สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวพันทิพ กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ผมอยากมาเล่าบันทึกการท่องเที่ยวของผมกับภรรยาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันครับ
การไปเกาหลีครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 ของผม เป็นการไปเพื่อรื้อฟื้นความหลัง (เคยไป Honeymoon ที่เกาหลี) และไปเก็บตกสถานที่ ที่อยากจะไป แต่คราวก่อนไม่มีโอกาสได้ไป เพราะผมเดินทางไปกับทัวร์
สถานที่ 8,000 ก้าวที่ผมได้ไปเยือน
1. Naksan Park, Seoul
2. ตลาดปลา Noryangjin, Seoul
3. Bukchon Hanok Village, Seoul
4. Samcheongdong-gil, Seoul
5. Garosu-gil, Seoul
6. Haneul Park, Seoul
7. Bukhansan National Park, Uijeongbu
8. เกาะนามิ, Gapyeong
9 . Seoraksan National park, Sokcho
ก่อนก้าวไปด้วยกัน ผมแนะนำตัวก่อนครับ ผมมีเพจบันทึกการท่องเที่ยวเล็กๆ ของผม
>>>>>
https://www.facebook.com/walktalktrip <<<<<
ถ้าท่านใดชอบการบันทึกในแบบของผม ติดตามกันได้นะครับ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รู้จักกัน : ))
ขอก้าวใหญ่ๆ ไปขึ้นเขาก่อนนะครับ ไป Seoraksan กัน : ))
Seoraksan
เป้าหมายหลักของการมาเที่ยวเกาหลีครั้งนี้ คงจะต้องบอกว่ามาปีนเขาชมใบไม้แดงที่นี่ ยอดเขา Ulsanbawi อุทยานแห่งชาติ Seoraksan
ผมออกเดินทางด้วยรถบัสจากสถานีรถบัสใน Seoul แต่เช้า (6 โมง) มาถึงที่เมือง Sokcho ราวๆ 9 โมง
และนั่งรถประจำทางต่อไปยังทางเข้าอุทยานฯ อีกครึ่ง ชม. ทางเข้าอุทยานนั้นรถติดหนักมาก (ขนาดมาถึงเช้า)
ผมแนะนำถ้าใครมาที่นี่ช่วงใบไม้แดง นอนที่เมือง Sokcho สะดวกกว่า
แต่เหตุที่ผมไม่นอน เพราะอยากจะเลือกวันที่ฟ้าเปิดมากที่สุด โดยดูพยากรณ์ล่วงหน้า 1 วัน
เส้นทางที่ผมเลือกนี้ เป็นเส้นทางการปีนเขาที่ทางอุทยานฯ ให้ระดับความยากไว้ที่ระดับ B
ซึ่งสำหรับผมแล้ว มันโหดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เนื่องจากไม่ค่อยได้ปีนเขา และไม่มีประสบการณ์การปีนเขามาก่อน
ทางขึ้นเริ่มด้วยเส้นทางเดินที่ไม่ชันมากนัก ตลอดเส้นทางจะมีธารน้ำเล็กๆ หรือไม่ก็จุดที่ให้นั่งพักชมวิวตลอดทาง
ใบไม้ช่วงตีนเขา เริ่มเปลี่ยนสีสวยงาม มีจุดพักเป็นร้านขายอาหาร - เครื่องดื่ม 2 ร้านระหว่างเส้นทาง
หลังจากเดินขึ้นมาเรื่อยๆ เส้นทางก็จะเริ่มโหดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความชัน และจะเริ่มเปลี่ยนเป็นขั้นบันใดหิน
