อุทาหรณ์มหากาพย์ว่าด้วยเรื่องของจมูกเจ็บซ้ำเจ็บซ้อนเจ็บซ่อนเงื่อน(ต้องอ่าน)

ก่อนอื่นขอแนะนำตัวแบบคร่าวๆนะค่ะ คือดิฉันเป็นสมาชิกใน Pantip ก็หลายเพลาแล้วแต่ก็ไม่ได้ตั้งกระทู้ที่เป็นกิจลักษณะสักเท่าไหร่ส่วนใหญ่จะมาหาข้อมูลจากกระทู้ของเพื่อนๆมากกว่า วันนี้ที่มาตั้งกระทู้ว่าด้วยเรื่องของจมูกที่ดิฉันไปทำการเสริมมาและก่อปัญหามากมายหลายสิ่งโดยต้นกำเนิดมาจากความงกและโง่เง่าของดิฉันเอง จะด่าดิฉัน จะซ้ำเติมก็ได้แต่ดิฉันว่าอย่าดีกว่านะค่ะเพราะดิฉันก็ด่าตัวเองมามากแล้ว แรกเริ่มเดิมที่เป็นคนมีดั้งอยู่แล้วค่ะ แต่ก็เหมือนชะนีทั่วๆไปไม่พอใจในสิ่งที่มี กิเลสมาก อยากสวยเห็นคนอื่นมีอยากมีมั่ง เป็นไงละ สาแก่ใจอีช้อยมั้ย? ย้อนไปเมื่อประมาณ 4-5 ปี การฉีดฟิลเลอร์กะหมาเอ้ยหมอกระเป๋าเป็นสิ่งที่ฮิตมาก เพื่อนๆรอบตัวดิฉันฉีดกันทั้งนั้นเรียกว่า 100 ละ 80 เลยทีเดียวบางคนฉีดทั้งตัวฉีดทั้งหน้าแต่ไม่เห็นว่าพวกนางจะเป็นอะไรกันไม่มีเอฟเฟคใดๆนางๆก็ใช้ชีวิตกันดี ส่วนตัวดิฉันเป็นคนกลัวการศัลยกรรม(แหมฟังดูสตอดีแท้)แต่ก็จริงในเวลานั้นคือยังไม่กล้าที่จะเสริมซิลิโคน พอเห็นคนอื่นเค้าฉีดกันแล้วสวยดีเลยลองบ้าง ฉีดอยู่ประมาณ 4-5 ครั้ง(ถ้าจำไม่ผิด)คือที่ฉีดบ่อยเพราะมันยังไม่ได้ทรงพอฉีดได้ทรงแล้วก็เลิกฉีด เพราะเปลืองตังด้วย ฉีดแรกๆสวยมากมาย(ในความรู้สึกของตัวเอง)หน้าดูเป๊ะขึ้น ผ่านไป 6-8 เดือนหน้าที่ว่าเป๊ะก็เริ่มจะแป๊ะแล้วละค่ะ จมูกที่ได้ทรงเริ่มดูใหญ่ขึ้น เอาละซิงานงอก ความกังวลของชะนีวัยทองเริ่มมา เกิดดราม่ากับชีวิต ก็เลยรีบหาทางแก้ด่วนๆปรึกษาคนโน้นคนนี้ ดูรีวิวที่โน่นที่นี่ หาข้อมูลไป แต่ข้อมูลมันก็เยอะแยะมากมายเหลือเกินดูจนตาลาย สุดท้ายเอาที่รุ่นพี่เค้าแนะนำละกัน ตัดสินใจไปแก้และเสริมเลยทีนี้ที่คลีนิคแถวห้วยขวาง ตอนไปปรึกษาหมอก็คุยไปหลับกลางอากาศไปก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงยังจะเชื่อใจหมอ คงเป็นเพราะโง่เข้าขั้นแล้วตอนนั้นคือคิดว่าคลินิคนี้คงดี คนไข้เยอะ คุณหมอแทบไม่ได้พักผ่อน แกเลยง่วง (น่านนนนคิดไปได้โง่แท้เขางอกยาวเชียว) แก้รอบแรกเป็นการแก้โดยใช้ยาชา หมอทำไรมานี่รู้หมดได้ยินทุกอย่าง ก่อนทำบอกหมอว่าขอทรงหวานๆเกาหลีๆนะค่ะ(แก้ตอนนั้นจ่ายไป 25000) แต่สิ่งที่ได้คือทรงที่ใหญ่และทื่อ สูงจนจะตั้งฉากกับแกนโลกไอ้โด่งมันก็โด่งแต่ไหนละทรงเกาหลี