83 ปี ไพรัช สังวริบุตร ปูชนียบุคคลของวงการละครและภาพยนตร์ไทย

     83 ปี ไพรัช สังวริบุตร
       ปูชนียบุคคลของวงการละครและภาพยนตร์ไทย


       
       “ไพรัช สังวริบุตร”  เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา ฉลองอายุ 83 ย่าง 84 ปีของศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง พ.ศ. 2547 เขาคือ หัวเรือใหญ่ของบริษัทสามเศียร, ดาราวิดีโอ, ดีด้าฯ และจ๊ะทิงจา ผู้เป็นปูชนียบุคคลคนสำคัญในวงการละครโทรทัศน์ ซึ่งผลิตงานให้สถานีโทรทัศน์สีช่อง 7 มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510
       ตลอด 66 ปีแห่งการเรียนรู้คือประสบการณ์ที่ประดุจดั่งตำราเล่มโตที่มีค่ายิ่งกว่าตำราทางวิชาการใดๆ
       คติการทำงานที่ไพรัช สังวริบุตรยึดถือในการทำงานคือ “งานที่ดีต้องมาจากคน คนจะดีต้องมาจากการบริหาร”
       แม้วันนี้…ไพรัช สังวริบุตรจะดำรงตำแหน่ง “ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทดาราวิดีโอ” และการดำเนินงานทั้งหลายในอาณาจักรแห่งนี้จะอยู่ในมือของลูกชายทั้ง 2 คน อย่าง “สยาม-สยม สังวริบุตร”


       
       วัยเด็กของ “หรั่ง” ไพรัช
       
       ไพรัช สังวริบุตร หรือที่คนในวงการเรียกกันอย่างคุ้นเคยว่า “อาหรั่ง-พ่อหรั่ง” เป็นลูกของนายคุ้ม และนางจำรัส สังวริบุตร นอกจากพ่อจะมีอาชีพเป็นทนายความแล้ว ยังมีธุรกิจอื่นๆ อีก เช่น โรงงานอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ เจ้าของหนังเร่โดยทางเรือก่อนจะมาทำธุรกิจด้านภาพยนตร์ในนาม “บริษัทกรุงเทพภาพยนตร์” โดยทำภาพยนตร์เรื่องแรกคือ รอยไถ ของ ไม้เมืองเดิม ส่วนนางจำรัส ผู้เป็นแม่นั้นมีอาชีพขับร้องเพลงไทยเดิม “อาหรั่ง” ไพรัช มีพี่น้องร่วมพ่อแม่เดียวกันถึง 6 คน โดยเขาเป็นลูกในลำดับที่ 3 พี่ชายคนโตชื่อ คารม (พ่อของไพโรจน์ สังวริบุตรและจิรภา ปัญจศิลป์ เจ้าของคณะละครวิทยุชื่อดังมาก่อน) พี่สาวคนรองชื่อ คมคาย ส่วนน้องๆ ในลำดับ 4 -5-6 เรียงกันดังนี้ คือ ประชุม, ภุมรี (สังวริบุตร) กมลดิลก และดารา (อดีตดาราหนังจักรวงศ์)
       อาหรั่ง สมรสกับผุสดี ยมาภัย (เสียชีวิต) มีลูกชายด้วยกัน 2 คนคือ “หลุยส์-สยาม” และ “ลอร์ด-สยม” สังวริบุตร
       ชีวิตการศึกษาของอาหรั่ง เริ่มต้นชั้นประถมต้นที่โรงเรียนดำเนินศึกษา และมาจบประถมปลายที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ ในช่วงเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 5ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลมีคำสั่งประกาศให้นักเรียนที่เรียนในปีนั้นจบการศึกษายกชั้นทั่วประเทศ โดยไม่ต้องสอบประจำภาคปีการศึกษา หลังสงครามยุติ ไพรัช สังวริบุตรตัดสินใจไม่ศึกษาต่อ โดยเริ่มทำงานกับบริษัทของพ่อคุ้ม เริ่มงานครั้งแรกในตำแหน่ง “ฝ่ายงานสร้าง” ของโรงงานแบตเตอรี่ซึ่งตั้งอยู่ที่บางบัวทอง ปากคลองสามวัง จ. นนทบุรี หลังเลิกงานและในช่วงวันหยุดจะผันตัวเองมาคลุกคลีช่วยทำงานในบริษัทกรุงเทพภาพยนตร์ ซึ่งเป็นธุรกิจของพ่ออีกอย่างหนึ่ง ทำหน้าที่จิปาถะ ตั้งแต่ช่วยงานช่างภาพ และพากย์หนัง จนต่อมาพ่อให้มารับหน้าที่เป็น “ช่างภาพภาพยนตร์”



