยอะมากกว่าศาสนาอื่น แค่นี้ทั้งหน่วยงานรัฐ จังหวัดและโรงเรียนก็จัดงานต่างๆ
โดยใช้งบประมาณหลวงมากพอแล้ว การยกขึ้นมาเพียงศาสนาเดียวจะเป็นการละทิ้งศาสนาอื่นๆ หรือเปล่า
ปัญหาเรื่องการเมืองภายในมหาเถรสมาคมเองก็เป็นอีกหนึ่งที่ทำให้เราสงสัยว่าทำไมพระเหล่านี้ถึงมีชั้นยศมีการปกครองเป็นรัฐที่ซ้อนในรัฐอีกรูปแบบหนึ่ง
และยิ่งย้อนไปในประวัติศาสตร์ความขัดแย้งกับพระท้องถิ่นสมัยก่อน เรื่องครูบาศรีวิชัย หรือการตั้งฝ่ายธรรมยุติขึ้นมาก็เป็นเรื่องการเมืองทั้งนั้น
มันทำให้เรามีคำถามไปยังคำสอนทางศาสนาที่พร่ำสอนเราอยู่ว่า มันมีอะไรลวงตาหรือไม่ จากการศึกษาคำสอน
กลายมาเป็นค้นหาความหมายของศาสนา หากศาสนานั้นมีความหมาย ฉันจึงจะศึกษาในคำสอน
ไม่ใช่ฉันไม่นับถือพระ
หลายครั้งฉันก็เห็นคนไหว้พระสงฆ์แต่ฉันไม่ไหว้ ฉันไม่ไหว้พระที่ฉันไม่รู้จักวัตรปฏิบัติ ไม่ใช่ฉันไม่นับถือพระสงฆ์เลย
ฉันไหว้พระสงฆ์ที่เค้าเป็นคนน่านับถือ ไม่ใช่เพราะเขาห่มผ้าเหลือง ฉันจึงละการใส่บาตรยามเช้า
และเลือกถวายสังฆทานเป็นบางโอกาสกับวัดป่าบ้านนอกเมื่อเวลากลับบ้าน
ไม่มีจุดหักเหหรือตัดสินใจ
การละศาสนาของเราเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีจุดหักเหหรือจุดจัดสินใจ เราละแค่ศาสนา
แต่ศีลธรรมจรรยา ความดี อะไรต่างๆ เรายังถูกขัดเกลามาและเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
และเชื่อมั่นว่าความดีไม่จำเป็นต้องมีศาสนา
แต่เป็นการขัดเกลาของครอบครัวและสังคมที่จะบอกให้อยู่ร่วมกันอย่างมีขันติต่อกันและยอมรับกันต่างหาก
อย่างว่าสังคมเองซับซ้อน ศาสนานอกจากถูกใช้เป็นเครื่องมือขัดเกลาสังคม
ยังใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อควบคุมคนอีกด้วย และเราจะละทิ้งศาสนาก็ไม่สามารถละทิ้งการถูกควบคุมจากส่วนอื่นๆ ไปได้
เราเป็นอศาสนิกที่เข้าใจศาสนา เราไม่ได้ละทิ้งเพราะเกลียดหรือไม่ดี เราละทิ้งไปเพราะแค่ไม่มีคำตอบที่ดีสำหรับเรา
และเรา ไม่ได้ละทิ้งความเป็นคน ที่ดี “คน ที่ ดี”
ปล.ผมไม่ใช่อศาสนิกที่ไล่ฟาดพวกศาสนิกนะครับ อยู่สงบๆ ตามแนวทางพุทธเพื่อหาทางใช้ชีวิตแบบปกติสุขเหมือนเดิมครับ
ที่มาเล่าให้ฟังเผื่อมีใครที่ค่อยๆ ละวาง ปล่อยวางการยึดติดในศาสนาของตัวเองบ้างเท่านั้นครับ