เนื้อเรื่องย่อ : เป็นภาคต่อของ Divergent ซึ่งต่อเนื่องจากภาคแรกที่ Tris และ Four ได้หลบนี่การไล่ล่าออกไปนอกเขตเมืองหลวง และได้พบกับปมปริศนาของการก่อกำเนิดเมือง และข้อความของผู้สร้างอันจะเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้
- ด้านตัวละคร
ในรีวิวภาคที่แล้ว ผู้เขียนได้ชื่นชมเคมีที่น่าสนใจระหว่างคู่พระนางอย่างTris (Shailene Woodley)และ Four (Theo James) ว่ามีความเข้าคู่กันมาก ชนิดพร้อมจะละลายกันตลอดเวลากันเลยทีเดียว---แต่มาในภาคนี้ ความรู้สึกนั้นมันกลับหายไป กลายเป็นอะไรซักอย่างที่ขาดๆเกินๆในการแสดงของทั้งคู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้หนังไม่น่าสนใจเอาเสียเลย โดยเฉพาะบทของ Four ที่มีเหมือนไม่มี น้ำหนักของตัวละครน้อยลงกว่าเดิมมาก (ทั้งที่ๆเปิดเผยประวัติมากขึ้น) สิ่งที่พอจะชดเชยได้ก็คงเป็นการแสดงของฝ่ายหญิงในช่วงฉากขึ้นศาล ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่บ้าง
ตัวละครม้ามืดที่แย่งซีนอย่างน่าตกใจคือพ่อหนุ่มยียวนอย่าง Peter (Miles Teller) ซึ่งมีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจติดตาผู้ชม และการแสดงออกที่คงบทบาทของตัวเองไว้ได้ดี (อารมณ์ jerk หน่อยๆ) ซึ่งพ่อหนุ่มคนนี้ก็ขึ้นแท่นนักแสดงชายที่ผู้เขียนนิยมไปแล้วจาก Whiplash, การกลับมาจับบทบาทตัวละครกลางๆในภาคนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จแบบน่าพอใจ.
- ด้านการดำเนินเรื่อง
Insurgent ยังคงคอนเซปต์เดิมที่จะขายฉากแอคชั่นมือเปล่าที่ดุดัน ผสมผสานกับการเล่น CG ในการจำลอง (Simulation), ซึ่งก็ต้องส่ายหน้าอย่างผิดหวังที่ 'อาการไม่สุด' จากภาคแรกก็ยังตามมาหลอกหลอนเรากันในภาคนี้ .. ผู้เขียนเคยรีวิวไว้ว่า Divergent Series นั้นมีพล็อตที่ยอดเยี่ยมและสามารถตีความได้หลากหลาย แต่การนำเสนอของตัวหนังกลับดูเด็กน้อยเป็นที่สุด เคราะห์ซ้ำที่เป็นหนัง genre วัยรุ่น ทำให้ฉากแอคชั่นมันเบาหวิวลงไปอีก ในเรื่องแอคชั่นคงต้องปล่อยมันลอยไปทะเลไปจริงๆ
มาทางด้านพล็อตบ้าง .. ผู้เขียนรู้สึกอัดอั้นตันใจเหลือเกินกับฉากตะลุมบอนบนรถไฟ ต่อยกันยับ ฆ่ากันตายไปกี่ศพ แล้วอยู่ดีๆก็ถามชื่อจับเข้าเป็นพวกเสียอย่างนั้น? (for what!) นี่คือหนึ่งในตัวอย่างของความ 'งง' ในตัวเองของหนังที่ไม่แน่ใจว่าบทมันรวนมาแบบนี้แต่แรก หรือการลำดับมันย่ำแย่กันแน่ ซึ่งตลอดเวลาที่เราดู Insurgent เราจะเกิดอาการเคว้งๆ งงๆ เป็นระยะ ซึ่งเชื่อว่าผู้เขียนไม่ได้เป็นคนเดียวแน่นอน อีกทั้งการใส่ฉากพระ-นาง ที่ดูเวิ่นเว้อเกินความจำเป็นมามากเกินไป ส่งผลให้อารมณ์ในแต่ละช่วงตอนขาดหายไปโดยสิ้นเชิง
