ผู้ต้องหาจ้างวางฆ่า พระหมอ ทำบุญขนาดนี้ และยังถือเป็นโยมอุปฐากรายใหญ่ที่ใกล้ชิดหลวงตา

ทำบุญมากมายขนาดนี้ จะได้เสวยผลกรรม ก่อน หรือ ผลบุญก่อน

เปิดปูม"เสี่ยบั๊ก - บรรเจิด ฉัตรไพฑูรย์”ผู้ต้องหาสั่งฆ่า"พระหมอ"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์          
27 มีนาคม 2558 19:37 น. (แก้ไขล่าสุด 27 มีนาคม 2558 19:40 น.)

   หลังตำรวจใช้ความพยายามมาเกือบ 1เดือนในการคลี่คลายคดีสังหารโหด"พระหมอ" พระนักปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ...วันนี้ คดีดังกล่าวใกล้ยุติลงแล้ว ตำรวจสามารถจับกุมได้ทั้งมือปืน ผู้ชี้เป้า คนขับรถ ตลอดจนรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ...และล่าสุด คือการออกหมายจับ ผู้บงการ คือ เสี่ยบั๊ก" หรือ“นายบรรเจิด ฉัตรไพฑูรย์”
      
       นายบรรเจิด ฉัตรไพฑูรย์ หรือ “เสี่ยบั๊ก”ไม่ใช่ชาวอีสานโดยกำเนิด ย้ายครอบครัวมาจากจังหวัดปราจีนบุรี เข้ามาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อราวปี พ.ศ.2515 พร้อมกับน้องชาย คือนายบรรจง ฉัตรไพฑูรย์ เริ่มต้นเปิดร้าน “ขายก๋วยจั๊บ”บริเวณ ถ.อุดรดุษฎี กิจการขายก๋วยจั๊บของสองพี่น้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หลายปีต่อมา ชื่อเสียงของเสี่ยบั๊กเป็นที่รู้จักของชาวเมืองอุดรธานีอย่างกว้างขวาง
      
       และด้วยนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนขยัน ใจนักเลง ชอบเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ ทำให้เสี่ยบั๊กได้มีโอกาสรู้จักกับ “นายพิศาล มูลศาสตร์สาทร” ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีขณะนั้น
      
       เสี่ยบั๊ก เป็นอีกคนหนึ่งที่ฉลาดใช้ในการ Connection ให้เป็นประโยชน์กับธุรกิจการค้า หลังจากนายพิศาล ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย ประจวบเหมาะกับขณะนั้น ช่วงปี 2518 สปป.ลาว มีปัญหาด้านการเมืองภายในประเทศอย่างรุนแรง ประชาชนบางส่วนอพยพออกมาอาศัยประเทศไทย จนทำให้องค์การสหประชาชาติตั้งศูนย์อพยพชาวเขาเผ่าแม้วขึ้นที่อำเภอเชียงคาน จ.เลย
           
       เสี่ยบั๊กมองเห็นช่องทางการทำธุรกิจ จึงวิ่งเต้นเข้าหาปลัดฯพิศาล จนในที่สุดได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดส่งวัตถุดิบอาหารให้กับศูนย์อพยพดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว ตั้งแต่นั้นมา
      
           ในห้วงนี้เองที่ทำให้เสี่ยบั๊กได้มีโอกาสรู้จักกับนายวิเวทย์ วิไชโย อดีตนายก ทต.นาอาน อ.เมือง จ.เลย ที่ถูกจับกุมในข้อกล่าวหา ““มีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกให้ไม่ได้(อาวุธสงคราม)ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย เพราะขณะนั้นนายวิเวทย์รับราชการเป็นนายเวรหน้าห้องผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ซึ่งเสี่ยบั๊กต้องแวะเวียนเยี่ยมเยื่อนติดต่อประสานงานกับผู้ว่าฯบ่อยครั้ง
      
       การผูกขาดส่งวัตถุดิบอาหารให้กับศูนย์อพยพฯนับเป็นช่องทางสร้างรายได้และผลกำไรให้กับเสี่ยบั๊กอย่างเป็นกอบเป็นกำ เขาได้รับสิทธิผูกขาดจัดส่งวัตถุดิบอาหารให้กับศูนย์อพยพดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง กระทั่งถึงในปี พ.ศ.2527 ศูนย์อพยพชาวเขาเผ่าแม้วดังกล่าว ก็ปิดตัวลง ทำให้เสี่ยบั๊กมีเงินทุนก้อนใหญ่มาทำธุรกิจของตัวเองมากขึ้น
      
           กระทั่งต่อมามีแนวคิดอยากทำธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน เพราะมองว่าคนมีฐานะดีในเมืองอุดรฯหรือพื้นที่อีสานแถบนี้หรือแม้แต่เศรษฐีชาวลาวเอง มักจะเข้าไปใช้บริการรักษาพยาบาลโรงพยาบาลเอกชนดังๆในกรุงเทพ เขาได้เริ่มขายไอเดีย ชักชวนเพื่อนนักธุรกิจในเมืองอุดรฯหลายรายเข้าหุ้นลงทุนสร้างโรงพยาบาล จนในที่สุดความฝันของเขาก็สำเร็จ โดยโรงพยาบาลเอกอุดรเริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2540
           
       โรงพยาบาลเอกอุดร ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 12 ไร่ ถ.โพศรี อ.เมือง จ.อุดรธานี อยู่ใจกลางเมือง เป็นอาคารสูง 12 ชั้น 2 อาคาร โดยแบ่งเป็นอาคาร A เป็นอาคารอำนวยการ การรักษาพยาบาล และชั้นดาดฟ้า เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสานและได้รับอนุญาต จากกรมการขนส่งทางอากาศ อาคาร B เป็นอาคารจอดรถในร่มสูง 6 ชั้น สามารถจอดรถได้กว่า 800 คัน รวมทั้งหอพักแพทย์, พยาบาล และอพาร์ทเม้นท์เจ้าหน้าที่พนักงาน
           
       ภายในอาคารมีพื้นที่ใช้สอย 62,000 ตารางเมตร สามารถรับคนไข้นอกได้ถึงวันละ 1,200 คน และรับคนไข้ในได้ถึง 350 เตียง
      
           อย่างไรก็ตาม กิจการโรงพยาบาลเอกอุดรในช่วงแรกๆไม่ประสบผลสำเร็จนัก กระทั่งหุ้นส่วนหลักๆหลายคนขอถอนหุ้นออกไป เสี่ยบั๊ก จึงได้ดึง “อรุณี จิวาศักดิ์อภิมาศ” นักธุรกิจใหญ่ ฐานะเข้าขั้นเศรษฐีอันดับต้นๆในเมืองหนองคาย เข้ามาถือหุ้นส่วน โดยเขานั่งในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร และช่วยกันบริหารงานโรงพยาบาลเอกอุดร จนกิจการเริ่มเติบโตผลรายได้เริ่มงอกเงย
      
       ต่อมาเสี่ยบั๊ก ได้แต่งงานกับ “อรุณี” อย่างเปิดเผย ถือเป็นภรรยาคนที่ 2 ของเสี่ยบั๊ก
           
       ข่าวการแต่งงานกับภรรยาคนที่ 2 ครั้งนี้ทำเอาสังคมชาวอุดรฮือฮาซุบซิบอย่างกว้างขวาง เพราะก่อนหน้านี้ เสี่ยบั๊กเคยแต่งงานอย่างออกหน้ามาแล้วกับภรรยาคนแรก คือ ทันตแพทย์หญิงวารุณี ฉัตรไพฑูรย์ ปัจจุบันมีบุตรสาวฝาแฝดด้วยกัน กำลังเรียนในคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
      
           ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2554 สภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ได้มอบปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการตลาด ให้กับนายบรรเจิด หรือเสี่ยบั๊ก ด้วยเหตุผลที่บรรยายไว้สวยหรูว่า เป็นนักบริหารจัดการองค์กรที่มีแนวคิดในการประกอบธุรกิจที่มีส่วนช่วยเหลือสังคม ก่อตั้งโรงพยาบาลเอกอุดรขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ.2540 โดยมุ่งมั่นให้เป็นโรงพยาบาลที่มีความเป็นหนึ่งในภูมิภาคในทุกๆ ด้าน บริหารและพัฒนาโรงพยาบาลโดยใช้ความรู้ ความสามารถ และแนวคิดทางการตลาดที่โดดเด่น
      
           คือ “หลักการตลาดเพื่อสังคม” ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลให้เป็นที่รู้จัก ควบคู่กับการสร้างคุณประโยชน์แก่สังคม โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมสาธารณะประโยชน์และโครงการการกุศล หลังรับมอบปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ครั้งนั้น ทำให้“เสี่ยบั๊ก”กลายเป็น “ดร.บรรเจิด” ไปโดยปริยาย
      
           สำหรับ “หมอแก้ว”จักษุแพทย์สาวที่เป็นชนวนเหตุจนนำไปสู่การสั่งเก็บ “พระหมอ”นั้น เป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของเสี่ยบั๊ก
      
           ว่ากันว่าเสี่ยบั๊กกับหมอแก้วนั้นมีอุปนิสัยชอบเข้าวัดทำบุญเหมือนกัน โดยเฉพาะเสี่ยบั๊กนั้นมักจะทำบุญด้วยการบริจาคเงินช่วยเหลือโครงการต่างๆของวัดป่าแต่ละวัดใน จ.อุดรธานีแต่ละครั้งจำนวนไม่น้อยและทำมาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่วัดป่าบ้านตาด ขณะที่หลวงตา “มหาบัว”เป็นเจ้าอาวาส เสี่ยบั๊กถือเป็นโยมอุปฐากรายใหญ่ที่ใกล้ชิดหลวงตาคนหนึ่ง
      
           .....ในทางกลับกันในกลุ่มสังคมคนที่รู้จักกับ “เสี่ยบั๊ก”ก็รับรู้เช่นกันว่า เสี่ยบั๊กคนนี้เป็นคนโมโหร้าย ใจร้อน อยากได้อะไรมักจะต้องหามาให้ได้ และคนอุดรจำนวนไม่น้อยก็ยังกังขาเช่นกันว่า คนที่ชอบทำบุญทำทานอย่างเขา เหตุใดถึงถูกโยง ถูกตั้งข้อสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังการ สั่งฆ่าคนที่อยู่ในสมณเพศ โดยเฉพาะพระภิกษุสายวัดป่าที่เขาเองนับถือศรัทธามาตลอด
http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000034749
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่