แผนที่สังขละบุรีนี้ เราได้มาจาก Facebook ของ Haiku Guesthouse ก่อนหน้านี้
ซึ่งละเอียดและเลอค่ามาก สำหรับการเดินทางในสังขละค่ะ


เมื่อเข้าสู่เขตสังขละบุรี ช่วงอุทยานแห่งชาติเขื่อนเขาแหลม โทรศัพท์เริ่มไร้สัญญาณใดๆ
แต่ GPS จาก Google Maps ยังคงทำงาน
เท่านี้เราก็อุ่นใจว่าไม่น่าจะหลงแต่อย่างใด เส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยวโค้งแยะ แอบเวียนหัวนิดหน่อยค่ะ
แต่ก็ให้ฟีลป่าๆ สองข้างทาง ดูธรรมชาติแบบดิบๆ โหดๆ


และที่แรกที่เราจะแวะก็คือ ป้ อ ม ปี่ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขื่อนเขาแหลมค่ะ
ค่าเข้าชม 40 บาท/คน
ค่านำรถยนต์ 4 ล้อเข้า 30 บาท/คัน
สิริรวมแล้ว เราเสียไปทั้งสิ้น 110 บาท ><


แต่ถือว่า . . บรรยากาศโดยรวมดีอยู่ค่ะ จากจุดชมวิวจะเห็นแม่น้ำกว้างงงงงงง ลมพัดเย็นๆ
นอนเล่นบนสนามหญ้าได้ชิลล์ๆ เลยล่ะค่ะ




เราอ้อยอิ่ง ถ่ายรูปเล่นอยู่ที่ป้อมปี่อยู่พักใหญ่ค่ะ (คือเสียไปแล้ว 110 บาทไง น้ำตาจะไหล T^T)
แต่ก็คุ้ม เพราะบรรยากาศดี ธรรมชาติ ลมเย็น ชิลล์เฟร่อออออเลยเธ๊อออ !

เป้าหมายต่อไป คือ ที่พักที่แรกของคืนนี้ ซึ่งเราได้ทำการจองไว้ก่อนแล้ว
Haiku Guesthouse
Tel: 087 519 9150
Rate: 700 Baht/night (2 Persons)
ห้องพัดลม มีเครื่องทำน้ำอุ่น ไม่รวมอาหารเช้า



ตอนแรกเห็นพัดลมแล้วก็คิดว่า . . คืนนี้ร้อนแน่ ดูพัดลมน่าจะไม่เต็มใจหมุนให้เราเป็นแน่แท้
แต่ผิดคาด เย็นเหมือนเปิดแอร์จ้าาาา ตอนกลางคืนอากาศดี๊ดี > <
หมายเหตุ: เตียงนี้ไม่เหมาะสำหรับทำกิจกรรมใดๆ นะคะ ขอเตือน ! เพราะทั้งเตียงและพื้น คือ ยวบยาบ > <


ในห้องมีโซนตู้เสื้อผ้าให้วางข้าวของด้วย


ห้องน้ำโดยรวมถือว่า กว้างขวางงงงง อาบได้สะดวกสบาย
มีอ่างล้างหน้า พร้อมกระจก


บริเวณส่วนกลาง มีโต๊ะ เก้าอี้ เบาะ ให้นั่งเล่นชิลล์ๆ




สำหรับ Haiku Guesthouse จะไม่ติดแม่น้ำ จึงไม่เห็นวิวแม่น้ำ แต่ก็ไม่ใกล้ไม่ไกล
สามารถเดินไปสะพานมอญได้ หรือจะเช่าจักรยาน/มอเตอร์ไซค์ในละแวกนั้นขี่เล่นก็ได้ค่ะ
โดยรวมแล้ว สำหรับเรา ที่นี่ค่อนข้างโอเค และได้ข่าวว่า เค้าจะปิดปรับปรุงสิ้นเดือนนี้
โฉมใหม่ .. พื้นหรือบันไดน่าจะแข็งแรงขึ้นค่ะ > <



เช้านี้ จะมีพระมายืนรออยู่บริเวณสะพานมอญ และมีอาหารใส่บาตรและดอกไม้ขายอยู่ทั้ง 2 ฝั่งของสะพานมอญค่ะ

จากภาพ กับข้าวใส่บาตรชุดละ 30 บาท



และมื้อเช้าของวันนี้ ร้านอยู่ตรงที่ใส่บาตรเลยค่ะ . .



จากนั้น เราก็กลับไปนอนสลบที่ Haiku ต่อ เนื่องจาก บรรยากาศตอนเช้า อากาศดีเว่อวัง
นอนเป่าพัดลมในกระท่อมไม้ไผ่ . . หลับยาวจนถึง 9 โมง ก็ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมเช็คเอาท์
และแพลนไว้ว่า จะไปนั่งเรือชมเมืองบาดาล วัดใต้น้ำ บลาๆๆ ตามสเต็ป

ราคาเหมาเรือ มีหลายราคา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการค่ะ
สำหรับเจ้าที่เราใช้บริการ สิริรวม 3 วัด ในราคา 400 บาท (เนื่องจากไม่มีคนอื่นให้หารด้วยอยู่แถวนั้นเลย จำเป็นต้องเหมา)
ราคาเต็ม 600 บาท !!


วัดแรกเป็น วัดวังก์วิเวการามเก่า . .


