"แม่ส่งแกเรียนต่อไม่ไหวแล้ว..." เมื่อแม่พูดกับผมแบบนี้ตอนอายุ17.....ก่อนชีวิตโหดมันส์ฮาจะเริ่มต้นขึ้น....

แจกสูตรขนมของครอบครัวนะครับ ขอให้เฉพาะผู้ที่เดือดร้อนและอยากทำมาหากินจริงๆนะครับ เป็นสูตรขนมไทยโบราญครับ ใครสนใจสามารถติดต่อมาได้หลังไมค์ครับ หวังว่ามันน่าจะช่วยคนที่เดือดร้อนได้จริงๆ


สวัสดีชาวพันทิปทุกท่านครับ นานๆที่จะตั้งกระทู้(เหรอ?) ฮ่าๆ วันนี้ไม่ได้มาบ่นใครนะครับ แต่วันนี้ขอมาในแนวให้กำลังใจตัวเองและคนอื่นๆดีกว่าหัวกระทู้ที่ว่าเป็นประโยคที่ม๊าพูดกับหนูครับ พูดตอนอายุ 17 นี้แหละ

วินาทีแรกคืออึ้ง...

คือ ....จะไม่ได้เรียนต่อแล้วงั้นเหรอ ?

หนูขอเกริ่นย้อนกลับไปหน่อยนะครับ ครอบครัวหนูจนค่อนไปทางยากไร้เลยแหละ ทำงานแบบหาเช้ากินค่ำครับ พ่อขายของ แม่ขายของ ตอนนั้นเราขายขนมไทยแถวย่านการค้าแห่งหนึ่ง  แรกๆก็ขายดีนั้นแหละครับ แต่หนี้สิ้นมันเยอะ และอะไรหลายๆอย่าง

ที่แม่พูดว่าไม่ไหวแล้ว คือพูดง่ายๆนั้นแหละครับ ....แม่หนีหนี้และอยากให้หนูหนีไปกับเขาด้วย

แต่ถ้าหนูไป หนูไม่ได้เรียนต่อแน่ๆรูปการณ์และที่ผ่านๆมามันบอกผมว่า ถ้าไปอดเรียนนะ แล้วความฝันของหนูล่ะ .... ?

คิดประมาณวันหนึ่งก่อนจะตอบกลับแม่ไป "แม่ไปเหอะ หนูอยู่ได้"

ยอมรับว่าตอนนั้นทั้งกล้าและกลัว ฮ่าๆๆๆ มานั้งย้อนๆดู ยังรู้สึกเลย ว่าตัวเองเอาความกล้ามากขนาดนั้นมากจากไหน ? อะไรทำให้เรากล้าใช้ชีวิตคนเดียวในประเทศไทย ?  แล้วไม่กลัวอดตายรึไง แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรพวกนี้หรอกครับ แค่อยากเรียน  เหตุผลมีแค่นั้นแหละจริงๆ

เริ่มต้นเหลือเงินติดตัวทั้งหมด 3 พันบาท (ได้ทุนตอนม.ต้น) ตอนนั้นพ่อกับแม่และน้องไปแล้ว ผมนั้งอยู่ในบ้านเช่าคนเดี่ยว ก็คิดๆแหละว่าตัวเองจะทำยังไงต่อไปดี สุดท้ายก็เริ่มจากการหาที่อยู่ แรกเริ่มเลยคือไปอยู่หอเก่าๆแถวบ้านเพื่อนครับ ราคา 1300/เดือนไม่รวมน้ำไฟ(มัดจำตอนแรกห้าร้อยบาทรวมเป็น 1800 บาท) สรุปเหลือเงิน 1200 บาท กับข้าวสารสองถุง ยี่สิบกี่โลจากป้าข้างบ้านที่เขาสงสาร หอบไปพร้อมหนังสือเรียนและเสื้อผ้า นอกนั้นคือทิ้ง ต้องทิ้งกระทั้งแมวที่เลี้ยงกันมา T  T.  .  . .  

ชีวิตใหม่เริ่มต้นแล้ว....

