เรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้ เกี่ยวกับ เอเวอเรสส์

เอเวอเรส

บ้านของยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก
เนปาลเป็นที่ตั้งของ ยอดเขาเอเวอเรสต์ (Mount Everest) ซึ่งมีความสูงถึง 8,848.86 เมตร แต่ความสูงนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยทุกปีเนื่องจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก.

ไม่ใช่จุดที่สูงที่สุดจากแกนโลก
เอเวอเรสต์อาจเป็นภูเขาที่สูงที่สุดจากระดับน้ำทะเล แต่ภูเขา ชิมโบราโซ (Chimborazo) ในเอกวาดอร์ อยู่ไกลจากแกนโลกมากกว่าเนื่องจากรูปร่างของโลกที่ป่องบริเวณเส้นศูนย์สูตร.

ดินแดนของ 8 ใน 14 ยอดเขาสูงที่สุดในโลก
นอกจากเอเวอเรสต์แล้ว เนปาลยังมียอดเขาอื่นอีก 7 แห่งที่ติดอันดับ 14 ภูเขาที่สูงที่สุดในโลก

การปีนเขาเป็นรายได้สำคัญของประเทศ
อุตสาหกรรมการปีนเขาในเนปาลสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ โดยเฉพาะจากค่าธรรมเนียมการปีนเอเวอเรสต์.

ห้ามปีนเขาศักดิ์สิทธิ์บางแห่ง
ยอดเขามาชาปุชเร (Machapuchare) ถือว่าเป็นยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเนปาลห้ามปีน เนื่องจากเชื่อว่าเป็นที่ประทับของเทพเจ้า.

เทือกเขาที่มีประชากรสูงสุดในโลก
ชาวเนปาลอาศัยอยู่ในพื้นที่เทือกเขามากที่สุดในโลก เนื่องจากประเทศนี้มีพื้นที่กว่า 75% เป็นภูเขา ทำให้การใช้ชีวิตที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลเป็นเรื่องปกติ.

บ้านของ “ยัก” สัตว์บนความสูง
ยัก (Yak) ซึ่งเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของชาวเนปาล สามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 4,000 เมตร และถูกใช้ในการขนสัมภาระในพื้นที่ภูเขา.

เมืองที่ไม่มีรถยนต์
เมือง มานัง (Manang) ในเนปาลเป็นหนึ่งในเมืองที่ไม่มีรถยนต์วิ่งอยู่เลย ผู้คนจะเดินเท้าหรือใช้สัตว์ในการเดินทางเท่านั้น.

เนปาลมีหมู่บ้านที่สูงที่สุดในโลก
หมู่บ้าน "Khumjung" ซึ่งตั้งอยู่ที่ระดับความสูงกว่า 3,790 เมตร เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สูงที่สุดในโลก และเป็นที่ตั้งของโรงเรียนที่สร้างโดย Sir Edmund Hillary.

การขนส่งด้วยเฮลิคอปเตอร์ที่แพร่หลาย
ด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขา เฮลิคอปเตอร์จึงกลายเป็นวิธีการขนส่งสำคัญในพื้นที่ที่รถยนต์ไม่สามารถเข้าถึงได้.

มี "โซนแห่งความตาย"
เหนือระดับความสูง 8,000 เมตร เรียกว่า “โซนแห่งความตาย” เพราะร่างกายมนุษย์ไม่สามารถปรับตัวให้ใช้ชีวิตได้ในระยะยาว.

การปีนเขามีค่าธรรมเนียมสูง
นักปีนเขาต้องจ่ายค่าธรรมเนียมมากกว่า 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 400,000 บาท) เพื่อขออนุญาตปีนยอดเขา.

Sir Edmund Hillary และ Tenzing Norgay
ทั้งคู่เป็นคนแรกที่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สำเร็จในวันที่ 29 พฤษภาคม 1953.

จุดเริ่มต้นของการปีนเขา
เส้นทางปีนเขาที่นิยมเริ่มจากฝั่งเนปาลที่เมือง ลุกลา (Lukla) ซึ่งมีสนามบินที่ถูกเรียกว่าอันตรายที่สุดในโลก.

ความแตกต่างของสองเส้นทางหลัก
เส้นทางฝั่งเนปาลเป็นที่นิยมมากกว่า เนื่องจากปลอดภัยกว่าและมีวิวที่สวยงามกว่าฝั่งทิเบต.

Basecamp เป็นเหมือนเมืองเล็กๆ
ศูนย์ฐานของเอเวอเรสต์มีร้านอาหาร คลินิก และแม้กระทั่ง Wi-Fi สำหรับนักปีนเขา.

การฝึกในห้องเย็น
นักปีนเขาหลายคนฝึกในห้องจำลองความหนาวและออกซิเจนต่ำ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโซนแห่งความตาย.

