ลากไส้เน่าๆ ของอลัชชี ญาติสนิทกปิละปลาอเวจี ตอน ๒
๗ เมษายน ๒๕๕๘
คราวที่แล้วลากไส้เน่าของมหาอลัชชีและพวกเกาะพระศาสนาหากินกันอีกซักที โดยการนำรายชื่อวัดที่ยากจนที่สุดในแผ่นดิน ดังที่นายขุนพลอยพยักออกมาบอกออกมาปกป้องว่า วัดที่ร่ำรวยนั้น ในประเทศไทยมีอยู่ไม่กี่วัด
ถูกต้องแล้วครับท่านขุน เพราะวัดที่ร่ำรวยส่วนใหญ่ เป็นวัดที่มีกรรมการมหาเถรเป็นเจ้าอาวาส หรือไม่ก็ใกล้ชิดกับมหาเถรเกือบทั้งนั้นแหละท่านขุน
พวกเราลองมาดูกันว่า วัดไหนยากจนมากๆ จนต้องอาศัยงบรัฐให้ช่วยอุดหนุน คงจะเริ่มต้นจากวัดที่อยู่ในถิ่นธุระกันดารมากๆ ที่สุดของประเทศไทย ในสายตากรรมการมหาเถรและสำนักพุทธ อันนี้ขอย้ำ
ยังจำได้ไหมขุนพลอยพยัก ยังจำได้ไหม ลุงป้าน้าอาจำได้ไหม ปี ๕๖ – ๕๗ นั้นไง วัดไหนได้งบประมาณไปมากที่สุด ยังจำได้ไหม คุณๆ ยังจำได้ไหม วัดในจังหวัดอะไรเอ่ยได้งบประมาณไปมากที่สุด
ยังจำได้ไหม คุณๆ ยังจำได้ไหม วัดไหนขายตำแหน่งพระครูปลัดของสมเด็จ ด้วยเงินมูลค่า ๑๐ ล้านบาท
ยังจำได้ไหม คุณๆ ยังจำได้ไหม คราวที่แล้วจบลงตรงวัดเทพศิรินทร์ไง ที่ได้งบประมาณอุดหนุนจากสำนักพุทธไป ๑๐ ล้านบาท
วันนี้ขอเริ่มจากเบาไปหาหนักก็แล้วกัน วัดที่ติดโผที่สำนักพุทธ โดยมหาเถรสมาคมเห็นว่ายากจน ต้องให้เงินอุดหนุนคือ...
วัดแก้วไพฑูรย์ กทม. มีพระครูวิมลรัตนาธารเป็นเจ้าอาวาส
วันที่ ๘ มกราคม ๕๗ ได้รับเช็คจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นจำนวนเงิน ๑๐ ล้านบาท
วัดที่เข้าข่ายยากจะจนต่อมา จึงต้องขอรับการอุดหนุนงบประมาณของรัฐบาลคือ...
วัดอาวุธวิกสิตาราม กทม. ซึ่งมีเจ้าอาวาสมีนามว่าพระเทพปัญญามุนี มีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ได้รับเช็คจากสำนักพุทธโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม อนุมัติเงินอุดหนุนให้ ๑๐ ล้าน ในวันที่ ๑๒ ธ.ค. ๕๖
ต่อที่พระราชพิพัฒน์โกศล พระราชาคณะชั้นเทพ เจ้าอาวาสวัดศรีสุดาราม กทม. ได้ไป ๘ ล้าน ซึ่งก็เป็นอีกวัดที่ยากจน
ยังจำได้ไหม ลุงป้าน้าอายังจำได้ไหม ในปี ๔๕ หรือ ๕๔ นี่แหละ วัดนี้มีเรื่องเล่าว่า ลงทุนจ่ายตังค์จัดซื้อตำแหน่งไปหลายแสนบาท พอถึงเวลา จัดเตรียมงานฉลองพัดยศเสียเอิกเกริกเจี๊ยวจ๊าว กะว่าเย็นจะได้เข้าไปรับพัดยศเลื่อนสมณศักดิ์ แต่กลับไม่มีชื่อของตนเข้ารับพัด เพราะโผพลิก
หากอยากรู้วีรกรรมของเจ้าอาวาสวัดนี้ ต้องถามตาจันทร์ น่าจะเล่าได้ดีกว่าฉัน เพราะเคยอยู่ก๊วนเดียวกัน
วัดต่อมาที่ได้รับพิจารณาจากสำนักพุทธ โดยการเห็นชอบจากมหาเถรว่าควรจะได้งบอุดหนุน เพราะยากจนมากๆ คือ
