ก่อนอื่นขอบอกที่มาของชื่อทัวร์ก่อน..คือไม่มีอะไรเลย อยู่ดีๆลูกทัวร์ก็อยากตั้งชื่อ แล้วก็เลือกชื่อนี้แบบไม่มีที่มา..จบละ
เรามาดูเรื่องเที่ยวกันดีกว่า.. “ภาคใต้เมืองไทย สวยไม่แพ้ชาติใดในโลก”
ในทริปนี้ เราอยากมาที่ๆมีที่เที่ยวเยอะๆ ดังนั้นสุราษฎร์ธานี และ กระบี่ จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับพวกเรา
(ที่สำคัญ..มีบ้านญาติเพื่อน ที่พักฟรี เราเลยไม่ต้องคิดนาน)
อันนี้เป็นแผนที่การเดินทางของพวกเราแบบเข้าใจง่าย เผื่อช่วยให้เพื่อนๆนึกภาพคร่าวๆออกเนอะ
ส่วนตารางการเที่ยวของพวกเราก็ตามนี้เลยจ้า
Day 1
- เดินทางมาถึงสนามบินสุราษฏ์รธานี
- แวะทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารภูณิษา
- ทานขนมหวานต่อที่ร้านบ้านเค้ก
- เล่นโซฟาเจทสกีที่แม่นำ้พุมดวง
- แวะกินข้าวเย็นในตลาดศาลเจ้า (เลข1)
Day 2
- นั่งรถตู้ไปเขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) (เลข2)
- นั่งเรือหางยาวจากปากเขื่อน เข้าสู่แพไกรสร แพที่พักของอุทยาน
Day 3
- นั่งรถต่อไปที่อุทยานแห่งชาติเขาสก (เลข3)
- เดินสำรวจเส้นทางศึกษาธรรมชาติ แวะนำ้ตกบางหัวแรด
- เดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในสุราษฎร์ “หินพัด” (เลข4)
Day 4
- นั่งรถตู้จากตัวเมืองสุราษฏร์ ไปอ่าวนาง จังหวัดกระบี่ (เลข5)
- เดินทางไปอ่าวท่าเลน เตรียมพร้อมพายเรือคายัค ท่องป่าโกงกาง (เลข6)
- กลับมาเล่นทะเลอ่าวนาง เดินเที่ยว Night Market
Day 5
- เดินทางไปทัวร์ 4 เกาะ : ทะเลแหวก-เกาะไก่(อุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธารา)-เกาะปอดะ-ถำ้พระนาง-หาดไรเลย์ (เลข7)
- เดินทางไปสนามบินกระบี่ กลับกรุงเทพจ้า
Day1
เรามาสุราษฎร์กันด้วยสายการบินนกแอร์ ด้วยราคาโปรโมชั่น 899 บาทจ้า ย่อมเยาเหมาะกับเราๆเหล่าเด็กพึ่งจบรายได้น้อย T_T
กิจกรรมวันนี้ เราเน้นเที่ยวเบาๆในตัวเมืองสุราษฎร์กันก่อน ออมแรงไว้สำหรับวันอื่นๆ...ที่แรกเลย ขอมาจัดหนักมื้อเที่ยงกันที่ “ภูณิษา” เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนเขาหัวควาย ติดริมหน้าผาบรรยากาศดี แต่ที่สำคัญคือ อาหารที่นี่รสชาดดีมาก สไตล์เครื่องแกงใต้รสจัดจ้าน ใครชอบอาหารใต้ ...ของขึ้นชื่อที่นี่ก็ต้อง ใบเหลียงผัดไข่ ผัดสะตอ คั่วกลิ้ง แกงส้มปลากด ..และอีกหลายอย่าง ขอบอกว่าห้ามพลาดที่นี่!! (เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมาอวดความน่ากินกัน เพราะด้วยความหิวแบบหน้ามืดตามัวของลูกทัวร์ พออาหารลง ก็รีบกินกันอย่างรวดเร็ว...ลืมถ่ายรูปไปเลย)