       
       สู่วงการภาพยนตร์และโทรทัศน์
       
       ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ไพรัช สังวริบุตรถ่ายภาพเองคือ รอยไถ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ในระบบ 16 มม. ความชำนาญส่วนหนึ่งมาจากการแนะนำของ สดศรี บูรพารมย์ (อาของฉลอง ภักดีวิจิตร), เนรมิต (อำนวย กลัสนิมิ), วิจิตร คุณาวุฒิ
       ปี พ.ศ. 2505 ไพรัช สังวริบุตร เข้ารับพระราชทานรางวัลตุ๊กตาทองจากพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รางวัลผู้ถ่ายภาพยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง “แสงสูรย์”
       ต่อมาได้ร่วมทุนกับ “มิตร ชัยบัญชา” พระเอกยอดนิยมสมัยนั้น ตั้งบริษัทภาพยนตร์ชื่อ “วชิรณ” โดยในระยะแรกถ่ายทำหนังด้วยฟิล์มขาว-ดำ ต่อมาเปลี่ยนเป็น “สี” ภาพยนตร์ของบริษัทนี้มีชื่อเสียงอยู่หลายเรื่อง เช่น อินทรีแดง, ทับสมิงคลา, วิญญาณรักของแม่นาค, วิญญาณคะนอง เป็นต้น
       “ผมเคยร่วมทุนกันอยู่ ทำหนังเรื่อง “อินทรีแดง” ทั้งๆที่เราใกล้ชิดสนิทสนม เราก็ไม่ได้คิว ไม่ได้คิวมากมายอะไร ผมก็มาคิดดูว่า การทำภาคบันเทิงมันต้องประกอบด้วยความสามารถของดารากับพวกผู้สร้างต่างๆ ประกอบกับเมื่อเราเห็นว่าคิวน้อย ผมก็เลยคิดอำลาวงการภาพยนตร์เพื่อเข้าสู่วงการทีวี”
       ผู้ชักนำไพรัช สังวริบุตรเข้าสู่วงการโทรทัศน์เมื่อปี พ.ศ. 2507 คือ สุวรรณา มุกดาประกร และถาวร สุวรรณ โดยสร้างทีมผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ด้วยการเช่าเวลาจากสถานีฯ ในการแพร่ภาพ



       
      ปลาบู่ทอง ละครเรื่องแรก


       
       พ.ศ. 2510 ไพรัช สังวริบุตรก่อตั้งบริษัท “ดาราฟิล์ม” ด้วยทุน 8 หมื่นบาท ผลิตภาพยนตร์เรื่องแรกคือ “ปลาบู่ทอง” (พัลลภ พรพิษณุ กับ เยาวเรศ นิสากร) การทำละครพื้นบ้านโบราณก็เพื่อมาอุดช่องว่างกับหนังญี่ปุ่นที่ฮิตมากในหมู่เยาวชนในสมัยนั้น