วัดราชสิทธาราม กทม. พระธรรมรัตนวิสุทธิ์ พระราชาคณะ ได้รับเช็คเช็คสั่งจ่ายจากสำนักพุทธในวันที่ ๒๙ พ.ย. ๕๖ เป็นเงินจำนวน ๔ ล้านบาท
ต่อมาสำนักพุทธและมหาเถรเห็นความลำบากยากจนของวัดนี้มีมากขึ้น เลยอนุมัติงบอุดหนุนให้อีก ๓ แสนบาท และเห็นว่ายังหิวกระหาย ยังคงอยากได้อยู่อีก ในวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๗ ที่สำนักพุทธโดยมหาเถรสั่งจ่ายเช็คหมายเลข ๓๕/๐๔๑๑๗๐๗๐ เป็นจำนวนเงิน ๓ ล้านบาทถ้วน
ต่อมาวัดที่อดอยากลำบากกันดาร ที่ได้รับเช็คจากสำนักพุทธในวันที่ ๔ ธ.ค. ๕๖ เป็นเงิน ๑๐ ล้านบาท คือวัดเทวราชกุญชร กทม. อีกแล้วครับท่าน
ตามมาติดๆ กับวัดที่ทำให้เสี่ยอู๊ดเจ็บไปถึงกระดองใจ เมื่อพูดถึงชื่อวัดนี้ ยังจำได้ไหมขุนพลอยพยัก ยังจำได้ไหม ในคดีสร้างสมเด็จเหนือหัวด้วยการอ้างเบื้องสูง จนทำให้เสี่ยอู๊ดต้องติดคุกแทนอาจารย์ เอ... ใครหว่า เป็นอาจารย์เสี่ยอู๊ด ที่ขายพระได้เอาแต่เงิน ส่วนคุกให้ลูกศิษย์ยอดกตัญญูอย่างเสี่ยอู๊ดไปติดคุกแทน อย่างนี้จะไม่ให้เจ็บกระดองใจได้อย่างไรเล่าพี่น้อง
แถมวัดนี้ยังมีเจ๊นักเทศน์ฝีปากกล้า ขนาดอ้างเบื้องสูง จนกระทั่งราชสำนักถึงขนาดสั่งห้ามอ้างเบื้องสูง ให้ระวังสำรวมปากปลาร้าของเจ๊ ผู้ชื่นชอบเจี๊ยวจ๊าว จนต้องหาตะกร้อมาใส่ปากสงบคำไปพักใหญ่
พอถอดตะกร้อได้ เพราะมีแบ็คดี ได้ออกทีวีช่องรัฐบาลสมัยนายกปู เลยทำเป็นแสนรู้ไปเสียทุกเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าตนยังเหลือศีลอยู่กี่ข้อ ฉันขอยืนยัน พอถอดตะกร้อได้ก็ออกมาบอกแก่นักข่าวและชาวบ้านว่ามีกระบวนการทำลายเครดิตของผู้ปฏิบัติหน้าที่รักษาการสมเด็จพระสังฆราช
เพื่อขัดขวางไม่ให้มหานิกายได้เป็นพระสังฆราช
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ฟากองครักษ์พิทักษ์มหาเถร(วัดปากน้ำ) ก็ยังเชื่อเช่นนั้นอยู่นะพี่น้อง
แล้ววัดสุทัศน์ที่ยากจนนี้ได้รับงบประมาณอุดหนุนจากสำนักพุทธโดยความเห็นชอบของกรรมการมหาเถร ได้เงินไปเท่าไร รู้ไหมขุนพลอยพยัก ๑๐ ล้านจ้า ท่านขุน
จนไหมล่ะ อย่างนี้ วัดบ้านนอกจะเอาค่าไฟที่ไหน เพราะพวกที่ท่านขุนพลอยพยักออกมาปกป้องมันสูบงบอุดหนุนไปกินกันหมดยังไงเล่า
ฉันถึงได้บอกว่าอย่าออกมาลอยหน้าลอยตาโกหกได้หน้าด้านๆ เลย เพราะยิ่งพูด ชาวบ้านเขาก็ยิ่งรู้ว่ากำลังปกป้องผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มของตน โดยไม่สนใจใครจะทุกข์ยากเดือดร้อน อดอยากลำบากอย่างไร นักบวชอลัชชีพวกนี้ก็จะสูบกินงบประมาณรัฐกันอย่างเปรมปรีดิ์ อิ่มอ้วนดังหมูสกปรก และปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใต้ปกครองอยู่กันอย่างลำบาก อดอยาก ดังที่ท่านขุนพลอยพยักออกมาพูดว่า พระเณรบางวัดยังไม่มีอาหารฉันมื้อกลางวัน