ส่วนที่น่าชื่นชมคือการนำเสนอกลุ่มอื่นๆเช่นกลุ่มรักสันติ - กลุ่มซื่อสัตย์ ได้อย่างชัดเจนและเข้าถึงเนื้อแท้ของคอนเซปต์กลุ่มมากขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยให้เราสามารถปะติดปะต่อสภาพสังคมในกำแพงนี้ได้ดี (แอบตกใจที่ผู้นำกลุ่มซื่อสัตย์คือคนเดียวกับที่เล่นซีรียส์ Lost นะเนี่ย)
- ด้านงานภาพ-เพลงประกอบ
ในภาคนี้การเล่นกับฉากจำลองจะมีมากขึ้น ซึ่งก็หมายถึงซีจีที่อลังการขึ้นนั่นเอง ถึงแม้มันจะถี่จนน่ารำคาญไปนิดแต่ก็ยังพอให้อภัยได้ ฉากแอคชั่นที่ไม่ค่อยถึงใจก็พอจะเป็นอะไรๆที่ฆ่าเวลาได้ แต่โดยรวมก็ไม่มีอะไรให้จดจำมากนัก
"Insurgent เป็นหนังภาคต่อจากนวนิยายอีกเรื่องหนึ่ง ที่ไม่สามารถพาตัวเองให้ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไว้ได้ ตัวหนังยังติดกรอบเดิมๆของวรรณกรรมวัยรุ่นเสมือนใช้พล็อตได้เสียเปล่า การลำดับเรื่องบางช่วงชวนหาวนอนเป็นครั้งคราว หากไม่นับความผูกพันกับตัวละคร และปมเนื้อเรื่องที่รอคำเฉลย ก็อาจจะไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปดูภาค 3 แล้วก็ได้"
คะแนนความเห็นส่วนตัว : 6.0/10
โฟร์ โฟร์ โฟร์ โฟ๊ร์ by Jayz Hunhaboon
ติดตามรีวิวเก่าๆได้ที่ :
https://www.facebook.com/jayz.hunhaboon/media_set?set=a.560682527308058.1073741825.100000989470695&type=3
[REVIEW]Movie Review : Insurgent - ความพยายามที่จะสนุก ของกบฏตัวใหญ่ในหนังเด็กน้อย
- ด้านตัวละคร
ในรีวิวภาคที่แล้ว ผู้เขียนได้ชื่นชมเคมีที่น่าสนใจระหว่างคู่พระนางอย่างTris (Shailene Woodley)และ Four (Theo James) ว่ามีความเข้าคู่กันมาก ชนิดพร้อมจะละลายกันตลอดเวลากันเลยทีเดียว---แต่มาในภาคนี้ ความรู้สึกนั้นมันกลับหายไป กลายเป็นอะไรซักอย่างที่ขาดๆเกินๆในการแสดงของทั้งคู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้หนังไม่น่าสนใจเอาเสียเลย โดยเฉพาะบทของ Four ที่มีเหมือนไม่มี น้ำหนักของตัวละครน้อยลงกว่าเดิมมาก (ทั้งที่ๆเปิดเผยประวัติมากขึ้น) สิ่งที่พอจะชดเชยได้ก็คงเป็นการแสดงของฝ่ายหญิงในช่วงฉากขึ้นศาล ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่บ้าง
ตัวละครม้ามืดที่แย่งซีนอย่างน่าตกใจคือพ่อหนุ่มยียวนอย่าง Peter (Miles Teller) ซึ่งมีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจติดตาผู้ชม และการแสดงออกที่คงบทบาทของตัวเองไว้ได้ดี (อารมณ์ jerk หน่อยๆ) ซึ่งพ่อหนุ่มคนนี้ก็ขึ้นแท่นนักแสดงชายที่ผู้เขียนนิยมไปแล้วจาก Whiplash, การกลับมาจับบทบาทตัวละครกลางๆในภาคนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จแบบน่าพอใจ.
