สวัสดีค่ะชาวพันทิป วันนี้จะขอมาเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองพบเจอกับการเป็นหลานสาวคนแรกของบ้าน ว่ามันจะแย่ขนาดไหนและโดนอะไรมาบ้าง ขอสาบานเลยว่าเรื่องที่จะเล่านี้ไม่ใช่เรื่องแต่งแต่อย่างใดเป็นเรื่องจริงทั้งหมดค่ะ อาจจะเล่าแบบข้ามไปมาไปบ้างเพราะเรื่องมันนานแล้วจำไม่ค่อยจะได้น่ะค่ะ ตั้งเป็นกระทู้สนทนาไม่ได้ขออภัยด้วยค่ะ
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่อยู่ประถมนะคะ ในตอนนั้นจำไม่ค่อยได้ว่าอยู่ ป.อะไร แต่น่าจะเป็นช่วงปิดเทอม ในตอนนั้นเราอยู่กับยายเพราะพ่อเสียไปตั้งแต่เรา 3 ขวบ แล้วแม่ก็ทำงานกลับดึกทุกวัน แล้ววั้นนั้นยายออกไปนาเราจึงต้องอยู่บ้านกับน้าชาย ในวันนั้นเราก็เล่นตามประสาเด็กแต่ก็คืออยู่ในบ้าน (ที่บ้านเป็นบ้าน 2 ชั้น แต่ตอนนั้นชั้นล่างเปิดโล่งแต่มีบางส่วนที่เป็นห้องซึ่งมีห้องนอนน้าชายเรากับห้องนอนของยาย) เราเล่นอยู่คนเดียวเพราะช่วงนั้นเพื่อนข้างบ้านไปเรียนพิเศษแต่เราไม่ได้เรียน เล่นไปซักพักน้าชายก็เดินมาอุ้มเราเข้าไปในห้องของเขาบอกเราว่ามาเล่นกัน แล้วจับเราถอดกางเกงแล้วก็จับตรงส่วนนั้นของเรา เรารู้สึกจักจี๋เราเลยหัวเราะออกไป เขาก็บอกว่าให้เราอย่าเสียงดัง แล้วซักพักป้าข้างบ้านเขามาเรียกแล้วบอกว่าเขาจะเอาเนื้อหมู (ตอนนั้นป้าข้างบ้านยังไม่มีตู้เย็นเลยจะมาฝากเอาไว้ที่บ้านเรา) น้าชายเราเขาก็บอกว่าให้ออกไปเอาให้เขา เราก็ออกมาแล้วป้าเขาก็ให้เราไปนั่งเล่นบ้านเขาแทน ซึ่งซักพักน้าชายก็ออกมาจากห้องแล้วก็เรียกให้เราเข้าไปหาแต่ป้าเขาบอกว่าให้บอกว่าไม่ไป เราก็เลยบอกไปตามนั้น แล้วเราก็อยู่เล่นที่บ้านป้าจนยายมาจึงกลับ
เรื่องนั้นก็ผ่านมาจนน้าชายเราไปทำงานในกรุงเทพฯ นานๆทีจะกลับมา ในวันนั้นเขากลับมาเยี่ยมบ้านน้าชายเอาเกมกดมาให้เล่นเราก็เลยนอนเล่นอยู่ในห้องยาย แล้วซักพักน้าชายก็เข้ามาในห้อง เขาจับเราถอดกางเกงออก จับตรงนั้นของเรา แล้วเขาเอาหมอนมาวางตรงอกเราแล้วเขาก็ขึ้นมานั่งคล่อมเรา เรารู้สึกเหมือนมีอะไรมาถูตรงนั้นของเรา เราไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเราเลยร้องไห้ออกมา น้าชายเขาก็ตกใจแล้วเขาก็เลยหยุดแล้วออกจากห้องไป (เราไม่รู้ว่ามีใครอยู่ข้างนอกรึเปล่าเพราะมันเงียบมาก)
เรื่องที่ผ่านมาเราไม่ได้บอกใครเลย เพราะถ้าถามว่าทำไม เราเป็นคนร่าเริงนะ แต่กับคนในบ้านแม้แต่ยายหรือแม่ของเรา เราจะไม่ค่อยพูดเรื่องของเราเลย ก็เหมือนเด็กมีปัญหานั่นแหละค่ะ เราจะไม่ค่อยปรึกษาอะไรกับคนในบ้านเลยในตอนนั้น จะพูดกับเพื่อนมากกว่า มีอะไรก็จะเก็บไว้คือไม่พูดมีอะไรก็ไม่พูด ถ้าไม่เค้นถามเราจริงๆ แต่ชีวิตการเป็นหลานสาวคนแรกของเรายังไม่จบนะคะ ขึ้นชั้น ม.ต้นแล้วก็ยังมีเรื่องค่ะ