ฉันจึงอยากจะบอกว่า มันจะมีได้อย่างไร ก็สังฆมณฑลไทยดันมีเจ้าคณะปกครองที่ละโมบ ตะกละ เอาเปรียบ คับแคบ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไง
ทั้งที่พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านทรงบำเพ็ญทาน การเสียสละ อุทิศทั้งพลังทรัพย์ พลังพระวรกาย พลังพระปรีชาชาญปัญญา เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม ที่พระองค์ทรงปกครอง
แต่พวกอลัชชีสงฆ์พวกนี้ได้แต่สอนให้ชาวบ้านเขาบริจาค เสียสละ แบ่งปัน แต่ตัวเองกลับกอบโกย ทุจริต ใช้เล่ห์เหลี่ยมสูบกินงบประมาณที่รัฐตั้งเอาไว้อุดหนุนวัดที่ยากลำบาก ยากจน
อลัชชีพวกนี้ มีแต่ความละโมบ ใช้จังหวะ โอกาส อำนาจ พรรคพวกที่ตนมี ฉกชิงเอาทรัพย์ที่ตนไม่ควรรับอย่างไร้จิตสำนึก ขาดความละอาย
หากบ้านเมืองนี้ปล่อยให้คนพวกนี้ปกครองสังฆมณฑลต่อไป อลัชชีสงฆ์คงจะเต็มเมืองแน่ เพราะเมื่ออดอยากทุกข์ยากก็ต้องแสวงหาทางรอด โดยไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิดหลักธรรมวินัย แล้วพระธรรมวินัย พระพุทธศาสนาจะเหลืออะไร เอาใครมาสืบทอด เพราะมีแต่อลัชชีญาติกปิละปลาอเวจีเต็มบ้านเมือง
ลากไส้เน่าอลัชชี ตอน 2
๗ เมษายน ๒๕๕๘
คราวที่แล้วลากไส้เน่าของมหาอลัชชีและพวกเกาะพระศาสนาหากินกันอีกซักที โดยการนำรายชื่อวัดที่ยากจนที่สุดในแผ่นดิน ดังที่นายขุนพลอยพยักออกมาบอกออกมาปกป้องว่า วัดที่ร่ำรวยนั้น ในประเทศไทยมีอยู่ไม่กี่วัด
ถูกต้องแล้วครับท่านขุน เพราะวัดที่ร่ำรวยส่วนใหญ่ เป็นวัดที่มีกรรมการมหาเถรเป็นเจ้าอาวาส หรือไม่ก็ใกล้ชิดกับมหาเถรเกือบทั้งนั้นแหละท่านขุน
พวกเราลองมาดูกันว่า วัดไหนยากจนมากๆ จนต้องอาศัยงบรัฐให้ช่วยอุดหนุน คงจะเริ่มต้นจากวัดที่อยู่ในถิ่นธุระกันดารมากๆ ที่สุดของประเทศไทย ในสายตากรรมการมหาเถรและสำนักพุทธ อันนี้ขอย้ำ
ยังจำได้ไหมขุนพลอยพยัก ยังจำได้ไหม ลุงป้าน้าอาจำได้ไหม ปี ๕๖ – ๕๗ นั้นไง วัดไหนได้งบประมาณไปมากที่สุด ยังจำได้ไหม คุณๆ ยังจำได้ไหม วัดในจังหวัดอะไรเอ่ยได้งบประมาณไปมากที่สุด
ยังจำได้ไหม คุณๆ ยังจำได้ไหม วัดไหนขายตำแหน่งพระครูปลัดของสมเด็จ ด้วยเงินมูลค่า ๑๐ ล้านบาท
ยังจำได้ไหม คุณๆ ยังจำได้ไหม คราวที่แล้วจบลงตรงวัดเทพศิรินทร์ไง ที่ได้งบประมาณอุดหนุนจากสำนักพุทธไป ๑๐ ล้านบาท
วันนี้ขอเริ่มจากเบาไปหาหนักก็แล้วกัน วัดที่ติดโผที่สำนักพุทธ โดยมหาเถรสมาคมเห็นว่ายากจน ต้องให้เงินอุดหนุนคือ...