       “ถ้าเราเสนอสิ่งของโบราณ ของไทยๆ ออกไปได้สัก 10 เปอร์เซ็นต์ก็น่าจะพอใจแล้ว ผมก็เลยเริ่มเรื่องนิยายชาวบ้าน “ปลาบู่ทอง” ในช่วงนั้นกระแสการส่งของช่อง 7 สียังไม่แรง ก็ต้องต่อสู้กับอุปสรรคเยอะ จนกระทั่งในที่สุดก็ติด ได้สปอนเซอร์มาหมด นี่เป็นความตั้งใจของบริษัทเรา เราจึงทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะพยายามรักษาตรงนั้นไว้ เพื่อให้เยาวชนได้รู้ว่าเรื่องต่างๆของไทยก็มีสิ่งที่น่าดูเหมือนกัน”

       นี่เป็นเหตุผลที่ไพรัช สังวริบุตรยืนพื้นละครประเภทนี้มานานถึง 44 ปีจวบจนถึงปัจจุบัน ซึ่งส่วนหนึ่งของละครเหล่านี้นำมาจาก “นิยายวัดเกาะ” …
       นิยายวัดเกาะนี้มาจากหนังสือนิยายเล่มเล็กๆ กว่า 300 เรื่อง ที่ถูกนำมาเย็บรวมเป็นเล่มใหญ่ โดยเสด็จพระองค์ชายเล็ก (พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ) ส่วนที่เพิ่มเติมคำว่า เทพ จนกลายเป็น เทพนิยายวัดเกาะ นั้น เป็นเพราะผู้แต่งนิยายวัดเกาะแต่ละท่านล้วนแต่ล่วงลับไปเป็นเทพบนสวรรค์หมดแล้ว “อาหรั่ง” จึงเรียกผลงานชั้นครูเหล่านี้ได้ว่าเป็น “เทพนิยาย” เพราะงานเหล่านี้ควรจะได้รับการดูแลไว้ไม่ให้สูญหาย

       “เสด็จพระองค์ชายเล็กก่อนที่ท่านจะสิ้น ท่านได้มอบให้ผมไว้ ท่านบอกว่า เราจะได้อนุรักษ์ต่อไป แล้วตอนนี้ผมก็มอบให้กับลูกผมคือ “ลอร์ด-สยม สังวริบุตร” ต่อไป เรามีตรงนี้ เทพนิยายวัดเกาะเป็นนิยายสมัยเดิมจริงๆแล้ว เสด็จพระองค์ชายเล็กท่านเย็บเป็นเล่มไว้ เก็บวางอย่างดีในตู้ในห้องบรรทม ห้องบรรทมของท่านไม่มีใครได้ขึ้นไปได้เลย มีผมขึ้นไปได้เพราะว่ารับใช้ท่านมาตั้งแต่เด็กๆ ท่านก็กรุณายกมาให้”

       เมื่อแรกบริษัท “ดาราฟิล์ม” จะหนักทางการสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์ประเภทนิทานพื้นบ้านจักรๆ วงศ์ๆ และในระยะต่อมาได้เปลี่ยนจาก “ดาราฟิล์ม” มาเป็น “สยามฟิล์ม” ซึ่งยังเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์ที่ใช้เสียงพากย์ และถ่ายทำแบบภาพยนตร์ 16 มม. และเมื่อการถ่ายทำเปลี่ยนจากระบบฟิล์มมาเป็นวิดีโอเทป การแสดงเปลี่ยนจากการบอกบทมาเป็นการท่องบท ก็มีการเปลี่ยนชื่ออีกครั้งหนึ่งเป็น “ดาราวิดีโอ”

       ปัจจุบัน ละครพื้นบ้านดูแลการผลิตโดย “บริษัทสามเศียร” ส่วนที่เป็นแอนิเมชันนั้น ดำเนินการภายใต้บริษัท “จ๊ะทิงจา” ส่วนละครสมัยใหม่นั้น อยู่ภายใต้การผลิตของ “ดาราวิดีโอ และดีด้า”


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่