ตอนนั้นจำได้ชัดเลยค่ะ เป็นตอนปิดเทอมใหญ่ ม.2 ใช่ค่ะปิดเทอมคนก็ไม่ค่อยมีคนอยู่บ้านสิคะ เราก็อยู่บ้านดูการ์ตูนอยู่ในห้องนอนของยายอีกเช่นกัน เราก็นั่งดูการ์ตูนไปแล้วประตูห้องก็เปิดค่ะ คิดว่าเป็นใครคะ น้าชาย? ไม่ใช่ค่ะน้าชายอยู่กรุงเทพฯค่ะ เป็น น้าเขย ค่ะ เขาเดินเข้ามานั่งข้างเราบนเตียงแล้วบอกเราว่า "ขอหอมหน่อยดิ" แล้วโอบไหล่เรา เราพูดแค่ว่า "ไม่เอา ไม่เอา" แล้วเราก็ดันเขาออกหลังจากนั้นก็จะวิ่งออกจากห้อง ก่อนเราจะออกจากห้องเราได้ยินเขาพูดว่า "น้าล้อเล่น" ตอนนั้นเราวิ่งออกไปอยู่บ้านป้าข้างบ้านแล้วจำความรู้สึกได้แม่นเลยว่าตัวสั่นมาก แล้วก็อยู่ที่นั่นจนกว่ายายจะกลับอีกเช่นเคย ถามว่าเราบอกยายมั้ย? ไม่ค่ะเป็นนางฟ้าก็แบบนี้ เปล่าหรอกค่ะบอกหลังจากนั้นแล้วมันจะมีเรื่องต่อไปอีก แต่หลังจากที่เกิดเรื่องนั้นคือเราไม่พูดกับเค้าอีกเลย แล้วเราก็รู้สึกถูกคุกคามมาตลอด ในตอนนั้นเรานอนห้องยายห้องน้ำก็มีแค่ห้องเดียว เวลาเราอาบน้ำเรารู้สึกถูกคุกคามทุกครั้งจริงๆ เพราะตอนเราเข้าห้องน้ำไปตักน้ำราดตัวเราจะได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ข้างนอกตลอด ซึ่งตอนก่อนหน้านั้นมีอยู่ครั้งนึงเรากำลังจะอาบน้ำเลยถอดเสื้อผ้าเตรียมจะนุ่งผ้าขนหนูแล้ว ประตูก็เปิดค่ะ อุ้มลูกมาด้วยทำเป็นเอาของมาคืนเราเลยให้โยนไว้เดี๋ยวเก็บเอง พอเราอาบน้ำเสร็จเตรียมจะใส่เสื้อผ้า "แกรบ!" เสียงกิ่งไม้หลังบ้านค่ะ พอมองออกไปคือชัดเลย เห็นเป็นหลังของเค้าถามว่ารู้ได้ยังไงก็เสื้อตัวเดียวกันเลยค่ะ อีหรอปเดิมค่ะไม่บอกไม่พูด
แต่หลังจากนั้นคือเราขึ้นมานอนในห้องของแม่เพราะแม่เราแต่งานใหม่แล้วย้ายออกไปอยู่บ้านนั้น เราเลยอยู่ห้องแม่บนชั้น 2 แทน ซึ่งยายก็ทำห้องน้ำที่ชั้น 2 ให้เราเลยรู้สึกโล่งใจมาก ตรงบันใดทางขึ้นก็ทำประตูให้อีก เราเลยสามารถครองชั้น 2 ของบ้านได้เลยเพราะเราอยู่ชั้น 2 คนเดียว... แต่มีประตูปิดใช่มั้ยคะ ค่ะแต่ถ้าปิดไว้แต่ไม่ได้ล็อคล่ะ? ใช่ค่ะวันนั้นเราจะได้แม่น ตอนนั้นเราอยู่ ปี 1 เรียน ปวส. ค่ะ ยายไม่อยู่น่าจะไปงานศพ เราก็นั่งอยู่ตรงตีนบันใด คือประตูทางขึ้นมันเป็นประตูกระจกค่ะเป็นบานเลื่อนแล้วตรงบันใดมันมืดเพราะเราไม่ชอบเปิดไฟ (เป็นกระจกที่แบบถ้าเราอยู่ในฝั่งที่มืดเราจะเห็นทางฝั่งที่สว่างน่ะค่ะแต่ฝั่งทางสว่างจะไม่เห็นถ้าไม่มองดีๆ) เราก็นั่งมันมืดๆนั่นแหละค่ะ จำได้ว่าจะออกมาเอาน้ำแต่เค้านั่งอยู่ข้างนอก เรานั่งซักพักเค้าทำท่าเดินไปทางประตูบ้านแล้วจู่ๆเราเห็นค่ะ เราเห็นนิ้วที่ลอดเข้ามาที่ประตูเหมือนว่าจะดูว่าประตูล็อครึเปล่า ตอนนั้นคือเราตกใจมากแล้วตอนนั้นเรานุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวค่ะ ถ้าเกิดเค้าเปิดประตูมาเห็นเราอาจเกิดเรื่องเลยก็ได้ แล้วเค้าก้อทำตัวปกติเดินไปนั่งดูโทรทัศน์เราเห็นแบบนั้นคือเราเดินไปล็อคประตูเลยค่ะไม่เอามันแล้วขวดน้ำเดินขึ้นห้องนอนทันทีเลยค่ะ นี่เป็นเรื่องตอนปี 1 ใช่มั้ยคะ สุดท้ายค่ะ ปี 2 ทนไม่ไหวแล้วตั้งตัสในเฟสบุ้คด่าค่ะ (คือตั้งด่ามาตลอดค่ะเหมือนเป็นโรคจิตไปแล้วตอนนั้น) แล้วน้าสาวก็เข้ามาคอมเม้นว่า "เฮ้ย?" เหมือนว่าตกใจว่าเราด่าใครเพราะมันโยงกับคนในบ้าน เราเลย "เอาวะ! บอกน้าสาวก่อนเลย" ไลน์ไปบอกเลยค่ะ พิมพ์ไปร้องไห้ไป เล่าค่ะบอกไปหมดแต่ไม่ได้บอกในเรื่องของน้าชายค่ะ บอกแค่เรื่องชองน้าเขย แล้วน้าสาวก็บอกว่าเดี๋ยวจะคุยกับยายเอง คือตอนนั้นรู้สึกโล่งมาก เพราะกลัวว่าจะไม่เชื่อ แล้วเราก็ทำตัวเฉยๆปกติ ผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์ เราก็แบบเหมือนว่าน้าคงจะลืม เราก็เลยเอาวะ วันนั้นอยู่กับยายแค่สองคนเล่ามันเองซะเลย เล่าไปร้องไห้ไป (ซึ่งเรื่องนี้เราเล่าให้เพื่อนฟังนะเพื่อนทุกคนที่เราเล่าให้ฟังบอกว่าให้บอกยายไปเลย แต่สาเหตุที่ไม่อยากเล่าคือถ้ามีเรื่องหนักใจยายจะนอนไม่หลับ เราเลยไม่อยากเล่า) ยายก็บอกว่าเดี๋ยวเขาจะพูดเองให้เราเงียบๆไว้ แล้ววันนั้นเป็นวันเสาร์ยายต้องไปรับหลานที่โรงเรียนเพราะหลานอีกคนเรียนพิเศษ พอไปรับเสร็จก็นั่งรถเมล์ต่อไปที่บ้านของพ่อแม่น้าเขยเลย แล้วยายเราก็ไปพูดคุยกับทางนั้น เรารู้แล้วว่าตอนเย็นต้องมีเรื่องแน่ๆ แล้วมันก็เป็นจริงค่ะน้าเขยกลับจากทำงานแล้วก็ไปบ้านเขาตามปกติ แต่วันนั้นกลับมาเร็วกว่าปกติพอกลับมาเขาก็เข้ามาที่ห้องพร้อมลูกของเขาแล้วก็มาถามว่าเขาไปทำอะไร ถ้าไม่ให้อยู่ก็จะไม่อยู่ ตอนนั้นเราฟังอย่างเงียบๆแล้วเราก็เลยพูดเรื่องที่เกิดขึ้นออกไป เขาก็บอกว่า เรื่องมันก็จะสิบปีแล้วจะรื้อฟื้นทำไม ไม่พอใจอะไรใช่มั้ยก็บอกมา ตอนนั้นเราเงียบเลยค่ะกัดกระพุ้งแก้มตัวเองพยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นออกมามันไม่รู้สึกเจ็บเลยค่ะเพราะมันชาไปหมด แล้วลูกเขาก็ร้องไห้ตลอดเราไม่รู้ว่าทำไม แต่ที่เราไม่อยากพูดอีกอย่างเพราะแบบนี้ ยายก็บอกเราว่าทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ แล้วก็บอกว่าถ้าน้าสาวถามก็ไม่ต้องพูดอะไร (ยายเรามีลูก 5 คนค่ะ เสียไปแล้วคนนึง แม่เราคือลูกคนแรก ลูกคนที่สองก็คือคนที่มีสามีแล้วคือคนนี้แหละค่ะ แล้วก็น้าชาย คนสุดท้ายคิอน้าสาวที่เข้ามาคอมเม้นในเฟสบุ้คเราและเป็นคนแรกที่เราบอกเค้าเรื่องนี้) ตอนนั้นคือสภาพจิตใจไม่ดีกันเลยทั้งบ้านค่ะ คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือหลานค่ะ ร้องไห้ไม่หยุด ตอนนั้นคือเรารู้สึกว่า "เฮ้ย! ทำไมอ่ะกูเป็นคนเลวขนาดนั้นเลยหรอ แล้วคือกูเป็นคนผิดใช่มั้ย? ตกลงคือกูเป็นคนผิดหรอ?" ตอนนั้นคือเราเงียบค่ะไม่พูดอะไรเลยเครียดมากด้วย อยากจะหนีออกไปจากที่บ้านมากๆ สภาพจิตใจคือแย่มาก เรียกว่าจิตตกกันเลยทีเดียวเชียว แถมยังต้องไปเรียนอีก มีเรื่องโครงการให้ทำ เตรียมจบอีก มันแบบตีกันวุ่นวายมากค่ะช่วงนั้น
แต่ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบ 5 เดือนแล้ว กับหลานเราคุยได้ปกติค่ะ ส่วนแม่ของเขาถ้ามว่าถ้าคุยเราก็คุย แต่กับน้าเขยถ้ายายอยู่บ้านเราก็อยู่ค่ะ แต่ถ้ายายไม่อยู่บ้านเราจะไปเล่นเน็ตที่บ้านป้าแทนค่ะ สองสามทุ่มค่อยกลับ ถามว่าคุยมั้ย? ไม่ค่ะ เราแทบจะไม่มองหน้าด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้เราก็เรียนจบ ปวส. แล้วด้วย สิ่งที่เราคิดมาตลอดคือถ้าเราเรียนจบแล้วเราจะไม่อยู่ที่บ้าน คือเราจะย้ายออกแน่นอน แต่เราก็เป็นห่วงยายอีกเหมือนกัน ตอนนี้เรากำลังหางานอยู่ก็ต้องอยู่ไปก่อน แต่เราหางานที่ไกลๆบ้านเอาไว้ซึ่งเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันก็ชวนเรา เราก็คิดอยู่ว่าจะไปดีมั้ย
สุดท้ายนะคะ เราขอฝากเรื่องของเราไว้เป็นอุทาหรณ์ให้คุณพ่อคุณแม่หรือใครก็ตาม อยากให้ดูแลลูกหลานให้ดี มีอะไรก็ต้องให้เค้าบอกไม่ใช่เก็บเงียบ มีเวลาให้พวกเค้าบ้าง ไม่เช่นนั้นลูกหลานของคุณอาจจะมีปมแบบเราก็ได้ ตอนนี้เราใช้ชีวิตตามปกติแล้ว(มั้งคะ) ถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรเราต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และขอยืนยันอีกครั้งว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริงค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอแท็กปัญหาครอบครัวกับครอบครัวเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว
ขอแท็กปัญหาสังคมเพราะเรื่องนี้มันเป็นปัญหาที่เริ่มพบบ่อยในสังคมเรามากขึ้นทุกวันค่ะ