- ด้านการดำเนินเรื่อง
Insurgent ยังคงคอนเซปต์เดิมที่จะขายฉากแอคชั่นมือเปล่าที่ดุดัน ผสมผสานกับการเล่น CG ในการจำลอง (Simulation), ซึ่งก็ต้องส่ายหน้าอย่างผิดหวังที่ 'อาการไม่สุด' จากภาคแรกก็ยังตามมาหลอกหลอนเรากันในภาคนี้ .. ผู้เขียนเคยรีวิวไว้ว่า Divergent Series นั้นมีพล็อตที่ยอดเยี่ยมและสามารถตีความได้หลากหลาย แต่การนำเสนอของตัวหนังกลับดูเด็กน้อยเป็นที่สุด เคราะห์ซ้ำที่เป็นหนัง genre วัยรุ่น ทำให้ฉากแอคชั่นมันเบาหวิวลงไปอีก ในเรื่องแอคชั่นคงต้องปล่อยมันลอยไปทะเลไปจริงๆ
มาทางด้านพล็อตบ้าง .. ผู้เขียนรู้สึกอัดอั้นตันใจเหลือเกินกับฉากตะลุมบอนบนรถไฟ ต่อยกันยับ ฆ่ากันตายไปกี่ศพ แล้วอยู่ดีๆก็ถามชื่อจับเข้าเป็นพวกเสียอย่างนั้น? (for what!) นี่คือหนึ่งในตัวอย่างของความ 'งง' ในตัวเองของหนังที่ไม่แน่ใจว่าบทมันรวนมาแบบนี้แต่แรก หรือการลำดับมันย่ำแย่กันแน่ ซึ่งตลอดเวลาที่เราดู Insurgent เราจะเกิดอาการเคว้งๆ งงๆ เป็นระยะ ซึ่งเชื่อว่าผู้เขียนไม่ได้เป็นคนเดียวแน่นอน อีกทั้งการใส่ฉากพระ-นาง ที่ดูเวิ่นเว้อเกินความจำเป็นมามากเกินไป ส่งผลให้อารมณ์ในแต่ละช่วงตอนขาดหายไปโดยสิ้นเชิง
ส่วนที่น่าชื่นชมคือการนำเสนอกลุ่มอื่นๆเช่นกลุ่มรักสันติ - กลุ่มซื่อสัตย์ ได้อย่างชัดเจนและเข้าถึงเนื้อแท้ของคอนเซปต์กลุ่มมากขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยให้เราสามารถปะติดปะต่อสภาพสังคมในกำแพงนี้ได้ดี (แอบตกใจที่ผู้นำกลุ่มซื่อสัตย์คือคนเดียวกับที่เล่นซีรียส์ Lost นะเนี่ย)
- ด้านงานภาพ-เพลงประกอบ
ในภาคนี้การเล่นกับฉากจำลองจะมีมากขึ้น ซึ่งก็หมายถึงซีจีที่อลังการขึ้นนั่นเอง ถึงแม้มันจะถี่จนน่ารำคาญไปนิดแต่ก็ยังพอให้อภัยได้ ฉากแอคชั่นที่ไม่ค่อยถึงใจก็พอจะเป็นอะไรๆที่ฆ่าเวลาได้ แต่โดยรวมก็ไม่มีอะไรให้จดจำมากนัก
"Insurgent เป็นหนังภาคต่อจากนวนิยายอีกเรื่องหนึ่ง ที่ไม่สามารถพาตัวเองให้ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไว้ได้ ตัวหนังยังติดกรอบเดิมๆของวรรณกรรมวัยรุ่นเสมือนใช้พล็อตได้เสียเปล่า การลำดับเรื่องบางช่วงชวนหาวนอนเป็นครั้งคราว หากไม่นับความผูกพันกับตัวละคร และปมเนื้อเรื่องที่รอคำเฉลย ก็อาจจะไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปดูภาค 3 แล้วก็ได้"
คะแนนความเห็นส่วนตัว : 6.0/10
โฟร์ โฟร์ โฟร์ โฟ๊ร์ by Jayz Hunhaboon
ติดตามรีวิวเก่าๆได้ที่ : https://www.facebook.com/jayz.hunhaboon/media_set?set=a.560682527308058.1073741825.100000989470695&type=3