มีช่วงปีนเขาเพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อปี
ฤดูกาลที่เหมาะสมสำหรับการปีนเขาคือช่วงเดือนพฤษภาคมและตุลาคม เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้อต่อการปีนเขา.

การปีนเอเวอเรสต์ใช้เวลาหลายสัปดาห์
การปีนเอเวอเรสต์จากฐานถึงยอดใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับระดับความสูง.

มีการบันทึกเวลาปีนเร็วที่สุด
Kami Rita Sherpa จากเนปาล ปีนยอดเขาเอเวอเรสต์เร็วที่สุดในเวลาเพียง 10 ชั่วโมง 56 นาที ในปี 2019

มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน
มีนักปีนเขามากกว่า 300 คน ที่เสียชีวิตระหว่างการปีนเอเวอเรสต์ และร่างกายส่วนใหญ่ยังคงอยู่บนภูเขา.

การเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากหิมะถล่ม
หิมะถล่มเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตบนเอเวอเรสต์ รองลงมาคืออาการป่วยจากระดับความสูง.


นักปีนเขาชาวเชอร์ปาเป็นกำลังสำคัญ
ชาวเชอร์ปามีบทบาทสำคัญในการช่วยนักปีนเขา พวกเขามีความสามารถในการปรับตัวกับระดับความสูงได้ดีกว่าคนทั่วไป.


ลมหายใจสุดท้ายของนักปีนเขา
ในโซนแห่งความตาย ออกซิเจนในอากาศลดลงเหลือเพียง 33% ของระดับน้ำทะเล ทำให้นักปีนเขาเหนื่อยล้าและเสี่ยงต่อการเสียชีวิต.

พกออกซิเจนเสริม
นักปีนเขาส่วนใหญ่นำถังออกซิเจนเสริมขึ้นไป แต่มีบางคนที่พิชิตยอดเขาโดยไม่ใช้ออกซิเจน เช่น Reinhold Messner.

มีการฝึกซ้อมจำลองก่อนปีนเขา
นักปีนเขาส่วนใหญ่ฝึกซ้อมในห้องความดันต่ำหรือในภูมิประเทศที่คล้ายคลึงกับเอเวอเรสต์ก่อนเดินทางจริง.

มีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายมนุษย์
การปีนเอเวอเรสต์ทำให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง เช่น การสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อออกซิเจนต่ำ.

"ธงหลากสี" บนยอดเขา
บนยอดเอเวอเรสต์มักมี ธงทิเบต หลากสี ซึ่งเชื่อว่าเป็นการอธิษฐานและแสดงความเคารพต่อธรรมชาติ.

การทำความสะอาดเอเวอเรสต์
มีแคมเปญทำความสะอาดภูเขาเพื่อกำจัดขยะที่นักปีนเขาทิ้งไว้ ซึ่งรวมถึงถังออกซิเจนใช้แล้วและอุปกรณ์อื่นๆ.

ความเย็นสุดขั้ว
อุณหภูมิต่ำสุดบนยอดเขาเอเวอเรสต์สามารถลดลงถึง -60°C ในฤดูหนาว.

นักปีนเขาอายุน้อยที่สุด
Jordan Romero จากสหรัฐฯ พิชิตยอดเอเวอเรสต์ในปี 2010 ตอนอายุเพียง 13 ปี.

นักปีนเขาสูงวัยที่สุด
Min Bahadur Sherchan จากเนปาลพิชิตยอดเอเวอเรสต์ในปี 2013 ตอนอายุ 80 ปี.

นักปีนหญิงคนแรกที่พิชิตเอเวอเรสต์
Junko Tabei จากญี่ปุ่นเป็นผู้หญิงคนแรกที่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้ในปี 1975.


คามิ ริตา เชอร์ปา (Kami Rita Sherpa) เขาเป็นมัคคุเทศก์ชาวเชอร์ปาที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งเขาได้พิชิตยอดเขานี้ถึง 30 ครั้ง ทำลายสถิติของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
แรงบันดาลใจมาจากครอบครัว
พ่อของ Kami Rita เป็นหนึ่งในทีมเชอร์ปาที่ช่วย Sir Edmund Hillary และ Tenzing Norgay ในการสำรวจเอเวอเรสต์ครั้งแรกในปี 1953.
เริ่มต้นอาชีพในวงการปีนเขาเมื่อปี พ.ศ. 1992 โดยทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวที่ค่ายฐาน ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นมัคคุเทศก์เต็มตัว เขาพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ครั้งแรกในปี 1994 และนับตั้งแต่นั้นมา เขาได้ปีนยอดเขานี้เกือบทุกปี
นอกจากเอเวอเรสต์แล้ว คามิ ริตา ยังได้พิชิตยอดเขาที่มีความสูงกว่า 8,000 เมตรอื่น ๆ อีกหลายแห่ง เช่น โชอยู (Cho-Oyu) 8 ครั้ง, โลตเซ (Lhotse) 1 ครั้ง, และ เคทู (K2) 1 ครั้ง รวมทั้งหมดเขาได้พิชิตยอดเขาที่สูงกว่า 8,000 เมตรถึง 40 ครั้ง
การปีนเขาโดยไม่ใช้ออกซิเจนเสริม
แม้ส่วนใหญ่จะใช้ออกซิเจนเสริมในการปีนเขา แต่ Kami Rita ยังเคยพิชิตยอดเขาโดยไม่ใช้ออกซิเจนเสริมอีกด้วย.
การบันทึกสถิติโลก
สถิติของเขาถูกบันทึกลงใน Guinness World Records หลายครั้งสำหรับการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์มากที่สุด.