ขอแท็กการสอนลูก การเลี้ยงลูก เพราะอยากให้ทุกคนเลี้ยงลูกให้ดีๆ และอยากให้สอนลูกว่าถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นให้พูดเพื่อที่พ่อแม่จะให้เฝ้าระวัง
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
เรื่องเล่าความทุกข์ของ "หลานสาวคนแรกของบ้าน"
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่อยู่ประถมนะคะ ในตอนนั้นจำไม่ค่อยได้ว่าอยู่ ป.อะไร แต่น่าจะเป็นช่วงปิดเทอม ในตอนนั้นเราอยู่กับยายเพราะพ่อเสียไปตั้งแต่เรา 3 ขวบ แล้วแม่ก็ทำงานกลับดึกทุกวัน แล้ววั้นนั้นยายออกไปนาเราจึงต้องอยู่บ้านกับน้าชาย ในวันนั้นเราก็เล่นตามประสาเด็กแต่ก็คืออยู่ในบ้าน (ที่บ้านเป็นบ้าน 2 ชั้น แต่ตอนนั้นชั้นล่างเปิดโล่งแต่มีบางส่วนที่เป็นห้องซึ่งมีห้องนอนน้าชายเรากับห้องนอนของยาย) เราเล่นอยู่คนเดียวเพราะช่วงนั้นเพื่อนข้างบ้านไปเรียนพิเศษแต่เราไม่ได้เรียน เล่นไปซักพักน้าชายก็เดินมาอุ้มเราเข้าไปในห้องของเขาบอกเราว่ามาเล่นกัน แล้วจับเราถอดกางเกงแล้วก็จับตรงส่วนนั้นของเรา เรารู้สึกจักจี๋เราเลยหัวเราะออกไป เขาก็บอกว่าให้เราอย่าเสียงดัง แล้วซักพักป้าข้างบ้านเขามาเรียกแล้วบอกว่าเขาจะเอาเนื้อหมู (ตอนนั้นป้าข้างบ้านยังไม่มีตู้เย็นเลยจะมาฝากเอาไว้ที่บ้านเรา) น้าชายเราเขาก็บอกว่าให้ออกไปเอาให้เขา เราก็ออกมาแล้วป้าเขาก็ให้เราไปนั่งเล่นบ้านเขาแทน ซึ่งซักพักน้าชายก็ออกมาจากห้องแล้วก็เรียกให้เราเข้าไปหาแต่ป้าเขาบอกว่าให้บอกว่าไม่ไป เราก็เลยบอกไปตามนั้น แล้วเราก็อยู่เล่นที่บ้านป้าจนยายมาจึงกลับ
เรื่องนั้นก็ผ่านมาจนน้าชายเราไปทำงานในกรุงเทพฯ นานๆทีจะกลับมา ในวันนั้นเขากลับมาเยี่ยมบ้านน้าชายเอาเกมกดมาให้เล่นเราก็เลยนอนเล่นอยู่ในห้องยาย แล้วซักพักน้าชายก็เข้ามาในห้อง เขาจับเราถอดกางเกงออก จับตรงนั้นของเรา แล้วเขาเอาหมอนมาวางตรงอกเราแล้วเขาก็ขึ้นมานั่งคล่อมเรา เรารู้สึกเหมือนมีอะไรมาถูตรงนั้นของเรา เราไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเราเลยร้องไห้ออกมา น้าชายเขาก็ตกใจแล้วเขาก็เลยหยุดแล้วออกจากห้องไป (เราไม่รู้ว่ามีใครอยู่ข้างนอกรึเปล่าเพราะมันเงียบมาก)
เรื่องที่ผ่านมาเราไม่ได้บอกใครเลย เพราะถ้าถามว่าทำไม เราเป็นคนร่าเริงนะ แต่กับคนในบ้านแม้แต่ยายหรือแม่ของเรา เราจะไม่ค่อยพูดเรื่องของเราเลย ก็เหมือนเด็กมีปัญหานั่นแหละค่ะ เราจะไม่ค่อยปรึกษาอะไรกับคนในบ้านเลยในตอนนั้น จะพูดกับเพื่อนมากกว่า มีอะไรก็จะเก็บไว้คือไม่พูดมีอะไรก็ไม่พูด ถ้าไม่เค้นถามเราจริงๆ แต่ชีวิตการเป็นหลานสาวคนแรกของเรายังไม่จบนะคะ ขึ้นชั้น ม.ต้นแล้วก็ยังมีเรื่องค่ะ