ถ่ายมาได้แต่วิวที่มองมาจากร้านภูณิษาจ้า เป็นวิวสวนปาล์มที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ขนาบสองข้างแม่น้ำตาปี
ของคาวเสร็จ ก็ต้องต่อด้วยของหวาน...มาต่อกันที่ร้าน “บ้านเค้ก” อำเภอเมืองสุราษฎร์ เป็นร้านเค้กเล็กๆน่ารักติดริมถนนอ้อมน้อย มีของหวานมากหน้าหลายตา แต่ที่แนะนำเลย ต้อง..เค้กมะพร้าวอ่อน และเค้กลิ้นจี่ จ้า ยังมีอีกหลายเมนูที่ต้องมาลองกันเองน้า
เรียกนำ้ย่อยเล็กน้อย กับขนมร้านบ้านเค้ก
ต่อกันที่ “พระธาตุศรีสุราษฎร์” ปูชนียสถานแห่งแรกของเมืองสุราษฎร์ ตั้งอยู่บนเขาท่าเพชร เป็นพระธาตุทรงเหลี่ยมแปลกตา ตามแบบศรีวิชัย จะบอกว่า มาอยู่บนเขาท่าเพชรที่นี่ มองลงไปเห็นวิวเมืองสุราษฎร์อย่างแจ่มเลยแหละ...ใครกำลังวางแผนเที่ยวอยู่ ก็อย่าลืมแวะมากราบไหว้ที่นี่กันจ้า
พระธาตุศรีสุราษฎร์ รูปทรงแปดเหลี่ยม
มาเจอกับกรงเลี้ยงน้องนาก บริเวณรอบๆพระธาตุ
ได้เวลาเล่นกิจกรรมจริงๆจังๆอย่าง ”โซฟาเจตสกี” ..เรามาเล่นกันที่แม่นำ้พุมดวง แม่นำ้สายยาวที่ไหลไปรวมกับแม่นำ้ตาปี
แต่ต้องขอบอกก่อนว่าที่นี่เป็นที่ส่วนตัวของบ้านเพื่อน ไม่ได้เปิดรับคนนอกจ้า ..ขอมาแชร์ภาพประสบการณ์สนุกนิดๆหน่อยๆละกันน้า
เกาะโซฟา..เตรียมปลิวตกแม่นำ้พุมดวง
หลังจากใช้พลังงานไปมาก ก็มาจบวันกันที่ “ตลาดศาลเจ้า” ตลาดอาหารกลางคืน ในตัวเมืองสุราษฎร์ ที่นี่เต็มไปด้วยร้านรวงอาหารรถเข็น ได้พอแวะเล็มอาหารจากหลากหลายร้าน ใครจะมาที่นี่ต้องรีบมากันหน่อย เพราะเปิดแค่ 16.00-21.00 จ้า
Day2
เมื่อวานชิลๆอุ่นเครื่องแล้ว วันนี้ต้องลุยกันหน่อย
เริ่มต้นด้วยมื้อเช้า..คนที่นี่นิยมทานติ่มซำเป็นอาหารเช้ากัน ในตัวเมืองก็มีหลากหลายร้านเด็ดให้เลือกทาน แต่ครั้งนี้เราไม่เน้นกิน เลยจัดแค่ร้านติ่มซำหน้าปากซอย ก่อนรีบเรียกรถสองแถว ไปท่ารถตู้ที่ “ตลาดเกษร” ตีตั๋วไปเขื่อนรัชชประภา ราคาตกคนละ 150 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ก็ถึงที่หมายของเรา
“เขื่อนรัชชประภา” หรือ “เขื่อนเชี่ยวหลาน” ชื่อเดิมของที่นี่ หรือที่คนนิยมเรียกกันว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย” ไม่ต้องถ่อไปถึงกุ้นหลินที่เมืองจีน ก็มาที่นี่แทนได้จ้า ...เขื่อนนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย แต่จะไม่เล่าในนี้เดี๋ยวจะยาวเกิน เพื่อนๆคงขี้เกียจอ่านได้ ใครสนใจไปอ่านเพิ่มเติมได้จ้า ขอแชะภาพซักนิด ก่อนไปถึงปากเขื่อน