ความเร็วลมสุดขั้ว
ความเร็วลมบนยอดเขาเอเวอเรสต์อาจสูงถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในบางช่วงเวลา.

นักปีนเขาในอดีตเชื่อว่ามี "ปีศาจน้ำแข็ง"
ตำนานท้องถิ่นเล่าว่ามี “เยติ” หรือมนุษย์หิมะที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา.

การแต่งงานบนยอดเขา
มีคู่รักบางคู่ปีนขึ้นไปแต่งงานบนยอดเขาเอเวอเรสต์เพื่อความโรแมนติกที่ไม่เหมือนใคร.

มีการปั่นจักรยานลงจากเอเวอเรสต์
ในปี 2011 นักผจญภัยชาวอังกฤษ Robbie Phillips ได้ปั่นจักรยานเสือภูเขาลงจากเอเวอเรสต์ เป็นการท้าทายครั้งประวัติศาสตร์.

สายการบินใช้เอเวอเรสต์ในการฝึกนักบิน
สายการบินบางแห่งใช้เส้นทางบินผ่านเอเวอเรสต์เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกนักบินเพื่อให้เรียนรู้การบินในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง.

มีสัตว์เล็กอาศัยอยู่
แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว แต่มีสัตว์เล็กอย่าง แมงมุมกระโดดหิมะ (Euophrys omnisuperstes) ที่สามารถอาศัยอยู่ใกล้ยอดเขาได้.


หิมะบนเอเวอเรสต์กำลังละลาย
การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศส่งผลให้หิมะบนเอเวอเรสต์บางส่วนเริ่มละลาย เผยให้เห็นร่างของนักปีนเขาที่ถูกแช่แข็งไว้ก่อนหน้านี้.

การเผาศพบนยอดเขา
ในบางกรณี ร่างของนักปีนเขาที่เสียชีวิตถูกเผาบนเอเวอเรสต์เพื่อป้องกันการปนเปื้อนในพื้นที่.

นักปีนเขาคนแรกที่เสียชีวิตบนเอเวอเรสต์
นักปีนเขาคนแรกที่เสียชีวิตบนเอเวอเรสต์คือ George Mallory ในปี 1924 และศพของเขาถูกพบในปี 1999.

การค้นพบศพที่เก่าแก่ที่สุดบนเอเวอเรสต์
ในปี 2024 ทีมสำรวจเชื่อว่าพบศพของ แอนดรูว์ เออร์ไวน์ นักปีนเขาชาวอังกฤษที่หายไปตั้งแต่ปี 1924 หากยืนยันได้ เขาอาจเป็นหนึ่งในคนแรกที่พิชิตยอดเขานี้ก่อน Edmund Hillary.

มีเส้นทางปีนที่ยังไม่ได้สำรวจ
แม้จะมีเส้นทางปีนเขาหลายแห่ง แต่ยังคงมีบางเส้นทางที่ยังไม่ได้ถูกสำรวจเพราะอันตรายเกินไป.

การปีนเขาเอเวอเรสต์ส่งผลต่อร่างกาย
การอยู่ในโซนแห่งความตาย (ระดับความสูง 8,000 เมตร) ทำให้ร่างกายสูญเสียกล้ามเนื้อและน้ำหนักอย่างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายต้องทำงานหนักเพื่อหาออกซิเจน.

แสงอาทิตย์บนเอเวอเรสต์อันตราย
แสงอาทิตย์บนยอดเขาสามารถทำให้ผิวหนังไหม้อย่างรุนแรง เนื่องจากชั้นบรรยากาศบางเบาและการสะท้อนของแสงบนหิมะ.

มี "พื้นที่สำหรับการพักร่าง"
นักปีนเขาส่วนใหญ่มักพักที่ "Camp 4" ซึ่งเป็นจุดพักสุดท้ายก่อนปีนไปยังยอดเขา

การปีนเอเวอเรสต์ในตอนกลางคืน
นักปีนเขาส่วนใหญ่มักเริ่มปีนจาก Camp 4 ไปยังยอดเขาในตอนกลางคืน เพื่อให้ถึงยอดในตอนเช้าและลดความเสี่ยงจากพายุหิมะ.