พอย้ายเข้าหอเสร็จ หนูก็คิดต่อ จะทำยังไงให้ตัวเองมีเงินพอใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และสามารถส่งกลับไปให้ที่บ้านได้ด้วยถ้าทางนั้นขาดจริงๆ (คือเขาไม่ได้อยู่ไทยแต่ติดต่อกันเสมอผ่านสายโทรศัพท์) ตอนนั้นก็ถามตัวเองทำไรได้บ้าง ทำไรไม่ได้บ้าง สรุปสุดท้ายคือ เห้ยย ชั้นชอบเขียนนะ และก็ชอบทำงานที่เจอคนเยอะๆด้วย เริ่มแรกสุดเลยไปเป็นเด็กแจกใบปลิว แจกได้แค่เสาร์-อาทิตย์ วันล่ะ 400 รวมสองวันได้อาทิตย์ล่ะ 800 .....มันไม่พอว่ะ....

บอกกับตัวเองแบบนั้น อย่าว่าแต่กินตามใจปากเลย ขนาดจะกินดีๆมันยังไม่พอ  หนูคิดไปคิดมา เอาว่ะ เก็บเงินอีกนิดก่อนจะซื้อหม้อหุ้งข้าวใบเล็กมาไว้ติดห้อง ตั้งแต่ตอนนั้นยาวไปประมาณเกือบสองอาทิตย์ ข้าวกับน้ำปลาเป็นอะไรที่มันส์มากกกกก  55555  จนกระทั้งที่โรงเรียน มีป้าที่โรงอาหารเขารู้เรื่องราวของหนูนี้แหละ ป้าแกก็บอกให้ไปกินข้าวกินไรกับแก ช่วยแกล้างจานบ้าง ขายของบ้าง ด้วยความที่ไอ้หน้ามอมคนนี้ช่วยงานป๊าม๊ามาตั้งแต่เด็ก กับแค่สายตาที่มองมานี้ไม่มีปัญหามาก (เด็กในโรงเรียนจะดูงงๆปนสงสารมั้ง ว่าทำไมช่วงพักเที่ยงต้องไปล้างจานต้องไปทำงานแบบนั้นด้วย) แต่ยอมรับเลยว่าตัวเองสนุก สนุกที่ได้ทำงาน ได้ทำสิ่งที่อยากทำ การเรียนคือเป้าหมายหลัก แต่ช่วงนั้นคือโดนกระหน้ำมาก 5555 โดนครูที่โรงเรียนนินทาว่าหนีออกจากบ้านบางแหละ พ่อแม่ไม่เลี้ยงบ้างล่ะ 55555 หนูไม่รู้ดิ แม่บอกว่าถ้าอะไรที่มันไม่สำคัญในชีวิตมาก ก็ปัดๆมันทิ้ง อย่าเอาหินมาแบกไว้บนบ่า เพราะเราเองนั้นแหละที่รู้ตัวเองเสมอว่าเราเป็นคนแบบไหน เป็นคนยังไง....

หนูใช้ชีวิตแบบนั้นไปเรื่อยๆจนกระทั้งชิวีตโซซัดโซเซไปจับพลัดจับผลู ได้ทำงานวิจัย....

งานวิจัยคืออะไร ?

งานวิจัยคืองานที่จะเชิญเราไปเข้าร่วมเกี่ยวกับหัวข้อต่างๆ เช่น ต้องการคนที่ชอบกินน้ำส้มนะ อายุเท่านี้นะ อะไรแบบนี้ รวมกันเป็นกลุ่มๆ แล้วก็เข้าไปนั้งสนทนากัน หนูได้งานนี้แบบบังเอิญเอี๊ยๆ หน้าที่ของหนูคือ 'รีครูทเตอร์' มีหน้าที่หาคนตามลักษณะที่ทางบริษัทต้องการมาให้ ซึ่งเอาความจริงแบบไม่สะตอ การเตี๊ยมกันมันต้องมีแน่นอน สมมุติเหตุการณ์ง่ายๆนะ หนูเดินไปเจอพี่ๆ หนูบอกพี่ๆว่า "พี่ๆ ไปเข้างานวิจัยกับหนูไหม ? 2ชม.ได้ 700" เอาแบบตามหลักความเป็นจริงๆนะ ใครแม่มจะกล้าไปฟระ ถ้าไม่ใช่คนที่รู้ว่างานวิจัยมันมีอยู่จริง =  =" เพราะงานบางครั้งหนูก็รู้สึกเหนื่อยว่ะ งานมันดูหลอกหลวงชะมัด เพราะเอาตรงๆคนที่เข้าไปแมร่งก็ตอบตามที่ลูกค้าต้องการให้ตอบนั้นแหละ หนูเลยทำรายได้ได้น้อยกว่าคนอืน เพราะตัวเองโกหกไม่เป็นฟระ ส่วนมากอาร์ดีของหนูเลยจะเป็นผู้ใช้ที่ลูกค้าต้องการจริงๆ แต่ก็ไปโทษคนอื่นๆไม่ได้หรอก มันคืองาน ขึ้นชื่อว่างานเราเลือกมันไม่ได้หรอกว่าทำแบบนี้ดี ทำแบบนี้ไม่ดี (นี้หรือคืองานวิจัย ถถถถถถถ.)