...ไม่ผิดหวังจากที่ตั้งใจไว้..ภาพวิวเขื่อนที่เรามองเห็น..สวยเกินกว่าที่ภาพถ่ายจะอธิบายได้ จริงๆนะ..ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้น ขอสนับสนุนให้เพื่อนๆมากันให้ได้ เอาภาพถ่ายมาเรียกนำ้ย่อยกันไปก่อนนะจ๊ะ
นั่งเรือมาเรื่อย เราจะผ่าน “เขาสามเกลอ” เป็นแท่งเขาหินปูนขนาดไล่เลี่ยกันสามอัน ถูกพระราชทานนามโดยสมเด็จพระเทพฯ เป็นอีกมุมที่น่าสนใจของที่นี่เค้าเลย
ถึงแล้ว “แพไกรสร” แพที่พักที่อยู่เกือบลึกสุดของเขื่อนละ ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่เป็นชั่วโมงที่ไม่เบื่อเลย เพราะมีวิวสวยๆให้ดูตลอดทาง ยกกล้องถ่ายรูปกันจนเหนื่อย
....ในเขื่อนรัชชประภานี้ มีแพที่พักอยู่มากมายหลายที่ กระจายทั่วๆเขื่อน ถ้าเน้นประหยัดหน่อยก็ต้องแพของอุทยาน แต่ถ้าอย่างดีก็ต้องของเอกชน ...ซึ่งแน่นอนว่า พวกเราก็ใช้บริการของอุทยาน รวมอาหาร 3 มื้อ ราคาตกประมานคนละ 500 บาทเท่านั้น แต่ก็อย่าคาดหวังความหรูหรามาก เพราะแพหลังนึง วางฟูกที่นอน 1 อันก็เต็มหลังแล้ว ส่วนอาหารก็เป็นแนวกับข้าวง่ายๆ ใครที่ชอบทานเยอะ แนะนำให้ซื้อขนมติดไม้ติดมือมาด้วยนะจ๊ะ ...แต่ถือว่าแค่มาดื่มดำ่บรรยากาศ ก็เกินคุ้มแล้วล่ะ
แพที่พักมีเรือคายัคให้เราพายในเขื่อนกันด้วยนะ
มีแท่นโดดนำ้เหมือนสระว่ายนำ้ส่วนตัวเลยทีเดียว
ตกกลางคืน กิจกรรมสุดฮิตก็คงไม่พ้น การเล่นไพ่ พร้อมกับนั่งฟังแพข้างๆร้องเพลงเล่นกีต้าแบบชิวๆ
กลางคืนที่นี่มืดเหมือนหลับตาจริงๆ เรามองออกไปมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้าเลย ท้องฟ้า ภูเขา ผืนนำ้มืดจนเชื่อมรวมเป็นผืนเดียวกัน เหมือนแพเราเป็นยานที่ลอยอยู่ในอวกาศเลยแหละ 5555....นั่งได้ไม่นานมาก ต้องรีบเข้านอน เพราะที่นี่เค้าใช้ไฟฟ้าจากการปั่นไฟ และจะปั่นให้เราใช้จนถึงแค่เที่ยงคืนเท่านั้น.. เตรียมพกไฟฉายมาจะมีประโยชน์มากจ้า
Day 3
อรุณสวัสดิ์พระอาทิตย์ยามเช้า....ถ้าเราตื่นเช้ากว่านี้ เจ้าหน้าที่บอกว่า เราจะเห็นทะเลหมอกด้วยน้า
สิ่งที่น่าสนใจของที่นี่คือ สามารถมาเที่ยวได้ทุกช่วง ช่วงหน้าร้อนก็จะเห็นวิวนำ้และภูเขาสวย แต่ถ้าช่วงฝนตก เราจะได้เห็นเป็นทะเลหมอก สวยไปอีกแบบ
วิวแพที่พักยามเช้า
นั่งเรือกลับเข้าฝั่ง เตรียมพร้อมสำหรับจุดหมายต่อไป..
