ครับ...วันนี้มาเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆจากวิชา Man and society ที่ได้เรียนมาเนิ่นนานแล้ว ว่าด้วยเรื่อง "ทฤษฏีตีตรา" ทฤษฏีที่ว่าเป็นแนวคิดที่ว่า
บุคลิกภาพของคนแต่ละคนในสังคม ไม่ได้ขึ้นกับตัวเค้าเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับ "ตราประทับ" ที่สังคมยัดเยียด หรือประทับให้คนๆนั้น เอาง่ายๆ ถ้า
นางสาว ก. ถูกผู้คนทั้งปากซอย ท้ายซอย นินทาว่าเธอร่าน เป็นคนไม่ดี กินหล้าเมายา บลาๆๆๆ ถึงแม้นางสาว ก. จะไม่ใช่คนแบบนั้น แต่สุดท้ายตรา
ประทับที่สังคมมอบให้เธอจะทำให้คนในสังคมเชื่อแบบนั้น และสุดท้ายอาจมีผลถึงขั้นเหนี่ยวนำ-โนมน้าวให้เธอมีพฤติกรรมอย่างที่ว่าจริงๆ ...
ในสังคมไทยก็ใช้อยู่แค่ทฤษฏีนี้ทฤษฏีเดียวล่ะครับ ..ต้องการทำลายล้างใคร ต้องการให้กลุ่มคนกลุ่มไหนในสังคมเป็นยังไง ก็เอา"ตราประทับทางสังคม"
ในรูปของสื่อประชาสัมพันธ์-วาทกรรม กรอกหูคนในสังคมไปทุกๆวันจนคนเคลิ้มตาม แม้ว่าความจริงมันจะไม้ใช่แบบนั้นเลยก็ตาม ทั้งสองฝ่าย
เหลือง-แดง ต่างก็ใช้หลักการนี้ทั้งคู่ ตัวอย่าง "ตราประทับ" ที่ว่าก็เช่นวาทกรรม
--- คนอีสาน โง่-จน-เจ็บ ----
--- นักการเมืองโกง --- นักการเมืองขายชาติ ---
--- แดงล้มเจ้า ---
--- สลิ่มโง่ ---
ความน่ากลัวของทฤษฎีที่ว่าคือ...ถึงวาทกรรมที่ว่ามันไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อยแต่พอเราได้ยินมันทุกวันๆ ซ้ำไปซ้ำมา จิตใต้สำนึก
มันจะรับรู้ไปโดยอัตโนมัติว่ามันเป็นความจริง และบางครั้งถึงขั้นเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไปตามวาทกรรมนั้นได้ ซึ่งอันตรายอย่างยิ่ง
ก็อยากจะฝากเพื่อนๆชาวราชดำเนินทุกคนไว้ครับในสังคมที่เต็มไปด้วย"ตราประทับ"ที่กระหน่ำซ้ำเติมลงมาที่ตัวเราทุกวันจนแทบไม่เหลือความเป็นตัวตนของเรา ก็ขอให้เรารับรู้ไว้ครับว่าวาทกรรมบางอย่างมันไม่ใช่ความจริง หรือจริงก็ไม่ทั้งหมด เราต้องหมั่นเตือนตัวเองให้คิดทบทวนความจริงให้รอบด้านอย่าให้"จิตใต้สำนึก" คลอบงำเราได้ง่ายๆ
ปล. รัฐไทยเริ่มใช้ทฤษฏีนี้อย่างเข้มข้นในช่วงสงครามเย็น โดยต้นตำหรับ (เมกา) เป็นผู้เสี้ยมสอนให้เองกับมือครับ ประเทศเราเลยเก่งเรื่องนี้มาก...
ตอนนี้ก็มีกลุ่ม "คนดี" บางกลุ่มใช้ทฤษฏีนี้อยู่ครับ เพราะพวกเขารู้ว่ามันเคยใช้ได้ผลมาก่อน และคาดว่ามันจะยังได้ผลต่อไป
ว่าด้วยเรื่อง "ทฤษฏีตีตรา" ในสังคมไทย
บุคลิกภาพของคนแต่ละคนในสังคม ไม่ได้ขึ้นกับตัวเค้าเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับ "ตราประทับ" ที่สังคมยัดเยียด หรือประทับให้คนๆนั้น เอาง่ายๆ ถ้า
นางสาว ก. ถูกผู้คนทั้งปากซอย ท้ายซอย นินทาว่าเธอร่าน เป็นคนไม่ดี กินหล้าเมายา บลาๆๆๆ ถึงแม้นางสาว ก. จะไม่ใช่คนแบบนั้น แต่สุดท้ายตรา
ประทับที่สังคมมอบให้เธอจะทำให้คนในสังคมเชื่อแบบนั้น และสุดท้ายอาจมีผลถึงขั้นเหนี่ยวนำ-โนมน้าวให้เธอมีพฤติกรรมอย่างที่ว่าจริงๆ ...
ในสังคมไทยก็ใช้อยู่แค่ทฤษฏีนี้ทฤษฏีเดียวล่ะครับ ..ต้องการทำลายล้างใคร ต้องการให้กลุ่มคนกลุ่มไหนในสังคมเป็นยังไง ก็เอา"ตราประทับทางสังคม"
ในรูปของสื่อประชาสัมพันธ์-วาทกรรม กรอกหูคนในสังคมไปทุกๆวันจนคนเคลิ้มตาม แม้ว่าความจริงมันจะไม้ใช่แบบนั้นเลยก็ตาม ทั้งสองฝ่าย
เหลือง-แดง ต่างก็ใช้หลักการนี้ทั้งคู่ ตัวอย่าง "ตราประทับ" ที่ว่าก็เช่นวาทกรรม
--- คนอีสาน โง่-จน-เจ็บ ----
--- นักการเมืองโกง --- นักการเมืองขายชาติ ---
--- แดงล้มเจ้า ---
--- สลิ่มโง่ ---
ความน่ากลัวของทฤษฎีที่ว่าคือ...ถึงวาทกรรมที่ว่ามันไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อยแต่พอเราได้ยินมันทุกวันๆ ซ้ำไปซ้ำมา จิตใต้สำนึก
มันจะรับรู้ไปโดยอัตโนมัติว่ามันเป็นความจริง และบางครั้งถึงขั้นเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไปตามวาทกรรมนั้นได้ ซึ่งอันตรายอย่างยิ่ง
ก็อยากจะฝากเพื่อนๆชาวราชดำเนินทุกคนไว้ครับในสังคมที่เต็มไปด้วย"ตราประทับ"ที่กระหน่ำซ้ำเติมลงมาที่ตัวเราทุกวันจนแทบไม่เหลือความเป็นตัวตนของเรา ก็ขอให้เรารับรู้ไว้ครับว่าวาทกรรมบางอย่างมันไม่ใช่ความจริง หรือจริงก็ไม่ทั้งหมด เราต้องหมั่นเตือนตัวเองให้คิดทบทวนความจริงให้รอบด้านอย่าให้"จิตใต้สำนึก" คลอบงำเราได้ง่ายๆ
ปล. รัฐไทยเริ่มใช้ทฤษฏีนี้อย่างเข้มข้นในช่วงสงครามเย็น โดยต้นตำหรับ (เมกา) เป็นผู้เสี้ยมสอนให้เองกับมือครับ ประเทศเราเลยเก่งเรื่องนี้มาก...
ตอนนี้ก็มีกลุ่ม "คนดี" บางกลุ่มใช้ทฤษฏีนี้อยู่ครับ เพราะพวกเขารู้ว่ามันเคยใช้ได้ผลมาก่อน และคาดว่ามันจะยังได้ผลต่อไป