พอหนูทำไปได้เดือนสองเดือน รายได้ก็พออยู่ได้ขึ้นมาในระดับหนึ่ง วนกลับมาถึงช่วงเปิดเทอม (ม.5เทอม2) หนูโดนบริษัทบอกให้ออก ด้วยเหตุผลที่ว่าหนูไม่สามารถไปดูแลอาร์ดีได้แล้วเพราะหนูต้องไปเรียนหนังสือจันทร์ถึงศุกร์ หนูโอเคนะและออกตามที่เขาต้องการ โลกของความเป็นจริงเขาไม่เสียเวลาจ้างคนที่ทำงานให้เขาแบบเต็มประสิทธิภาพไม่ได้หรอก เราก็ต้องเข้าใจเขาตรงนี้ เมตตาส่วนเมตตา ทำงานส่วนทำงาน

นี้คือจุดเปลี่ยนในชีวิตของหนูอีกครั้ง....


เอาจริงๆชีวิตคนทุกคนมันต้องมีทั้งดีและร้ายปนกันนั้นแหละครับ เอาเข้าจริงหนูก็บอกไม่ได้หรอกว่ามันดีหรือร้ายขนาดไหน บางวันมันก็ท้อ ท้อแบบ เขรี้ยยย หลับตาแล้วไม่ตื่นเลยได้ไหม  มันเหนื่อยว่ะคุณ ทำไมต้องเป็นหนูว่ะที่ลำบาก ทำไมต้องเป็นหนูที่ทรมาร หนูเเครียด หนูตัวคนเดียว หนุไม่มีใครเลย แต่อีกใจมันก็รู้ดี

ชีวิตหนูมันยังหยุดที่ตรงนี้ไม่ได้....

หนูไม่โทษใครนะที่ชีวิตลำบากแบบนี้ คิดซะว่ามันก็แค่หนังเรื่องหนึ่งที่กำลังแล่น และถ้าหากเราทำต้นเรื่องออกมาดี ปลายเรื่องแมร่งก็ต้องดีดิ หนูเป็นคนหนึ่งที่ชอบใช้ชีวิตให้คุ้มสำหรับตัวเองมากที่สุด อยากกินไรกิน อยากทำไรทำ ถ้ามันไม่เดื่อดร้อนใครแม่บอกว่าทำๆไปเหอะ เราไม่รู้หรอกว่าชีวิตวันพรุ่งนี้จะยังได้กินได้ทำอยู่ไหม แต่พอโตขึ้นหนูก็ต้องรู้และเข้าใจ ว่าบางครั้งคนเราก็ต้องวางแผนรับมือกับอนาคต การคาดหวังกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเป็นเรื่องที่อาจจะทำให้ถึงตายได้จริงๆ (เมื้อก่อนได้เงินมา ชอบคิดว่าจะมีเงินเข้ามาอีกตอนไหน และจะใช้ยังไงดี = = )  

ทุกวันนี้ชีวิตสบายขึ้นมากกกกกก ในความรู้สึกนะ

หนูอยู่ห้องพักที่ดีขึ้น ไม่ต้องไปเข้าห้องน้ำร่วมอีก มีระเบียง มีเตียงนุ่มๆ มีหมอน มีเสื้อผ้า มีหลายๆใช้ และสิ่งที่ทำให้หนูดีใจที่สุด คือทุกอย่างนั้น มาจากน้ำพักน้ำแรงหนูเอง เออ ยอมรับว่าเหนื่อยมากกก แต่ภูมิใจมากที่สุด โอเคเราอาจจะเป็นเด็กสิบแปดที่เหนื่อยที่สุดในความรู้สึกของหนู แต่หนูก็เชื่อว่าตัวเองเก่งกว่าเด็กสิบแปดทั่วไปหลายๆขุม ตอนนี้มีหลายอย่าง มีทั้งเพื่อน มีทั้งคนที่เป็นครอบครัวใหม่ มีทั้งรายได้ที่มาจากน้ำพักน้ำแรง ตอนนี้มีงานกึ่งๆประจำ รายได้ต่ออาทิตย์ก็พอไหว ถ้ามีงานอื่นๆเขามาก็รับได้อีกต่างหาก