กระเทยเกาหลียังดูดีกว่าดิฉัน ตั้งแต่นั้นก็ทนดราม่ามา 2 ปีกว่าๆกับจมูกทรงแมนๆเข้ากะเบ้าหน้าที่ใครๆก็ทักว่าสวยเหมือนกระเทย(แปลว่าสวยมากซินะ5555) ช่วง 2 ปีนั้นนอกจากทรงที่ไม่ชอบใจแล้วมันก็มีอาการสีนจมูกแดงอยู่บ้างแต่ไม่มาก จากนั้นด้วยความที่เราอยากแก้ให้มันสวยไม่อยากให้หน้ามันดูแข็งๆแบบนี้เลยตัดสินใจแก้อีก ทีนี้หาข้อมูลอีกละ เทียบหมอโน้นหมอนี้หมอไหนที่ว่าดีๆๆๆพอเทียบแล้วก็มีเคสหลุดทุกคน ไอ้เราก็กลัวไงถึงจะมีเคสหลุดอยู่บ้างแล้วมีใครบอกได้บ้างละเคสเหล่านั้นจะมาหลุดที่ดิฉันอีกคนหรือไม่ เลยตัดสินใจไปทำกะหมอท่านนึงที่คลีนิคแถวทองหล่อฝั่งตรงข้ามกะอเวนิวแถวๆนั้นเพราะดูรีวิวแล้วชอบทรงของแกมากแล้วก็ยังไม่เห็นรีวิวแย่ๆของแกเลยตัดสินใจทำทั้งๆที่แกเป็นคนที่มีบุคลิคที่ดูหยิ่งเอามากๆ ไม่พูดไรมาก หน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตร แต่เราคิดว่าแกคงเก่งจริงมั้งเลยไม่ว่าอะไรแกคิดเท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น เพราะเข้าใจว่าแก้มาแล้วรอบนี้แก้อีกก็คงแพงขึ้น อีกอย่างรอบนี้ทั้งแก้ ทั้งเสริม ตัดปีกและต่อปลายด้วยกระดูกหลังหูคือกะให้ดีที่สุดแล้วจะพอแล้วไม่เอาแล้ว ชีวิตนี้ทั้งหน้าทั้งตัวก็ทำแค่ดั้งนี่ละแต่ทำไมยังเคราะห์ซ้ำกำซัดแก้แล้วแก้อีกอยู่ได้อีคนที่ผ่าทั้งตัวมันไม่เห็นจะเป็นอะไรสวยวันสวยคืนกันได้ แค่คิดก็ #ร้องไห้หนักมาก  ซึ่งการแก้ครั้งที่ 2 นี้จ่ายไป 75000 หมอบอกว่าทำทั้งทีทำให้ดีไปเลย ถามหมอว่านู๋จะได้ทรงที่ต้องการมั้ยค่ะ เล็กไ ซอฟๆดูเป็นชะนีหน้าหวาน หมอบอกจะทำให้ดีที่สุด และแล้ว 75000 ก็ปลิวจากกระเป๋าไป การแก้ครั้งนี้ใช้ยาสลลบไม่รู้สึกใดๆทั้งสิ้นจนกระทั่งฟื้น รู้สึกตึงๆที่จมูกและเจ็บที่หลังหู เสร็จสรรพหมอก็ให้กลับบ้านพร้อมยาและใบนัด ผ่านไปจากวันที่ทำจนถึงวันนี้ก็ราวๆ 6 เดือน ทุกอย่างแย่ลงกว่าการแก้ครั้งแรก อาทิตแรกๆไปหาหมอบ่อยเพราะไปตัดไหมบ้าง เดือนแรกที่ทำมีอาการอักเสบจากการแพ้อาการบ้าง เพราะส่วนตัวเป้นภูมิแพ้อยู่แล้ว พอจามทีมันก็จะมีอาการบวมแดง บวมจนจมูกเบี้ยวเลย ซึ่งจริงๆเราพูดกะหมอตั้งแต่แรกๆแล้วว่าหมอค่ะนู๋ว่ามันเบี้ยว หมอก็บอกไม่เบี้ยว  ทั้งๆที่ใครๆก็ทักรวมถึงตัวเราก็ว่ามันเบี้ยว ทุกครั้งที่นัดมาดูอาการไม่มีอะไรมากนอกจากฉีดยาแก้อักเสบ ลดบวมและให้ยา แต่มันก็ไม่หายหลังๆเลยไม่ค่อยไปแต่กินยาแก้แพ้ทุกวันเพื่อไม่ให้มันจาม จนฟางเส้นสุดท้ายของคลีนิคนี้หมดลงเมื่อจมูกของเราเริ่มบวมและแดงอีก ซึ่งมีปัญหาต่อการทำงานมาก คือแต่งหน้าก็ไม่ช่วยอะไรให้ช่างแต่งหน้าแต่งก็ไม่หายมันแย่มาก ๆ เลยกลับไปหาหมอ ซึ่งก่อนจะไปก็ติดต่อกับพนง.