“เขาสก” อุทยานแห่งชาติที่อุดมไปด้วยผืนป่าดิบชื้นขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ติดกับเขื่อนรัชชประภานั่นแหละ แต่ทางเข้าคนละทางกัน เหมาะสำหรับคนลุยๆที่ชอบเดินป่า มีเส้นทางเดินป่าหลายเส้นทาง ตั้งแต่เดินวันเดียว จนถึง 3-4 วัน เท่าที่เห็นส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติมาเที่ยวซะส่วนใหญ่ มีเราเป็นกลุ่มคนไทยจ้อยๆ และเนื่องจากเวลามีน้อย เลยเลือกเส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติแบบเบสิค เดินวันเดียวละกัน
ตลอดเส้นทาง มีจุดท่องเที่ยวมากถึง 9 จุด ทุกที่ล้วนเป็นนำ้ตก และแอ่งนำ้ที่สวยงาม โดยเจ้าหน้าที่จะแจกแผนที่มาให้เราเดินตามทางกันเอง
แต่แล้ว เราก็ต้องมาสิ้นสุดที่จุดท่องเที่ยวที่ 3 "นำ้ตกบางหัวแรด" เส้นทางที่เหลือต่อจากนั้นจำเป็นจะต้องให้เจ้าหน้าที่อุทยานเป็นคนนำ เพราะเป็นเส้นทางที่เข้าป่า มีโอกาสหลงได้ง่าย...ด้วยเวลาที่มีไม่มาก เราเลยต้องตัดใจไป
หลังจากเดินป่า เล่นนำ้ตกกันหนำใจ ระหว่างทางกลับเข้าตัวเมือง เราจะผ่านสถานที่เที่ยวแนะนำแห่งใหม่ในสุราษฎร์ “หินพัด”
เป็นหินมหัศจรรย์อายุกว่าพันปี รูปร่างเหมือนพัดขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณหน้าผา
ที่นี่กำลังอยู่ในช่วงโปรโมต และพยายามดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักอีกแห่งของสุราษฎร์
ยังไงเพื่อนๆตอนนี้มีโอกาสก็รีบไปเที่ยวกันก่อนได้เลย
การเดินทางเข้าไปค่อนข้างลึกพอสมควร แต่ก็มีป้ายบอกทางเป็นระยะนะ แนะนำว่ารถส่วนตัวมาเองควรเป็นรถที่สามารถไต่เขาได้ เพราะทางค่อนข้างชัน และเป็นพื้นทรายที่ลื่นด้วยแหละ
ทางทรายที่แสนจะชัน และลื่นมาก
กว่าจะไต่มาถึงบนนี้ ต้องฝ่าด่านทางทราย ป่าต้นยางพารา และโขดหิน ..ได้มาถึงตอนใกล้หมดแสงอาทิตย์พอดี ถือว่าเป็นเวลาที่ดีเลย ไม่ร้อนจนเกินไปจ้า... หน้าผาแห่งนี้ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขา และป่าไม้หลากหลายสีสัน บวกกับแสงอาทิตย์ยามตกดิน ยิ่งทำให้บรรยากาศดูดี แนะนำให้เพื่อนๆมาเห็นด้วยตัวเองดีกว่า
วิวยามเย็นบนหน้าผาหินพัด
..อีก 2 วันที่เหลือ เยือนเมืองกระบี่ รอติดตามกันตอนต่อไปนะค้า..
