หากย้อนเวลาไปในยุคคุณพ่อคุณแม่ยังเป็นเด็กเป็นวัยรุ่น หากใครที่เติบโตมาพร้อมกับภาพยนตร์ชุด เจมส์ บอนด์ 007 ในยุคปี 60-70
หรืออาจจะเป็นคนยุคนี้ที่ได้เคยมีโอกาสหยิบหนังบอนด์สมัยปู่ฌอน คอนเนอรี่ ขึ้นมาดู
ย่อมต้องเคยผ่านตากับองค์กรก่อการร้ายที่มีหัวหน้าใหญ่จอมโหดหัวโล้น ๆ เหม่ง ๆ อุ้มแมวเปอร์เซียสีขาวขนสวยกันมาบ้าง
(โปรดอย่าไปจำ ดร.อีวิล ในหนัง Austin Powers นะ)
จนล่วงเลยเวลามาร่วม ๆ 40 ปี ใครจะคิดว่าชื่อขององค์กรนี้จะได้กลับมามีบทบาทอีกครั้งในหนังชุด เจมส์ บอนด์ 007 เรื่องที่ 24
และเป็นการกลับมามีบทบาทครั้งสำคัญเพราะชื่อขององค์กรนี้ถูกใช้เป็นชื่ออย่างเป็นทางการของหนัง นั่นคือ “SPECTRE”
กระทู้นี้จึงขอเป็นการใช้พื้นที่ในห้องเฉลิมไทยเพื่อพาคนรักหนังบอนด์ หรือสนใจติดตามหนังชุดนี้
ย้อนอดีตกลับไปทำความรู้จักองค์กรนี้พร้อม ๆ กัน แล้วจะได้ทราบกันว่าองค์กรนี้มีอะไรมากกว่าที่เกริ่นไปข้างต้น
จุดเริ่มต้นขององค์กรจอมวายร้าย
“SPECTRE” คือองค์กรก่อการร้ายที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางจากภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ 007
ที่มาของชื่อ SPECTRE นั้นมาจากคำเต็มภาษาอังกฤษว่า
“Special Executive for Counter-intelligence, Terrorism, Revenge and Extortion”
(แต่เดิมมาจากในนวนิยายใช้ชื่อว่า Special Executive for Terrorism, Revolution and Espionage)
หนึ่งในผู้ให้กำเนิดองค์กร SPECTRE คือ เอียน เฟลมมิ่ง ผู้สร้างตัวละครเจมส์ บอนด์
นอกจากนั้นยังมีรายชื่อของ 2 นักเขียนอย่าง เควิน แม็คคลอรี่ และแจ็ค วิตติ้งแฮม เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ซึ่งจะได้กล่าวถึงในโอกาสต่อไป
การปรากฏตัวครั้งแรกของ SPECTRE ในซีรีส์เจมส์ บอนด์ 007 นั้น
เกิดขึ้นในนวนิยายเล่มที่ 8 เรื่อง “Thunderball” ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1961
โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับปฏิบัติการ Omega ซึ่งเป็นการยึดเครื่องบิน Villiers Vindicator
และเข้าควบคุมหัวรบนิวเคลียร์ 2 ลูก เพื่อเรียกค่าไถ่จำนวน 100 ล้านปอนด์ จาก NATO
ก่อนที่บอนด์จะกล่าวถึงภารกิจและองค์กรดังกล่าวเพียงเล็กน้อยใน “Him”
ส่วนที่ 3 ของนวนิยายเรื่อง “The Spy Who Loved Me” ได้รับการตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายน 1962
ต่อมาใน “On Her Majesty's Secret Service” นวนิยายเล่มที่ 10
ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในเดือนเมษายน 1963 องค์กร SPECTRE ก็ได้กลับมาโลดแล่นบนหน้ากระดาษอีกครั้ง
โดยในครั้งนี้ SPECTRE ได้หนีหายย้ายไปตั้งฐานเพื่อทำงานวิจัยลับอยู่ที่ Piz Gloria ตั้งอยู่บนยอดเขา Schilthorn ในสวิตเซอร์แลนด์
โดยปฏิบัติการในครั้งนี้ SPECTRE ได้นำหญิงสาวชาวอังกฤษและไอริชที่เป็นโรคภูมิแพ้ประเภทต่าง ๆ มาทำการบำบัดเป็นการบังหน้า
แต่จุดประสงค์แท้จริงแล้วเป็นไปเพื่อการล้างสมองและใช้เป็นอาวุธทางชีวภาพในการทำลายระบบเศรษฐกิจด้านอาหารของโลก
หลังจากนั้น SPECTRE ก็ได้กลับมามีบทบาทครั้งสุดท้ายในนวนิยายเล่มที่ 11
เรื่อง “You Only Live Twice” ตีพิมพ์ในเดือนมีนาคม 1964
โดยเป็นการดำเนินเรื่องในช่วงเวลา 8 เดือนให้หลังจากตอนจบของเหตุการณ์ในนวนิยายเรื่อง On Her Majesty's Secret Service
ซึ่งในครั้งนี้ SPECTRE ได้โยกย้ายไปตั้งฐานในปราสาทแห่งหนึ่ง ณ ประเทศญี่ปุ่น