วัดแก้วไพฑูรย์ กทม. มีพระครูวิมลรัตนาธารเป็นเจ้าอาวาส
วันที่ ๘ มกราคม ๕๗ ได้รับเช็คจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นจำนวนเงิน ๑๐ ล้านบาท
วัดที่เข้าข่ายยากจะจนต่อมา จึงต้องขอรับการอุดหนุนงบประมาณของรัฐบาลคือ...
วัดอาวุธวิกสิตาราม กทม. ซึ่งมีเจ้าอาวาสมีนามว่าพระเทพปัญญามุนี มีสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ได้รับเช็คจากสำนักพุทธโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม อนุมัติเงินอุดหนุนให้ ๑๐ ล้าน ในวันที่ ๑๒ ธ.ค. ๕๖
ต่อที่พระราชพิพัฒน์โกศล พระราชาคณะชั้นเทพ เจ้าอาวาสวัดศรีสุดาราม กทม. ได้ไป ๘ ล้าน ซึ่งก็เป็นอีกวัดที่ยากจน
ยังจำได้ไหม ลุงป้าน้าอายังจำได้ไหม ในปี ๔๕ หรือ ๕๔ นี่แหละ วัดนี้มีเรื่องเล่าว่า ลงทุนจ่ายตังค์จัดซื้อตำแหน่งไปหลายแสนบาท พอถึงเวลา จัดเตรียมงานฉลองพัดยศเสียเอิกเกริกเจี๊ยวจ๊าว กะว่าเย็นจะได้เข้าไปรับพัดยศเลื่อนสมณศักดิ์ แต่กลับไม่มีชื่อของตนเข้ารับพัด เพราะโผพลิก
หากอยากรู้วีรกรรมของเจ้าอาวาสวัดนี้ ต้องถามตาจันทร์ น่าจะเล่าได้ดีกว่าฉัน เพราะเคยอยู่ก๊วนเดียวกัน
วัดต่อมาที่ได้รับพิจารณาจากสำนักพุทธ โดยการเห็นชอบจากมหาเถรว่าควรจะได้งบอุดหนุน เพราะยากจนมากๆ คือ
วัดราชสิทธาราม กทม. พระธรรมรัตนวิสุทธิ์ พระราชาคณะ ได้รับเช็คเช็คสั่งจ่ายจากสำนักพุทธในวันที่ ๒๙ พ.ย. ๕๖ เป็นเงินจำนวน ๔ ล้านบาท
ต่อมาสำนักพุทธและมหาเถรเห็นความลำบากยากจนของวัดนี้มีมากขึ้น เลยอนุมัติงบอุดหนุนให้อีก ๓ แสนบาท และเห็นว่ายังหิวกระหาย ยังคงอยากได้อยู่อีก ในวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๗ ที่สำนักพุทธโดยมหาเถรสั่งจ่ายเช็คหมายเลข ๓๕/๐๔๑๑๗๐๗๐ เป็นจำนวนเงิน ๓ ล้านบาทถ้วน
ต่อมาวัดที่อดอยากลำบากกันดาร ที่ได้รับเช็คจากสำนักพุทธในวันที่ ๔ ธ.ค. ๕๖ เป็นเงิน ๑๐ ล้านบาท คือวัดเทวราชกุญชร กทม. อีกแล้วครับท่าน
ตามมาติดๆ กับวัดที่ทำให้เสี่ยอู๊ดเจ็บไปถึงกระดองใจ เมื่อพูดถึงชื่อวัดนี้ ยังจำได้ไหมขุนพลอยพยัก ยังจำได้ไหม ในคดีสร้างสมเด็จเหนือหัวด้วยการอ้างเบื้องสูง จนทำให้เสี่ยอู๊ดต้องติดคุกแทนอาจารย์ เอ... ใครหว่า เป็นอาจารย์เสี่ยอู๊ด ที่ขายพระได้เอาแต่เงิน ส่วนคุกให้ลูกศิษย์ยอดกตัญญูอย่างเสี่ยอู๊ดไปติดคุกแทน อย่างนี้จะไม่ให้เจ็บกระดองใจได้อย่างไรเล่าพี่น้อง
แถมวัดนี้ยังมีเจ๊นักเทศน์ฝีปากกล้า ขนาดอ้างเบื้องสูง จนกระทั่งราชสำนักถึงขนาดสั่งห้ามอ้างเบื้องสูง ให้ระวังสำรวมปากปลาร้าของเจ๊ ผู้ชื่นชอบเจี๊ยวจ๊าว จนต้องหาตะกร้อมาใส่ปากสงบคำไปพักใหญ่