[CR] เที่ยว 5 วัน สวรรค์เมืองสุราษ - กระบี่ แบบเบิดเบิด
ก่อนอื่นขอบอกที่มาของชื่อทัวร์ก่อน..คือไม่มีอะไรเลย อยู่ดีๆลูกทัวร์ก็อยากตั้งชื่อ แล้วก็เลือกชื่อนี้แบบไม่มีที่มา..จบละ
เรามาดูเรื่องเที่ยวกันดีกว่า.. “ภาคใต้เมืองไทย สวยไม่แพ้ชาติใดในโลก”
ในทริปนี้ เราอยากมาที่ๆมีที่เที่ยวเยอะๆ ดังนั้นสุราษฎร์ธานี และ กระบี่ จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับพวกเรา
(ที่สำคัญ..มีบ้านญาติเพื่อน ที่พักฟรี เราเลยไม่ต้องคิดนาน)
อันนี้เป็นแผนที่การเดินทางของพวกเราแบบเข้าใจง่าย เผื่อช่วยให้เพื่อนๆนึกภาพคร่าวๆออกเนอะ
ส่วนตารางการเที่ยวของพวกเราก็ตามนี้เลยจ้า
Day 1
- เดินทางมาถึงสนามบินสุราษฏ์รธานี
- แวะทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารภูณิษา
- ทานขนมหวานต่อที่ร้านบ้านเค้ก
- เล่นโซฟาเจทสกีที่แม่นำ้พุมดวง
- แวะกินข้าวเย็นในตลาดศาลเจ้า (เลข1)
Day 2
- นั่งรถตู้ไปเขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) (เลข2)
- นั่งเรือหางยาวจากปากเขื่อน เข้าสู่แพไกรสร แพที่พักของอุทยาน
Day 3
- นั่งรถต่อไปที่อุทยานแห่งชาติเขาสก (เลข3)
- เดินสำรวจเส้นทางศึกษาธรรมชาติ แวะนำ้ตกบางหัวแรด
- เดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในสุราษฎร์ “หินพัด” (เลข4)
Day 4
- นั่งรถตู้จากตัวเมืองสุราษฏร์ ไปอ่าวนาง จังหวัดกระบี่ (เลข5)
- เดินทางไปอ่าวท่าเลน เตรียมพร้อมพายเรือคายัค ท่องป่าโกงกาง (เลข6)
- กลับมาเล่นทะเลอ่าวนาง เดินเที่ยว Night Market
Day 5
- เดินทางไปทัวร์ 4 เกาะ : ทะเลแหวก-เกาะไก่(อุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธารา)-เกาะปอดะ-ถำ้พระนาง-หาดไรเลย์ (เลข7)
- เดินทางไปสนามบินกระบี่ กลับกรุงเทพจ้า
Day1
เรามาสุราษฎร์กันด้วยสายการบินนกแอร์ ด้วยราคาโปรโมชั่น 899 บาทจ้า ย่อมเยาเหมาะกับเราๆเหล่าเด็กพึ่งจบรายได้น้อย T_T
กิจกรรมวันนี้ เราเน้นเที่ยวเบาๆในตัวเมืองสุราษฎร์กันก่อน ออมแรงไว้สำหรับวันอื่นๆ...ที่แรกเลย ขอมาจัดหนักมื้อเที่ยงกันที่ “ภูณิษา” เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนเขาหัวควาย ติดริมหน้าผาบรรยากาศดี แต่ที่สำคัญคือ อาหารที่นี่รสชาดดีมาก สไตล์เครื่องแกงใต้รสจัดจ้าน ใครชอบอาหารใต้ ...ของขึ้นชื่อที่นี่ก็ต้อง ใบเหลียงผัดไข่ ผัดสะตอ คั่วกลิ้ง แกงส้มปลากด ..และอีกหลายอย่าง ขอบอกว่าห้ามพลาดที่นี่!! (เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมาอวดความน่ากินกัน เพราะด้วยความหิวแบบหน้ามืดตามัวของลูกทัวร์ พออาหารลง ก็รีบกินกันอย่างรวดเร็ว...ลืมถ่ายรูปไปเลย)