และในที่สุดก่อนที่จะถึงยอดเขา จะเป็นบันใดทางเดินที่ทำจากยาง ซึ่งเว้นระยะไว้ได้แย่มาก (เข้าใจใช่มั้ยครับ ว่า 2 ขั้นต้องใช้ 3 ก้าว)
ซึ่งถ้าใครมาถึงจุดนี้แล้วเหนื่อย หรือรู้สึกว่าเข่าจะหลุดแล้ว แนะนำให้นั่งพักซักครู่ แล้วกลับลงข้างล่างได้เลยครับ ไม่ต้องไปต่อแล้ว เพราะจากจุดนี้ไปถึงยอดใช้แรงเยอะกว่าจากตีนเขาขึ้นมาถึงจุดนี้อีก ฮ่าๆ
เมื่อมาถึงยอด ก็รู้สึกหายเหนื่อยเลยครับ วิวสวยมาก ใบไม้บนยอดเขาเป็นช่วงพีค ผู้คนด้านบนก็ยังไม่เยอะมาก เนื่องจากผมเดินทางมาแต่เช้า (แต่กว่าจะถึงยอดก็เที่ยง)
ขาลงผมเจอคุณลุงคุณป้าเกาหลีมากมาย ไม่อยากจะบอกว่าลุงป้าพวกนี้ แข็งแรงสุดๆ แก่แล้ว ยังวิ่ง.....ครับเค้าวิ่งขึ้นเขากัน และวิ่งลงด้วยครับ แรงเยอะจริงๆ แถมเปิดวิทยุพกพา เพลงลูกทุ่งเกาหลีตลอดทางกล่อมเกลาจิตใจชาวไทย 2 คนเป็นอย่างยิ่ง
ตลอดเส้นทางขาลงเนื่องด้วยเป็นเวลาเที่ยง จึงเจอคุณลุงคุณป้า นำข้าวกล่องมานั่งปิกนิกกัน
ยิ่งเดินลงยิ่งเห็นว่าถ้าจะมาปีนเขา ต้องมาแต่เช้า เนื่องจากคนขึ้นเขาเยอะมากๆ และทางด้านล่างมีคนเยอะ และรถติดหนักมากกว่าตอนขามาเสียอีก
ผมเลยเลือกนั่งรถแทกซี่กลับไปยังสถานีรถบัส เนื่องจากคิวขึ้นรถเมล์ยาวมาก และรถติดจนไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ (จริงๆ คือไม่ไหวแล้ว) ฮ่าๆๆ
ต่อไปเดี๋ยวไปเข้าเมืองกันครับ ต่อกันที่ Seoul
8 วัน 8,000 ก้าว : Taste & Town Around Seoul
การไปเกาหลีครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 ของผม เป็นการไปเพื่อรื้อฟื้นความหลัง (เคยไป Honeymoon ที่เกาหลี) และไปเก็บตกสถานที่ ที่อยากจะไป แต่คราวก่อนไม่มีโอกาสได้ไป เพราะผมเดินทางไปกับทัวร์
สถานที่ 8,000 ก้าวที่ผมได้ไปเยือน
1. Naksan Park, Seoul
2. ตลาดปลา Noryangjin, Seoul
3. Bukchon Hanok Village, Seoul
4. Samcheongdong-gil, Seoul
5. Garosu-gil, Seoul
6. Haneul Park, Seoul
7. Bukhansan National Park, Uijeongbu
8. เกาะนามิ, Gapyeong
9 . Seoraksan National park, Sokcho
ก่อนก้าวไปด้วยกัน ผมแนะนำตัวก่อนครับ ผมมีเพจบันทึกการท่องเที่ยวเล็กๆ ของผม
>>>>> https://www.facebook.com/walktalktrip <<<<<
ถ้าท่านใดชอบการบันทึกในแบบของผม ติดตามกันได้นะครับ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รู้จักกัน : ))
ขอก้าวใหญ่ๆ ไปขึ้นเขาก่อนนะครับ ไป Seoraksan กัน : ))
Seoraksan
เป้าหมายหลักของการมาเที่ยวเกาหลีครั้งนี้ คงจะต้องบอกว่ามาปีนเขาชมใบไม้แดงที่นี่ ยอดเขา Ulsanbawi อุทยานแห่งชาติ Seoraksan