ไม่รู้หรอกว่าความสุขของคนอื่นๆเป็นยังไง แต่ความสุขของหนูคือการมีเงิน และสามารถนำเงินไปทำสิ่งที่เกิดประโยชน์กับหนูได้มากที่สุด
หนูจะมองว่าตัวเองมีต้นทุนเท่าไหร่ และจำทำยังไงให้มันเกิดประโยชน์ทั้งทางตรง ทางอ้อม ทั้งตอนนี้และอนาคตทุกอย่างคือการลงทุนเพื่อนอนาคต
อยากบอกคนอื่นๆนะ

อย่าท้อ.... เชื่อเหอะ ในโลกใบนี้ยังมีคนเดือดร้อนกว่าคุณในขนาดที่คุณกินม่ามา ยังมีหนูหรือใครๆอีกหลายๆคนกินสิ่งที่แทบจะไม่มีคุณค่าทางด้านอาหารเลยมากกว่านั้นอีกเยอะะ เพื่อนหนูมันก็บอกประโยคเดี่ยวนะ ถ้าชีวิตเรายังมีลมหายใจ นั้นแปลว่าไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่หรอก  ตอนนี้เป้าหมายหนูก็แค่อยากโตในสายงานที่ทำอยู่ และ อยากเข้ามหาวิทยาลัยที่คาดหวังไว้ (งานหนักนะ แต่ไม่รู้ดิ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะแพ้.....) <<<แมร่งโคตรมั่น5555+

สู้ๆไปด้วยกันนะเออ อย่าถอดใจจนกว่าจะเกิดปาฎิหาริย์ ..

สิ่งที่หนูอยากฝากเอาไว้นะ...

โอเค.....ชีวิตหนูอาจจะโชคดีที่มีคนให้โอกาสหนูเยอะ แต่กว่าหนูจะได้รับโอกาสนั้น หนูก็ต้องสร้างหลายๆอย่าง....
แม่ไม่เคยสอนให้หนูรอ ...
ถ้าหนูรู้ว่าตัวเองไม่มีอะไร.... หนูจะสร้างมันขึ้นมาเสมอ
ความสามารถ ทักษะการเจรจา หน้าที่การงาน หรือแม้กระทั้ง...โอกาส
หนูแค่พยายามทำตัวเอง 'ให้พร้อม' สร้าง 'ความเป็นไปได้ต่างต่าง' ขึ้นมาให้ได้มากที่สุด หนูมองหาลู่ทาง หนูมองหาความเหมาะสมในการวางตัว หนูมองทุกอย่างเป็นการลงทุน ทำยังไงให้สิ่งที่ลงทุนไปสูญเสียให้ได้น้อยที่สุดและได้ผลลัพธิ์ตอบแทนได้มากที่สุด
แล้วก็เดินทอดน่องรอเวลาที่เหมาะสม...
อย่ารอโอกาส จนสร้างโอกาส
ตอนนี้หนูได้ทำงานในสิ่งที่หนูรัก หนูได้เจอคนเยอะๆ ได้มีเพื่อนดีๆ(ตอนเด็กๆไม่ค่อยมีเพื่อน หนูพูดกับเด็กวัยเดี่ยวกันไม่รู้เรื่องแล้ว ณ จุดๆนี้ = = ") ได้มีอนาคตที่ถึงแม้ตอนนี้มันจะยังไม่ชัดเจน แต่มันไม่ 'เลื่อนราง' เหมือนที่ผ่านๆมา ได้ใช้ชีวิตในแบบที่มันส์มาก สนุกมาก ที่ผ่านมาแม้จะอดมื้อกินมื้อ หรือกระทั้งตอนที่ไม่มีอะไรกินเลยมันก็ยังรู้สึกได้ว่าชีวิตมันโคตรสนุกว่าง่ายๆ หนูว่าหนูใช้ชีวิตตัวเองคุ้มนะ เป็นการใช้เวลาได้มันส์มากจริงๆตลอดหนึ่งปีที่อยู่ด้วยตัวคนเดี่ยว ...
สำหรับคนที่ท้อ ท้อไปเหอะ เสร็จแล้วคิดต่อนะ ว่าจะท้อแบบนั้นต่อไปหรือจะมองหาลู่ทางและความเป็นไปได้อย่างอื่น....
จงมองทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้เป็นโอกาส
ทุกสายฝนฟ้ามืดครึ้มมันซ่อน'บางสิ่ง'ไว้เสมอ...

โชคดีครับ.
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่