ถ่ายมาได้แต่วิวที่มองมาจากร้านภูณิษาจ้า เป็นวิวสวนปาล์มที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ขนาบสองข้างแม่น้ำตาปี
ของคาวเสร็จ ก็ต้องต่อด้วยของหวาน...มาต่อกันที่ร้าน “บ้านเค้ก” อำเภอเมืองสุราษฎร์ เป็นร้านเค้กเล็กๆน่ารักติดริมถนนอ้อมน้อย มีของหวานมากหน้าหลายตา แต่ที่แนะนำเลย ต้อง..เค้กมะพร้าวอ่อน และเค้กลิ้นจี่ จ้า ยังมีอีกหลายเมนูที่ต้องมาลองกันเองน้า
เรียกนำ้ย่อยเล็กน้อย กับขนมร้านบ้านเค้ก
ต่อกันที่ “พระธาตุศรีสุราษฎร์” ปูชนียสถานแห่งแรกของเมืองสุราษฎร์ ตั้งอยู่บนเขาท่าเพชร เป็นพระธาตุทรงเหลี่ยมแปลกตา ตามแบบศรีวิชัย จะบอกว่า มาอยู่บนเขาท่าเพชรที่นี่ มองลงไปเห็นวิวเมืองสุราษฎร์อย่างแจ่มเลยแหละ...ใครกำลังวางแผนเที่ยวอยู่ ก็อย่าลืมแวะมากราบไหว้ที่นี่กันจ้า
พระธาตุศรีสุราษฎร์ รูปทรงแปดเหลี่ยม
มาเจอกับกรงเลี้ยงน้องนาก บริเวณรอบๆพระธาตุ
ได้เวลาเล่นกิจกรรมจริงๆจังๆอย่าง ”โซฟาเจตสกี” ..เรามาเล่นกันที่แม่นำ้พุมดวง แม่นำ้สายยาวที่ไหลไปรวมกับแม่นำ้ตาปี
แต่ต้องขอบอกก่อนว่าที่นี่เป็นที่ส่วนตัวของบ้านเพื่อน ไม่ได้เปิดรับคนนอกจ้า ..ขอมาแชร์ภาพประสบการณ์สนุกนิดๆหน่อยๆละกันน้า
เกาะโซฟา..เตรียมปลิวตกแม่นำ้พุมดวง
หลังจากใช้พลังงานไปมาก ก็มาจบวันกันที่ “ตลาดศาลเจ้า” ตลาดอาหารกลางคืน ในตัวเมืองสุราษฎร์ ที่นี่เต็มไปด้วยร้านรวงอาหารรถเข็น ได้พอแวะเล็มอาหารจากหลากหลายร้าน ใครจะมาที่นี่ต้องรีบมากันหน่อย เพราะเปิดแค่ 16.00-21.00 จ้า
Day2
เมื่อวานชิลๆอุ่นเครื่องแล้ว วันนี้ต้องลุยกันหน่อย
เริ่มต้นด้วยมื้อเช้า..คนที่นี่นิยมทานติ่มซำเป็นอาหารเช้ากัน ในตัวเมืองก็มีหลากหลายร้านเด็ดให้เลือกทาน แต่ครั้งนี้เราไม่เน้นกิน เลยจัดแค่ร้านติ่มซำหน้าปากซอย ก่อนรีบเรียกรถสองแถว ไปท่ารถตู้ที่ “ตลาดเกษร” ตีตั๋วไปเขื่อนรัชชประภา ราคาตกคนละ 150 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ก็ถึงที่หมายของเรา
“เขื่อนรัชชประภา” หรือ “เขื่อนเชี่ยวหลาน” ชื่อเดิมของที่นี่ หรือที่คนนิยมเรียกกันว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย” ไม่ต้องถ่อไปถึงกุ้นหลินที่เมืองจีน ก็มาที่นี่แทนได้จ้า ...เขื่อนนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย แต่จะไม่เล่าในนี้เดี๋ยวจะยาวเกิน เพื่อนๆคงขี้เกียจอ่านได้ ใครสนใจไปอ่านเพิ่มเติมได้จ้า ขอแชะภาพซักนิด ก่อนไปถึงปากเขื่อน