โดยภายในปราสาทมีสวนพืชมีพิษที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น Garden of Death แต่ทว่าองค์กรดังกล่าวก็ถึงจุดจบด้วยฝีมือของบอนด์
และนวนิยายเรื่องนี้ก็ถือเป็นการปิดฉากองค์กร SPECTRE
ซึ่งนวนิยายทั้ง 3 เล่ม ที่องค์กรดังกล่าวปรากฏตัวเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ "Blofeld Trilogy"
ย้อนเวลาไปกับ “SPECTRE” องค์กรที่จะกลับมามีบทบาทอีกครั้งในหนัง Bond เรื่องที่ 24
หรืออาจจะเป็นคนยุคนี้ที่ได้เคยมีโอกาสหยิบหนังบอนด์สมัยปู่ฌอน คอนเนอรี่ ขึ้นมาดู
ย่อมต้องเคยผ่านตากับองค์กรก่อการร้ายที่มีหัวหน้าใหญ่จอมโหดหัวโล้น ๆ เหม่ง ๆ อุ้มแมวเปอร์เซียสีขาวขนสวยกันมาบ้าง
(โปรดอย่าไปจำ ดร.อีวิล ในหนัง Austin Powers นะ)
จนล่วงเลยเวลามาร่วม ๆ 40 ปี ใครจะคิดว่าชื่อขององค์กรนี้จะได้กลับมามีบทบาทอีกครั้งในหนังชุด เจมส์ บอนด์ 007 เรื่องที่ 24
และเป็นการกลับมามีบทบาทครั้งสำคัญเพราะชื่อขององค์กรนี้ถูกใช้เป็นชื่ออย่างเป็นทางการของหนัง นั่นคือ “SPECTRE”
ย้อนอดีตกลับไปทำความรู้จักองค์กรนี้พร้อม ๆ กัน แล้วจะได้ทราบกันว่าองค์กรนี้มีอะไรมากกว่าที่เกริ่นไปข้างต้น
ที่มาของชื่อ SPECTRE นั้นมาจากคำเต็มภาษาอังกฤษว่า
“Special Executive for Counter-intelligence, Terrorism, Revenge and Extortion”
(แต่เดิมมาจากในนวนิยายใช้ชื่อว่า Special Executive for Terrorism, Revolution and Espionage)
หนึ่งในผู้ให้กำเนิดองค์กร SPECTRE คือ เอียน เฟลมมิ่ง ผู้สร้างตัวละครเจมส์ บอนด์
นอกจากนั้นยังมีรายชื่อของ 2 นักเขียนอย่าง เควิน แม็คคลอรี่ และแจ็ค วิตติ้งแฮม เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ซึ่งจะได้กล่าวถึงในโอกาสต่อไป
เกิดขึ้นในนวนิยายเล่มที่ 8 เรื่อง “Thunderball” ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1961
โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับปฏิบัติการ Omega ซึ่งเป็นการยึดเครื่องบิน Villiers Vindicator
และเข้าควบคุมหัวรบนิวเคลียร์ 2 ลูก เพื่อเรียกค่าไถ่จำนวน 100 ล้านปอนด์ จาก NATO
ก่อนที่บอนด์จะกล่าวถึงภารกิจและองค์กรดังกล่าวเพียงเล็กน้อยใน “Him”
ส่วนที่ 3 ของนวนิยายเรื่อง “The Spy Who Loved Me” ได้รับการตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายน 1962
ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในเดือนเมษายน 1963 องค์กร SPECTRE ก็ได้กลับมาโลดแล่นบนหน้ากระดาษอีกครั้ง
โดยในครั้งนี้ SPECTRE ได้หนีหายย้ายไปตั้งฐานเพื่อทำงานวิจัยลับอยู่ที่ Piz Gloria ตั้งอยู่บนยอดเขา Schilthorn ในสวิตเซอร์แลนด์
โดยปฏิบัติการในครั้งนี้ SPECTRE ได้นำหญิงสาวชาวอังกฤษและไอริชที่เป็นโรคภูมิแพ้ประเภทต่าง ๆ มาทำการบำบัดเป็นการบังหน้า
แต่จุดประสงค์แท้จริงแล้วเป็นไปเพื่อการล้างสมองและใช้เป็นอาวุธทางชีวภาพในการทำลายระบบเศรษฐกิจด้านอาหารของโลก
เรื่อง “You Only Live Twice” ตีพิมพ์ในเดือนมีนาคม 1964
โดยเป็นการดำเนินเรื่องในช่วงเวลา 8 เดือนให้หลังจากตอนจบของเหตุการณ์ในนวนิยายเรื่อง On Her Majesty's Secret Service
ซึ่งในครั้งนี้ SPECTRE ได้โยกย้ายไปตั้งฐานในปราสาทแห่งหนึ่ง ณ ประเทศญี่ปุ่น
โดยภายในปราสาทมีสวนพืชมีพิษที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น Garden of Death แต่ทว่าองค์กรดังกล่าวก็ถึงจุดจบด้วยฝีมือของบอนด์
และนวนิยายเรื่องนี้ก็ถือเป็นการปิดฉากองค์กร SPECTRE
ซึ่งนวนิยายทั้ง 3 เล่ม ที่องค์กรดังกล่าวปรากฏตัวเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ "Blofeld Trilogy"