ตอนนั้นจำได้ชัดเลยค่ะ เป็นตอนปิดเทอมใหญ่ ม.2 ใช่ค่ะปิดเทอมคนก็ไม่ค่อยมีคนอยู่บ้านสิคะ เราก็อยู่บ้านดูการ์ตูนอยู่ในห้องนอนของยายอีกเช่นกัน เราก็นั่งดูการ์ตูนไปแล้วประตูห้องก็เปิดค่ะ คิดว่าเป็นใครคะ น้าชาย? ไม่ใช่ค่ะน้าชายอยู่กรุงเทพฯค่ะ เป็น น้าเขย ค่ะ เขาเดินเข้ามานั่งข้างเราบนเตียงแล้วบอกเราว่า "ขอหอมหน่อยดิ" แล้วโอบไหล่เรา เราพูดแค่ว่า "ไม่เอา ไม่เอา" แล้วเราก็ดันเขาออกหลังจากนั้นก็จะวิ่งออกจากห้อง ก่อนเราจะออกจากห้องเราได้ยินเขาพูดว่า "น้าล้อเล่น" ตอนนั้นเราวิ่งออกไปอยู่บ้านป้าข้างบ้านแล้วจำความรู้สึกได้แม่นเลยว่าตัวสั่นมาก แล้วก็อยู่ที่นั่นจนกว่ายายจะกลับอีกเช่นเคย ถามว่าเราบอกยายมั้ย? ไม่ค่ะเป็นนางฟ้าก็แบบนี้ เปล่าหรอกค่ะบอกหลังจากนั้นแล้วมันจะมีเรื่องต่อไปอีก แต่หลังจากที่เกิดเรื่องนั้นคือเราไม่พูดกับเค้าอีกเลย แล้วเราก็รู้สึกถูกคุกคามมาตลอด ในตอนนั้นเรานอนห้องยายห้องน้ำก็มีแค่ห้องเดียว เวลาเราอาบน้ำเรารู้สึกถูกคุกคามทุกครั้งจริงๆ เพราะตอนเราเข้าห้องน้ำไปตักน้ำราดตัวเราจะได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ข้างนอกตลอด ซึ่งตอนก่อนหน้านั้นมีอยู่ครั้งนึงเรากำลังจะอาบน้ำเลยถอดเสื้อผ้าเตรียมจะนุ่งผ้าขนหนูแล้ว ประตูก็เปิดค่ะ อุ้มลูกมาด้วยทำเป็นเอาของมาคืนเราเลยให้โยนไว้เดี๋ยวเก็บเอง พอเราอาบน้ำเสร็จเตรียมจะใส่เสื้อผ้า "แกรบ!" เสียงกิ่งไม้หลังบ้านค่ะ พอมองออกไปคือชัดเลย เห็นเป็นหลังของเค้าถามว่ารู้ได้ยังไงก็เสื้อตัวเดียวกันเลยค่ะ อีหรอปเดิมค่ะไม่บอกไม่พูด
แต่หลังจากนั้นคือเราขึ้นมานอนในห้องของแม่เพราะแม่เราแต่งานใหม่แล้วย้ายออกไปอยู่บ้านนั้น เราเลยอยู่ห้องแม่บนชั้น 2 แทน ซึ่งยายก็ทำห้องน้ำที่ชั้น 2 ให้เราเลยรู้สึกโล่งใจมาก ตรงบันใดทางขึ้นก็ทำประตูให้อีก เราเลยสามารถครองชั้น 2 ของบ้านได้เลยเพราะเราอยู่ชั้น 2 คนเดียว... แต่มีประตูปิดใช่มั้ยคะ ค่ะแต่ถ้าปิดไว้แต่ไม่ได้ล็อคล่ะ? ใช่ค่ะวันนั้นเราจะได้แม่น ตอนนั้นเราอยู่ ปี 1 เรียน ปวส. ค่ะ ยายไม่อยู่น่าจะไปงานศพ เราก็นั่งอยู่ตรงตีนบันใด คือประตูทางขึ้นมันเป็นประตูกระจกค่ะเป็นบานเลื่อนแล้วตรงบันใดมันมืดเพราะเราไม่ชอบเปิดไฟ (เป็นกระจกที่แบบถ้าเราอยู่ในฝั่งที่มืดเราจะเห็นทางฝั่งที่สว่างน่ะค่ะแต่ฝั่งทางสว่างจะไม่เห็นถ้าไม่มองดีๆ) เราก็นั่งมันมืดๆนั่นแหละค่ะ จำได้ว่าจะออกมาเอาน้ำแต่เค้านั่งอยู่ข้างนอก เรานั่งซักพักเค้าทำท่าเดินไปทางประตูบ้านแล้วจู่ๆเราเห็นค่ะ เราเห็นนิ้วที่ลอดเข้ามาที่ประตูเหมือนว่าจะดูว่าประตูล็อครึเปล่า ตอนนั้นคือเราตกใจมากแล้วตอนนั้นเรานุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวค่ะ ถ้าเกิดเค้าเปิดประตูมาเห็นเราอาจเกิดเรื่องเลยก็ได้ แล้วเค้าก้อทำตัวปกติเดินไปนั่งดูโทรทัศน์เราเห็นแบบนั้นคือเราเดินไปล็อคประตูเลยค่ะไม่เอามันแล้วขวดน้ำเดินขึ้นห้องนอนทันทีเลยค่ะ นี่เป็นเรื่องตอนปี 1 ใช่มั้ยคะ สุดท้ายค่ะ ปี 2 ทนไม่ไหวแล้วตั้งตัสในเฟสบุ้คด่าค่ะ (คือตั้งด่ามาตลอดค่ะเหมือนเป็นโรคจิตไปแล้วตอนนั้น) แล้วน้าสาวก็เข้ามาคอมเม้นว่า "เฮ้ย?" เหมือนว่าตกใจว่าเราด่าใครเพราะมันโยงกับคนในบ้าน เราเลย "เอาวะ! บอกน้าสาวก่อนเลย" ไลน์ไปบอกเลยค่ะ พิมพ์ไปร้องไห้ไป เล่าค่ะบอกไปหมดแต่ไม่ได้บอกในเรื่องของน้าชายค่ะ บอกแค่เรื่องชองน้าเขย แล้วน้าสาวก็บอกว่าเดี๋ยวจะคุยกับยายเอง คือตอนนั้นรู้สึกโล่งมาก เพราะกลัวว่าจะไม่เชื่อ แล้วเราก็ทำตัวเฉยๆปกติ ผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์ เราก็แบบเหมือนว่าน้าคงจะลืม เราก็เลยเอาวะ วันนั้นอยู่กับยายแค่สองคนเล่ามันเองซะเลย เล่าไปร้องไห้ไป (ซึ่งเรื่องนี้เราเล่าให้เพื่อนฟังนะเพื่อนทุกคนที่เราเล่าให้ฟังบอกว่าให้บอกยายไปเลย แต่สาเหตุที่ไม่อยากเล่าคือถ้ามีเรื่องหนักใจยายจะนอนไม่หลับ เราเลยไม่อยากเล่า) ยายก็บอกว่าเดี๋ยวเขาจะพูดเองให้เราเงียบๆไว้ แล้ววันนั้นเป็นวันเสาร์ยายต้องไปรับหลานที่โรงเรียนเพราะหลานอีกคนเรียนพิเศษ พอไปรับเสร็จก็นั่งรถเมล์ต่อไปที่บ้านของพ่อแม่น้าเขยเลย แล้วยายเราก็ไปพูดคุยกับทางนั้น เรารู้แล้วว่าตอนเย็นต้องมีเรื่องแน่ๆ แล้วมันก็เป็นจริงค่ะน้าเขยกลับจากทำงานแล้วก็ไปบ้านเขาตามปกติ แต่วันนั้นกลับมาเร็วกว่าปกติพอกลับมาเขาก็เข้ามาที่ห้องพร้อมลูกของเขาแล้วก็มาถามว่าเขาไปทำอะไร ถ้าไม่ให้อยู่ก็จะไม่อยู่ ตอนนั้นเราฟังอย่างเงียบๆแล้วเราก็เลยพูดเรื่องที่เกิดขึ้นออกไป เขาก็บอกว่า เรื่องมันก็จะสิบปีแล้วจะรื้อฟื้นทำไม ไม่พอใจอะไรใช่มั้ยก็บอกมา ตอนนั้นเราเงียบเลยค่ะกัดกระพุ้งแก้มตัวเองพยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นออกมามันไม่รู้สึกเจ็บเลยค่ะเพราะมันชาไปหมด แล้วลูกเขาก็ร้องไห้ตลอดเราไม่รู้ว่าทำไม แต่ที่เราไม่อยากพูดอีกอย่างเพราะแบบนี้ ยายก็บอกเราว่าทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ แล้วก็บอกว่าถ้าน้าสาวถามก็ไม่ต้องพูดอะไร (ยายเรามีลูก 5 คนค่ะ เสียไปแล้วคนนึง แม่เราคือลูกคนแรก ลูกคนที่สองก็คือคนที่มีสามีแล้วคือคนนี้แหละค่ะ แล้วก็น้าชาย คนสุดท้ายคิอน้าสาวที่เข้ามาคอมเม้นในเฟสบุ้คเราและเป็นคนแรกที่เราบอกเค้าเรื่องนี้) ตอนนั้นคือสภาพจิตใจไม่ดีกันเลยทั้งบ้านค่ะ คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือหลานค่ะ ร้องไห้ไม่หยุด ตอนนั้นคือเรารู้สึกว่า "เฮ้ย! ทำไมอ่ะกูเป็นคนเลวขนาดนั้นเลยหรอ แล้วคือกูเป็นคนผิดใช่มั้ย? ตกลงคือกูเป็นคนผิดหรอ?" ตอนนั้นคือเราเงียบค่ะไม่พูดอะไรเลยเครียดมากด้วย อยากจะหนีออกไปจากที่บ้านมากๆ สภาพจิตใจคือแย่มาก เรียกว่าจิตตกกันเลยทีเดียวเชียว แถมยังต้องไปเรียนอีก มีเรื่องโครงการให้ทำ เตรียมจบอีก มันแบบตีกันวุ่นวายมากค่ะช่วงนั้น
แต่ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบ 5 เดือนแล้ว กับหลานเราคุยได้ปกติค่ะ ส่วนแม่ของเขาถ้ามว่าถ้าคุยเราก็คุย แต่กับน้าเขยถ้ายายอยู่บ้านเราก็อยู่ค่ะ แต่ถ้ายายไม่อยู่บ้านเราจะไปเล่นเน็ตที่บ้านป้าแทนค่ะ สองสามทุ่มค่อยกลับ ถามว่าคุยมั้ย? ไม่ค่ะ เราแทบจะไม่มองหน้าด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้เราก็เรียนจบ ปวส. แล้วด้วย สิ่งที่เราคิดมาตลอดคือถ้าเราเรียนจบแล้วเราจะไม่อยู่ที่บ้าน คือเราจะย้ายออกแน่นอน แต่เราก็เป็นห่วงยายอีกเหมือนกัน ตอนนี้เรากำลังหางานอยู่ก็ต้องอยู่ไปก่อน แต่เราหางานที่ไกลๆบ้านเอาไว้ซึ่งเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันก็ชวนเรา เราก็คิดอยู่ว่าจะไปดีมั้ย
สุดท้ายนะคะ เราขอฝากเรื่องของเราไว้เป็นอุทาหรณ์ให้คุณพ่อคุณแม่หรือใครก็ตาม อยากให้ดูแลลูกหลานให้ดี มีอะไรก็ต้องให้เค้าบอกไม่ใช่เก็บเงียบ มีเวลาให้พวกเค้าบ้าง ไม่เช่นนั้นลูกหลานของคุณอาจจะมีปมแบบเราก็ได้ ตอนนี้เราใช้ชีวิตตามปกติแล้ว(มั้งคะ) ถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรเราต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และขอยืนยันอีกครั้งว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริงค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอแท็กปัญหาครอบครัวกับครอบครัวเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว
ขอแท็กปัญหาสังคมเพราะเรื่องนี้มันเป็นปัญหาที่เริ่มพบบ่อยในสังคมเรามากขึ้นทุกวันค่ะ
ขอแท็กการสอนลูก การเลี้ยงลูก เพราะอยากให้ทุกคนเลี้ยงลูกให้ดีๆ และอยากให้สอนลูกว่าถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นให้พูดเพื่อที่พ่อแม่จะให้เฝ้าระวัง
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