...ไม่ผิดหวังจากที่ตั้งใจไว้..ภาพวิวเขื่อนที่เรามองเห็น..สวยเกินกว่าที่ภาพถ่ายจะอธิบายได้ จริงๆนะ..ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้น ขอสนับสนุนให้เพื่อนๆมากันให้ได้ เอาภาพถ่ายมาเรียกนำ้ย่อยกันไปก่อนนะจ๊ะ
นั่งเรือมาเรื่อย เราจะผ่าน “เขาสามเกลอ” เป็นแท่งเขาหินปูนขนาดไล่เลี่ยกันสามอัน ถูกพระราชทานนามโดยสมเด็จพระเทพฯ เป็นอีกมุมที่น่าสนใจของที่นี่เค้าเลย
ถึงแล้ว “แพไกรสร” แพที่พักที่อยู่เกือบลึกสุดของเขื่อนละ ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่เป็นชั่วโมงที่ไม่เบื่อเลย เพราะมีวิวสวยๆให้ดูตลอดทาง ยกกล้องถ่ายรูปกันจนเหนื่อย
....ในเขื่อนรัชชประภานี้ มีแพที่พักอยู่มากมายหลายที่ กระจายทั่วๆเขื่อน ถ้าเน้นประหยัดหน่อยก็ต้องแพของอุทยาน แต่ถ้าอย่างดีก็ต้องของเอกชน ...ซึ่งแน่นอนว่า พวกเราก็ใช้บริการของอุทยาน รวมอาหาร 3 มื้อ ราคาตกประมานคนละ 500 บาทเท่านั้น แต่ก็อย่าคาดหวังความหรูหรามาก เพราะแพหลังนึง วางฟูกที่นอน 1 อันก็เต็มหลังแล้ว ส่วนอาหารก็เป็นแนวกับข้าวง่ายๆ ใครที่ชอบทานเยอะ แนะนำให้ซื้อขนมติดไม้ติดมือมาด้วยนะจ๊ะ ...แต่ถือว่าแค่มาดื่มดำ่บรรยากาศ ก็เกินคุ้มแล้วล่ะ
แพที่พักมีเรือคายัคให้เราพายในเขื่อนกันด้วยนะ
มีแท่นโดดนำ้เหมือนสระว่ายนำ้ส่วนตัวเลยทีเดียว
ตกกลางคืน กิจกรรมสุดฮิตก็คงไม่พ้น การเล่นไพ่ พร้อมกับนั่งฟังแพข้างๆร้องเพลงเล่นกีต้าแบบชิวๆ
กลางคืนที่นี่มืดเหมือนหลับตาจริงๆ เรามองออกไปมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้าเลย ท้องฟ้า ภูเขา ผืนนำ้มืดจนเชื่อมรวมเป็นผืนเดียวกัน เหมือนแพเราเป็นยานที่ลอยอยู่ในอวกาศเลยแหละ 5555....นั่งได้ไม่นานมาก ต้องรีบเข้านอน เพราะที่นี่เค้าใช้ไฟฟ้าจากการปั่นไฟ และจะปั่นให้เราใช้จนถึงแค่เที่ยงคืนเท่านั้น.. เตรียมพกไฟฉายมาจะมีประโยชน์มากจ้า
Day 3
อรุณสวัสดิ์พระอาทิตย์ยามเช้า....ถ้าเราตื่นเช้ากว่านี้ เจ้าหน้าที่บอกว่า เราจะเห็นทะเลหมอกด้วยน้า
สิ่งที่น่าสนใจของที่นี่คือ สามารถมาเที่ยวได้ทุกช่วง ช่วงหน้าร้อนก็จะเห็นวิวนำ้และภูเขาสวย แต่ถ้าช่วงฝนตก เราจะได้เห็นเป็นทะเลหมอก สวยไปอีกแบบ
วิวแพที่พักยามเช้า
นั่งเรือกลับเข้าฝั่ง เตรียมพร้อมสำหรับจุดหมายต่อไป..