ของทางคลีนิคที่ดูแลเรามาตั้งแต่แรกคือติดต่อไปถามเลยว่ามันเป็นแบบนี้อีกแล้ว หมายความว่าไง จะรับผิดชอบยังไง นางก็ถามว่าอยากจะแก้กับคุณหมอหรืออะไรให้บอกนางๆจะไปแจ้งกับคุณหมอ เราก็บอกไปตรงๆว่าขอโทษนะค่ะคุณคิดว่าดิฉันยังจะแก้กับทางคุณอีกเหรอค่ะ ในเมื่อตอนทำหมอบอกว่าจะทำให้ดีที่สุด แล้วถ้าดีที่สุดของหมอได้แค่นี้เลวร้ายขนาดนี้คิดว่าอยากจะแก้มั้ยค่ะ นางกฌบอกให้เข้าไปให้หมอดูอาการ ซึ่งดิฉันเองไ่อยากเข้าไปเท่าไหร่เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะเจอกับอะไร มันก็แค่การฉีดยาและให้ยาให้มันยุบ อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงอยากรู้ว่าแล้วตอนมันไม่บวมสวยมั้ย ตอบเลยไม่ ใหญ่กว่าตอนแก้ครั้งแรกอีก แถมมีอาการแดงบริเวณจมูกตลอด และก็ถึงวันที่นัดเข้าไปดูอาการ ระหว่างรอหมอก็มีพนง.มาถามๆคล้ายๆเดิมแหละว่าอาการเป็นยังไง เราก็โกรธ+เสียความรู้สึกก็บอกไปด้วยน้ำเสียงแข็งๆเหวี่ยงๆคือเป็นใครจะอารมณ์เย็นไหว 75000 แกสร้างดราม่าให้ชีวิตฉันหนักมากกกก นางก็ถามว่าจะให้ทำยังไงเราก็ตอบไปเหมือนที่เราตอบไปทางไลน์ตอนแรก นางบอกว่าขอโทษจริงๆเพราะตั้งแต่เปิดคลีนิคมาไม่เคยมีเคสแบบดิฉันเลย โอ้แม่เจ้าฉันควรดีใจมั้ย ที่หวยมาออกตรงฉัน สักพักหมอมา ก็มาดูจมูกแล้วก็อธิบายแบบเดิมๆว่าแพ้อากาศ จามละมันก็อักเสบ คือจะบอกว่าผิดที่ตูจาม ละตูอยากจามมั้ยตูแพ้อากาศ ตูกินยาแล้วแต่มันยังจาม ห้ามได้มั้ย เราเลยสวนกลับไปว่า ดิฉันสงสัยค่ะว่าแล้วทำไมตลอดระยะเวลาที่ดิฉันทำกับที่อื่นมาก่อนมาแก้กับคุณเป็นเวลา 2 ปีกว่าๆเนี่ยทำไมมันไม่เคยอักเสบ บวมแดงแบบนี้ทั้งๆที่ดิฉันก็จามเหมือนกัน คำตอบที่ได้ของหมอมันจี๊ดใจมาก หมอตอบว่า"ไม่รู้"โอ...........แม่เจ้าหมอไม่รู้แล้วตูจะถามใคร วินาทีนั้นพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไม่รู้จะด่าคำไหนเลยจริงๆ เ_งเอา 75000 ตูไปละตอบได้แค่ไม่รู้หราาาาา ดิฉันเก็บอาการแทบไม่อยู่ละสายตาจากหมอ มาจ้องที่โทรศัพท์กดโทรศัพท์ระงับอารมณ์แล้วคือโกรธมาก หมอยังจะพูดต่อว่า"จะคุยมั้ย ถ้าคัยก็มองหน้า แต่ถ้าจะมาโวยวายวีนเหวี่ยงก็ไม่ต้องคุย" โอ้โห.....ดอกที่ 2 นี่ทำน้ำตาไหลเลยคือโกรธคือร้องไห้ด้วยความโมโห นี่หรือคำพูดของคนเป็นหมอ ทำร้ายความรู้สึกกันมากๆ แกคิดว่าฉะนโดนแกทำขนาดนี้เป็นสภาพนี้ จ่ายไปตั้งเยอะหวังว่ามันจะดีแล้วออกมาเป็นแบบนี้นอกจากแกจะไม่คิดจะรับผิดชอบแล้วยังจะตอกย้ำให้ฉันรู้สึกโง่ที่ตัดสินใจทำกะแกอีก แค่คำพูดนั้นจบการสนทนาทุกอย่าง สิ่งที่คลีนิครับผิดชอบให้ก็แค่พาไปฉีดยาแล้วก็ลองเจาะจมูกดูเผื่อมันจะยุบแล้วก็ให้ยา แต่ปรากฏว่ามันก็ไม่ช่วยอะไรผ่านไป4-5วันมันก็เริ่ม จากวันนั้นคือไม่ติดต่อไปอีกเลยและขอเป็น 1 อุทาหรณ์ย้ำเตือนให้เพื่อนๆทุกคนนะค่ะว่าหมอสมัยนี้ยิ่งดังยิ่งชุ่ย ไร้จรรณยาบรรณกันเกือบทั้งนั้น(ที่พูดแบบนี้เพราะก็มีเพื่อนหลายคนที่เจอปัญหามาแล้วแต่ว่าจะเป็นหมอท่านไหนเท่านั้นแต่ก็มีบางส่วนที่โชคดีทำแล้วดี) จากวันนั้นก็อดรนทนได้ไม่นานถึงมันจะเริ่มยุบแต่ก็ไม่กลับไปสภาพที่เรียกว่าดีที่สุดแน่แล้วไม่อยากจะเสี่ยงต้องมาแก้ปัญหาเวลามันบวมอักเสบอีก คราวนี้ตัดสินใจทำโรงพยาบาลเพราะมีเพื่อนที่เค้าเคยฉีดสารแบบเดียวกันเค้าแนะนำมา อยากบอกเพื่อนๆทุกคนนะค่ะว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่อย่าฉีดค่ะจะเสริมก็เสริมเลยไม่งั้นมันจะเป็นปัญหาบานปลายแบบนี้ ที่เพื่อนแนะนำโรงพยาบาลเพราะมันบอกว่าเครื่องมือครบ สะอาด(อันนี้จริงนะค่ะเพราะแต่ละคลีนิคที่ไปมาจะมากลิ่นอับและสาปของแมลงสาปอยู่ห้องก็ไม่ค่อยสะอาด)และที่สำคัญมียากันชอคถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเรายาตัวนี้จะช่วยได้จะได้ไม่ชอคตายเหมือนหลายๆกรณีที่เป็นข่าว ว่าทำที่คลีนิคแล้วชอคตายด้วยหลายๆสาเหตุ เพราะเพื่อนมันมีน้องสาวเป็นหมอและมันบอกว่ายานี้ทางคลีนิคจะสั่งไม่ได้จะมีเฉพาะที่โรงพยาบาลเท่านั้น หลังจากปรึกษาเพื่อน ปรึกษาหมอแล้วเลยตัดสินใจทำ คุณหมอไม่ได้มีรีวิวอะไรทางอินเตอร์เนตให้หาข้อมูลแต่ที่เชื่อเพราะเพื่อนด้วยส่วนนึงและอีกส่วนนึงคือโรงพยาบาลยังไงก็ได้มาตรฐานกว่าแน่นอน หมอไม่รับปากอะไรว่าแก้รอบนี้จะสวยมั้ย จะทำให้ดี จะทำแบบนี้แบบนั้น เค้าแค่บอกว่าต้องผ่าดูก่อนเอาสารออกมาก่อนถึงจะรู้ได้ว่าจะทำไงต่อ ซึ่งมันก็จริงของหมอ ไม่ขายฝันให้คนไข้เอาความจริงมาคุยกัน พอถึงวันไปผ่ารอบนี้ใช้ยาชาเหมือนครั้งแรกแอบกลัวนิดๆ พอถึงเวลาพยาบาลก็มาแปะยาชาให้ สักพักใหญ่ๆหมอก็มาแล้วก็ฉีดยาชาให้ คอยถามตลอดว่าเจ็บมั้ย อย่าเกร็งนะ ไว้ใจหมอนะ หมอถนัดเรื่องนี้ไม่ต้องกลัว แม้จะพูดแบบนั้นแต่ใจก็กลัว แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าหมอใส่ใจเราบ้างไม่มากก็น้อย พอขูดได้สักพักหมอก็บอกว่าอ๋อรู้ละว่าสารอะไร แล้วก็บอกว่ายังเสริมไม่ได้นะ ต้องรอก่อนเดี๋ยวมันอักเสบอีก เราก็กลัวว่าถ้าไม่เสริมกลับเข้าไปจมูกจะเป็นยังไงจะตลกมั้ยก็ถามหมอๆก็เลยดุมาว่าแหมเธอเอาออกก่อนเถอะ เรื่องสวยเอาไว้ทีหลัง เหอะๆโดนเลยเรา หลังจากทำเสร็จหมอก็เดินออกไปเหลือแต่พยาบาลๆก็ถามว่าจะเก็บไว้ดูมั้ยสารและซิลิโคนที่เสริมมาอะ เราก็บอกว่าช่วยถ่ายไว้ให้หน่อยค่ะอยากเห็น พอได้เห็นเท่านั้นละชอค!!! ไหนอีหมอคลีนิคตรงทองหล่อมันบอกว่าจะเหลาซิลิโคนให้เล็กเพื่อให้จมูกดูเรียวนี่ ไม่สงสัยทำไมไม่เรียว ก็ซิลิโคนที่มันยัดมาอันเบ่อเริ่มเหมือนไม่เคยผ่านการเหลาใดๆเลย และต้องชอคดอกที่ 2 ตอนนี้ก็ถอดซิลโคนออกมาแล้วเราถามหากระดูกหลังหูที่เราอุตส่าจ่ายไป 75000 เพื่อให้ได้มันมา ไหนละกระดูกหลังหู ไม่มีจ้าาาา หายไปไหนแล้วรอยผ่าหลังหูฉันคืออะไรผ่าเล่นเหรอ...... ชอคๆๆ (นั่งด่าอีหมอคลีนิคย่านทองหล่อนั้นในใจด้วยคำด่ามากมายี่นึกออก) จากนั้นเราก็ไลน์ไปบอกกับพนง.ของคลีนิคนั้นเลยเอารูปให้ดูด้วยแล้วถามนางว่าไหนกระดูกหลังหูฉัน และคำตอบที่ได้คืออะไร คงพอเดาออกใช่มั้ย "ดิฉันได้ถามทางคุณหมอแล้วนะค่ะ คุณหมอบอกว่าใส่มาให้จริงๆ แต่มันชิ้นเล็กมาก มันอาจออกมากับสารตอนขูดมั้งค่ะ" เราก็ตอบไปว่าก็ไหนละค่ะในรูปคือสารที่ขูดออกาพร้อมซิลิโคนของทางคุณแล้วไหนละกระดูกหลังหูฉัน นางก็ยืนยันคำเดิมว่าหมอบอกว่าใส่จริงๆ แล้วถามหน่อยเถอะค่ะว่าถ้าจะฟ้องกัน ชาวบ้านธรรมดาอย่างดิฉันจะไปสู้อะไรหมอ ในเมื่อเค้าบอกเค้าใส่ เค้าจะเอาข้อมูลวิชาการอะไรของเค้ามาอ้างก้ได้ดิฉันเลยได้แค่คับแค้นในใจแล้วเอามาระบายเป็นอุทาหรณ์ให้ทุกท่านอยู่นี่ละค่ะ ตอนนี้ก็แก้และถอดซิลิโคนได้ 1 อาทิตย์แล้วแต่ยังบวมๆอยู่เพราะขูดไปเยอะแต่ไม่มีอาการบวมแดงอักเสบเหมือนที่เคยเป็นอีกเลย ทั้งหมดที่เขียนมาก็เพื่อให้เป็นกรณีศึกษาต่อไปของคนที่สนใจอยากทำจมูกนะค่ะและอยากกู่ร้องให้โลกรู้ว่าหมอไร้จรรณยาบรรณนั้นมีอยู่เยอะจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่