พอถอดตะกร้อได้ เพราะมีแบ็คดี ได้ออกทีวีช่องรัฐบาลสมัยนายกปู เลยทำเป็นแสนรู้ไปเสียทุกเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าตนยังเหลือศีลอยู่กี่ข้อ ฉันขอยืนยัน พอถอดตะกร้อได้ก็ออกมาบอกแก่นักข่าวและชาวบ้านว่ามีกระบวนการทำลายเครดิตของผู้ปฏิบัติหน้าที่รักษาการสมเด็จพระสังฆราช
เพื่อขัดขวางไม่ให้มหานิกายได้เป็นพระสังฆราช
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ฟากองครักษ์พิทักษ์มหาเถร(วัดปากน้ำ) ก็ยังเชื่อเช่นนั้นอยู่นะพี่น้อง
แล้ววัดสุทัศน์ที่ยากจนนี้ได้รับงบประมาณอุดหนุนจากสำนักพุทธโดยความเห็นชอบของกรรมการมหาเถร ได้เงินไปเท่าไร รู้ไหมขุนพลอยพยัก ๑๐ ล้านจ้า ท่านขุน
จนไหมล่ะ อย่างนี้ วัดบ้านนอกจะเอาค่าไฟที่ไหน เพราะพวกที่ท่านขุนพลอยพยักออกมาปกป้องมันสูบงบอุดหนุนไปกินกันหมดยังไงเล่า
ฉันถึงได้บอกว่าอย่าออกมาลอยหน้าลอยตาโกหกได้หน้าด้านๆ เลย เพราะยิ่งพูด ชาวบ้านเขาก็ยิ่งรู้ว่ากำลังปกป้องผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มของตน โดยไม่สนใจใครจะทุกข์ยากเดือดร้อน อดอยากลำบากอย่างไร นักบวชอลัชชีพวกนี้ก็จะสูบกินงบประมาณรัฐกันอย่างเปรมปรีดิ์ อิ่มอ้วนดังหมูสกปรก และปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใต้ปกครองอยู่กันอย่างลำบาก อดอยาก ดังที่ท่านขุนพลอยพยักออกมาพูดว่า พระเณรบางวัดยังไม่มีอาหารฉันมื้อกลางวัน
ฉันจึงอยากจะบอกว่า มันจะมีได้อย่างไร ก็สังฆมณฑลไทยดันมีเจ้าคณะปกครองที่ละโมบ ตะกละ เอาเปรียบ คับแคบ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไง
ทั้งที่พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านทรงบำเพ็ญทาน การเสียสละ อุทิศทั้งพลังทรัพย์ พลังพระวรกาย พลังพระปรีชาชาญปัญญา เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม ที่พระองค์ทรงปกครอง
แต่พวกอลัชชีสงฆ์พวกนี้ได้แต่สอนให้ชาวบ้านเขาบริจาค เสียสละ แบ่งปัน แต่ตัวเองกลับกอบโกย ทุจริต ใช้เล่ห์เหลี่ยมสูบกินงบประมาณที่รัฐตั้งเอาไว้อุดหนุนวัดที่ยากลำบาก ยากจน
อลัชชีพวกนี้ มีแต่ความละโมบ ใช้จังหวะ โอกาส อำนาจ พรรคพวกที่ตนมี ฉกชิงเอาทรัพย์ที่ตนไม่ควรรับอย่างไร้จิตสำนึก ขาดความละอาย
หากบ้านเมืองนี้ปล่อยให้คนพวกนี้ปกครองสังฆมณฑลต่อไป อลัชชีสงฆ์คงจะเต็มเมืองแน่ เพราะเมื่ออดอยากทุกข์ยากก็ต้องแสวงหาทางรอด โดยไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิดหลักธรรมวินัย แล้วพระธรรมวินัย พระพุทธศาสนาจะเหลืออะไร เอาใครมาสืบทอด เพราะมีแต่อลัชชีญาติกปิละปลาอเวจีเต็มบ้านเมือง