“เขาสก” อุทยานแห่งชาติที่อุดมไปด้วยผืนป่าดิบชื้นขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ติดกับเขื่อนรัชชประภานั่นแหละ แต่ทางเข้าคนละทางกัน เหมาะสำหรับคนลุยๆที่ชอบเดินป่า มีเส้นทางเดินป่าหลายเส้นทาง ตั้งแต่เดินวันเดียว จนถึง 3-4 วัน เท่าที่เห็นส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติมาเที่ยวซะส่วนใหญ่ มีเราเป็นกลุ่มคนไทยจ้อยๆ และเนื่องจากเวลามีน้อย เลยเลือกเส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติแบบเบสิค เดินวันเดียวละกัน
ตลอดเส้นทาง มีจุดท่องเที่ยวมากถึง 9 จุด ทุกที่ล้วนเป็นนำ้ตก และแอ่งนำ้ที่สวยงาม โดยเจ้าหน้าที่จะแจกแผนที่มาให้เราเดินตามทางกันเอง
แต่แล้ว เราก็ต้องมาสิ้นสุดที่จุดท่องเที่ยวที่ 3 "นำ้ตกบางหัวแรด" เส้นทางที่เหลือต่อจากนั้นจำเป็นจะต้องให้เจ้าหน้าที่อุทยานเป็นคนนำ เพราะเป็นเส้นทางที่เข้าป่า มีโอกาสหลงได้ง่าย...ด้วยเวลาที่มีไม่มาก เราเลยต้องตัดใจไป
หลังจากเดินป่า เล่นนำ้ตกกันหนำใจ ระหว่างทางกลับเข้าตัวเมือง เราจะผ่านสถานที่เที่ยวแนะนำแห่งใหม่ในสุราษฎร์ “หินพัด”
เป็นหินมหัศจรรย์อายุกว่าพันปี รูปร่างเหมือนพัดขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณหน้าผา
ที่นี่กำลังอยู่ในช่วงโปรโมต และพยายามดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักอีกแห่งของสุราษฎร์
ยังไงเพื่อนๆตอนนี้มีโอกาสก็รีบไปเที่ยวกันก่อนได้เลย
การเดินทางเข้าไปค่อนข้างลึกพอสมควร แต่ก็มีป้ายบอกทางเป็นระยะนะ แนะนำว่ารถส่วนตัวมาเองควรเป็นรถที่สามารถไต่เขาได้ เพราะทางค่อนข้างชัน และเป็นพื้นทรายที่ลื่นด้วยแหละ
ทางทรายที่แสนจะชัน และลื่นมาก
กว่าจะไต่มาถึงบนนี้ ต้องฝ่าด่านทางทราย ป่าต้นยางพารา และโขดหิน ..ได้มาถึงตอนใกล้หมดแสงอาทิตย์พอดี ถือว่าเป็นเวลาที่ดีเลย ไม่ร้อนจนเกินไปจ้า... หน้าผาแห่งนี้ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขา และป่าไม้หลากหลายสีสัน บวกกับแสงอาทิตย์ยามตกดิน ยิ่งทำให้บรรยากาศดูดี แนะนำให้เพื่อนๆมาเห็นด้วยตัวเองดีกว่า
วิวยามเย็นบนหน้าผาหินพัด
..อีก 2 วันที่เหลือ เยือนเมืองกระบี่ รอติดตามกันตอนต่อไปนะค้า..