พอเรือไปจอดเทียบท่าปุ๊บก็จะมีเด็กน้อยวิ่งมาขายดอกไม้ไหว้พระให้เรา ในราคา กำละ 10 บาท
พร้อมกับไกด์เด็กที่จะเป๊ะเรื่องประวัติของวัด (นางบอกว่า นางอ่านมา จำแม่นจริงๆ) คอยพาเราไปตามจุดต่างๆ พร้อมอธิบาย



สำหรับวัดนี้ ในช่วงนี้ น้ำลง เราสามารถเดินชมวัดได้
แต่ไกด์เด็กบอกว่า ช่วงที่น้ำขึ้นนั้น วัดบริเวณที่เราเห็นนี้จะจมอยู่ใต้น้ำ
ได้ยินแบบนั้น เรารู้สึกเหมือน เรากำลังดำน้ำอยู่เลยทีเดียว > <


ก้อนหินและอิฐที่เรียงตามแนวตั้งนี้ ไกด์เด็กบอกว่า เชื่อกันว่า ใครก่อได้สูงมาก แปลว่ามีบุญมาก


วัดที่สอง คือ วัดสมเด็จ (เก่า) อยู่ตรงข้ามกับเมืองบาดาล หรือวัดวังก์วิเวการาม
วัดนี้ ผู้ให้บริการเรือบอกว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่เปิดให้เข้าชมพื้นที่ดังกล่าวค่ะ


จากนั้น วัดสุดท้ายคือ วัดศรีสุวรรณ (เก่า)
วัดนี้ จมน้ำเหลือแค่เท่าที่เห็นในภาพเลยค่ะ


จากนั้น เรือก็จะพาเรากลับมาส่งที่เดิม
หรือถ้าอยากลงตรงไหนก็แจ้งเค้าได้ค่ะ

ล่องเรือเสร็จก็ไปวัดวังก์วิเวการาม และเจดีย์พุทธคยาต่อ
2 ที่นี้อยู่ตรงข้ามกันเลย คือเป็นแยกขวา และแยกซ้าย ตามแผนที่ในรูปแรกเลยค่ะ

วัดวังก์วิเวการาม





เจดีย์พุทธคยา



จากนั้น ประมาณบ่าย 2 โมงแล้ว เราเลยคิดว่า ไปเช็คอินเข้าที่พักดีกว่า
ตอนแรกกะว่าจะไปด่านเจดีย์ 3 องค์ และเดินเล่นซื้อของฝั่งพม่า
แต่เปลี่ยนใจ เพราะอากาศตอนกลางวัน ร้อนมากกกกกกกกกกก เพลียค่ะ พูดเลย !

ที่พักคืนที่ 2 นี้เราจองที่ Coffee Berry ไว้ค่ะ
Tel. :084 802 9811
Website : http://www.coffeeberrysangklaburi.com/
Rate : 700 Baht/night ห้องแอร์ มีน้ำอุ่น และ Wifi
วันที่โทรมาจอง เหลือห้อง Moon ห้องเดียว




ข้างหน้าเป็นร้านกาแฟเล็กๆ เหมือนกับ Haiku เลย


แต่ทีเด็ดของห้องพักที่นี่ เราชอบตรงที่มีห้องน้ำแบบ Open-air เก๋อ่าาาา




บรรยากาศภายในที่พัก น่ารักมากค่ะ
มีมุมเก้าอี้เล็กๆ น่ารักๆ เยอะแยะ ดูใส่ใจรายละเอียด
แต่เราว่า บางทีก็ดูคับแคบไปนิด เนื่องจากใช้ทุกพื้นที่อย่างเต็มที่เลย > <






คืนที่เรานอน . . ได้ยินเสียงตุ๊กแกดังมากตลอดคืน T^T
ดังเหมือนอยู่ในห้องเลย แอบกลัวเล็กน้อย > <

พอเช็คอินเข้าที่พักเสร็จ ก็นอนพัก ด้วยความเพลียกับอากาศช่วงกลางวัน
และตั้งใจออกไปเก็บภาพที่สะพานมอญตอน 6 โมงเย็นค่ะ

บรรยากาศที่สะพานมอญในตอนเย็น คือ ดีงาม ลมพัดเย็นๆ แสงอาทิตย์สะท้อนลงในแม่น้ำ
เป็นภาพที่ต้องเห็นด้วยตาตัวเอง ชิลล์มากอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ ค่ะ . . เราติดใจมากกับบรรยากาศ ณ สะพานมอญตอนเย็น







สะพานไม้บวบ ก็เวิร์กสุดๆ
ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวมอญ และเด็กๆ ที่มาเล่นน้ำ
สุขใจ ใครจะรู้ เวลาเดินไปอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ





ช่วงที่เราไป สังขละมีเทศกาลอาหาร 5 สัญชาติตรงถนนคนเดินพอดี ซึ่งปกติ ถนนคนเดินจะมีคืนวันเสาร์
เราก็ไปหาอะไรกินที่นั่นทั้งคืนวันศุกร์ และวันเสาร์เลย

จากนั้นก็กลับที่พัก หลับนอน พักผ่อนกายา หลังจากสูดโอโซนที่สะพานมอญมาจนชุ่มปอดแล้ว : ))



หวังว่า กระทู้นี้อาจมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนเที่ยว หรือสนใจจะมาเที่ยวสังขละบุรี ดินแดนที่เวลาเดินไปอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ
หากข้อมูลใดผิดพลาด เราต้องขออภัยด้วยนะคะ มือใหม่อยากรีวิวจริงๆ > <

บ๊ายยยยยยยยยยยย