เส้นทาง "Death Zone" เป็นเขาวงกตน้ำแข็ง
ใน Death Zone นักปีนเขาต้องเผชิญกับก้อนน้ำแข็งและหินที่ตกลงมา รวมถึงทางเดินแคบที่เหมือนเขาวงกต.
พื้นที่ Death Zone เต็มไปด้วยร่างนักปีนเขา
โซนแห่งความตาย (Death Zone) ซึ่งอยู่เหนือระดับ 8,000 เมตร เป็นบริเวณที่พบศพมากที่สุด เพราะสภาพแวดล้อมสุดขั้วทำให้การช่วยเหลือแทบเป็นไปไม่ได้.

บันไดฮิลลารี"
บนเส้นทางปีนเอเวอเรสต์ มี "บันไดฮิลลารี" ซึ่งตั้งชื่อตาม Sir Edmund Hillary ใช้สำหรับปีนหน้าผาสูงชัน เป็นจุดที่น่ากลัวและท้าทายมากที่สุดแห่งหนึ่ง..

จุดตั้งแคมป์ "South Col" ที่น่ากลัว
จุดตั้งแคมป์ "South Col" ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 7,900 เมตร มักถูกเรียกว่า "ประตูสู่นรก" เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและลมแรง.

นักปีนเขาที่สูญหายกลายเป็น "จุดอ้างอิง"
ร่างของนักปีนเขาที่เสียชีวิตถูกใช้เป็นจุดอ้างอิง เช่น "Green Boots" ซึ่งเป็นนักปีนเขาที่ร่างยังคงอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง. แสดงว่าคุณใกล้ถึงยอดเขาแล้ว
นอกจาก "Green Boots" แล้ว ยังมีร่างอื่นๆ ที่กลายเป็นจุดอ้างอิงสำหรับนักปีนเขา เช่น "Sleeping Beauty" และ "Rainbow Valley."

ร่างนักปีนเขาสามารถอยู่ในสภาพสมบูรณ์ได้นานนับสิบปี
สภาพอากาศที่เย็นจัดและน้ำแข็งบนเอเวอเรสต์ช่วยรักษาร่างของนักปีนเขาให้คงสภาพได้เหมือนถูกแช่แข็งไว้.

การค้นพบศพสร้างคำถามทางจริยธรรม
บางครั้งนักปีนเขาไม่สามารถช่วยชีวิตคนที่ตกอยู่ในอันตรายได้ เพราะการช่วยเหลืออาจทำให้ตัวเองเสี่ยงเสียชีวิตเช่นกัน.

การเผาศพบนยอดเขา
ในบางกรณี มีการเผาศพของนักปีนเขาบนเอเวอเรสต์เพื่อเป็นการลดภาระในการนำร่างลงจากภูเขาและเพื่อเคารพต่อธรรมชาติ.

ยอดเขาที่เป็นแหล่งรวมธงชาติและของที่ระลึก
บนยอดเขาเอเวอเรสต์เต็มไปด้วยธงชาติ, ภาพถ่าย, และของที่ระลึกที่นักปีนเขาทิ้งไว้เพื่อแสดงความสำเร็จ.

"จุดพิชิต" มีขนาดเล็กมาก
จุดยอดสุดของเอเวอเรสต์มีพื้นที่เพียงประมาณ 2 ตารางเมตร ซึ่งบางครั้งทำให้นักปีนเขาต้องรอคิวเพื่อขึ้นไปถ่ายรูป.

การจราจรบนยอดเขา: ในบางฤดูกาล มีนักปีนเขาจำนวนมากที่พยายามพิชิตยอดเอเวอเรสต์พร้อมกัน ทำให้เกิดการจราจรติดขัดบนเส้นทางสู่ยอดเขา



ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้น้ำแข็งบนยอดเขาเอเวอเรสต์ละลาย เผยให้เห็นร่างของนักปีนเขาที่เสียชีวิตในอดีตมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) กองทัพเนปาลได้ดำเนินการทำความสะอาดพื้นที่บนยอดเขาเอเวอเรสต์ พบขยะสะสมกว่า 11 ตัน และร่างของนักปีนเขา 4 ร่าง พร้อมกับโครงกระดูกอีก 1 โครง
นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 (ค.ศ. 2024) ทีมงานจากเนชั่นแนล จีโอกราฟิกได้ค้นพบร่างที่คาดว่าเป็นของนายแอนดรูว์ เออร์ไวน์ นักปีนเขาชาวอังกฤษที่หายสาบสูญไปเมื่อปี พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) ขณะพยายามพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ การค้นพบนี้อาจเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การปีนเขา หากพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาเป็นคนแรกที่พิชิตยอดเขานี้สำเร็จ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่