ผมออกเดินทางด้วยรถบัสจากสถานีรถบัสใน Seoul แต่เช้า (6 โมง) มาถึงที่เมือง Sokcho ราวๆ 9 โมง
และนั่งรถประจำทางต่อไปยังทางเข้าอุทยานฯ อีกครึ่ง ชม. ทางเข้าอุทยานนั้นรถติดหนักมาก (ขนาดมาถึงเช้า)
ผมแนะนำถ้าใครมาที่นี่ช่วงใบไม้แดง นอนที่เมือง Sokcho สะดวกกว่า
แต่เหตุที่ผมไม่นอน เพราะอยากจะเลือกวันที่ฟ้าเปิดมากที่สุด โดยดูพยากรณ์ล่วงหน้า 1 วัน
เส้นทางที่ผมเลือกนี้ เป็นเส้นทางการปีนเขาที่ทางอุทยานฯ ให้ระดับความยากไว้ที่ระดับ B
ซึ่งสำหรับผมแล้ว มันโหดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เนื่องจากไม่ค่อยได้ปีนเขา และไม่มีประสบการณ์การปีนเขามาก่อน
ทางขึ้นเริ่มด้วยเส้นทางเดินที่ไม่ชันมากนัก ตลอดเส้นทางจะมีธารน้ำเล็กๆ หรือไม่ก็จุดที่ให้นั่งพักชมวิวตลอดทาง
ใบไม้ช่วงตีนเขา เริ่มเปลี่ยนสีสวยงาม มีจุดพักเป็นร้านขายอาหาร - เครื่องดื่ม 2 ร้านระหว่างเส้นทาง
หลังจากเดินขึ้นมาเรื่อยๆ เส้นทางก็จะเริ่มโหดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความชัน และจะเริ่มเปลี่ยนเป็นขั้นบันใดหิน
และในที่สุดก่อนที่จะถึงยอดเขา จะเป็นบันใดทางเดินที่ทำจากยาง ซึ่งเว้นระยะไว้ได้แย่มาก (เข้าใจใช่มั้ยครับ ว่า 2 ขั้นต้องใช้ 3 ก้าว)
ซึ่งถ้าใครมาถึงจุดนี้แล้วเหนื่อย หรือรู้สึกว่าเข่าจะหลุดแล้ว แนะนำให้นั่งพักซักครู่ แล้วกลับลงข้างล่างได้เลยครับ ไม่ต้องไปต่อแล้ว เพราะจากจุดนี้ไปถึงยอดใช้แรงเยอะกว่าจากตีนเขาขึ้นมาถึงจุดนี้อีก ฮ่าๆ
เมื่อมาถึงยอด ก็รู้สึกหายเหนื่อยเลยครับ วิวสวยมาก ใบไม้บนยอดเขาเป็นช่วงพีค ผู้คนด้านบนก็ยังไม่เยอะมาก เนื่องจากผมเดินทางมาแต่เช้า (แต่กว่าจะถึงยอดก็เที่ยง)
ขาลงผมเจอคุณลุงคุณป้าเกาหลีมากมาย ไม่อยากจะบอกว่าลุงป้าพวกนี้ แข็งแรงสุดๆ แก่แล้ว ยังวิ่ง.....ครับเค้าวิ่งขึ้นเขากัน และวิ่งลงด้วยครับ แรงเยอะจริงๆ แถมเปิดวิทยุพกพา เพลงลูกทุ่งเกาหลีตลอดทางกล่อมเกลาจิตใจชาวไทย 2 คนเป็นอย่างยิ่ง
ตลอดเส้นทางขาลงเนื่องด้วยเป็นเวลาเที่ยง จึงเจอคุณลุงคุณป้า นำข้าวกล่องมานั่งปิกนิกกัน
ยิ่งเดินลงยิ่งเห็นว่าถ้าจะมาปีนเขา ต้องมาแต่เช้า เนื่องจากคนขึ้นเขาเยอะมากๆ และทางด้านล่างมีคนเยอะ และรถติดหนักมากกว่าตอนขามาเสียอีก
ผมเลยเลือกนั่งรถแทกซี่กลับไปยังสถานีรถบัส เนื่องจากคิวขึ้นรถเมล์ยาวมาก และรถติดจนไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ (จริงๆ คือไม่ไหวแล้ว) ฮ่าๆๆ
ต่อไปเดี๋ยวไปเข้าเมืองกันครับ ต่อกันที่ Seoul