ในยุคสมัยนี้ ยุคที่พอจะบอกได้แล้วแหละว่าเป็นยุคที่ใหม่กว่า"ยุคใหม่" (ยุคที่ถูกแบ่งและถูกจัดเรียงในการศึกษาทั่วโลก) ก็เริ่มเห็นเคล้าเป็นยุคดิจิตัลมากขึ้นๆ แต่ก็คงจะพูดให้เต็มปากเต็มคำไม่ได้ว่าเป็นยุคนี้เสียทีเดียว ถ้าตราบใดที่คนทั้งโลกยังเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิตัลได้อย่างไม่ทั่วถึง แต่ถึงกระนั้นในความเป็นโลกดิจิตัล โลกที่ทุกคนมีสื่อเป็นเจ้าของ มีข้อมูลมหาศาลอยู่ที่ปลายนิ้วจิ้ม ก็ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้ผู้คนตื่นออกมาดูโลกกว้างได้มากขึ้น ความเชื่อ ความคิด หรืออะไรต่างๆ ถูกแปลผันอย่างรวดเร็ว วันนี้ผู้คนคิดอย่าง พรุ่งนี้ทุกคนก็คิดอีกอย่าง จากหน้ามือเป็นหลังมือ แทบอยากจะถามเลยว่า โดนตบกระโหลกมาเหรอ? ด้วยเหตุนี้เองกระแสต่อต้านชุดความคิดบางอย่างจึงถูกถ่าโถมเข้าอย่างจัง ซัดกระหน่ำจนน่าอับอาย แต่เราคงลืมอะไรไปบางอย่างว่าสื่อที่ว่านั้นก็ไม่ใช่ทุกคนที่ถือครองอยู่ อาจจะด้วยเหตุผลทางอายุ หน้าที่การงาน รายได้ นู่นนี่นั่นอีกมากมาย
สืบเนื่องมาจากช่วงนี้มีกระแสต่อต้านบางอย่างเกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องการนับถือผีสางเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ในยุคที่เป็นจุดเชื่อมต่อ วาทกรรมอย่าง "ไม่เชื่อต้องพิสูจน์" จึงบังเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ประเด็นก็คือ เมื่อจุดเปลี่ยนของสังคมได้เริ่มขึ้น มันก็จะมีคนที่ก้าวข้าม และคนที่อยู่ที่เดิม ความต่าง ณ ตรงนี้แหละครับ ความรู้สึกที่คับเคืองใจจึงเริ่มก่อตัวขึ้น ผมเป็นคนนึงที่เห็นคนถูต้นไม้ขอหวย ไหว้ต้นไม้ ดูดน้ำจากบ่อ ก็ไม่ได้รู้สึกชื่นใจนัก แต่ว่าอยากให้ใครหลายๆคนได้
ลองมองอีกมุมนึงก็เท่านั้น ลองมองมุมอื่นๆ นอกเสียจากความรู้สึกรังเกียจ ดูถูก ดูแคลน ต่อสิ่งเหล่านี้
ณ ทุกวันนี้สำหรับพระพุทธศาสนามันมีวิวัฒนาการอยู่พอสมควร ถูกเชื่อมโยงเข้ากับหลักวิทยาศาสตร์บ้าง ภาพลักษณ์ของมันเลยกลายเป็นเรื่องของปรัชญาที่จับต้องได้ยาก ดูไม่ค่อย friendly สักเท่าไหร่ เมื่อมันดูห่างเหินยากที่จะเข้าถึง มันเลยไม่ตอบโจทย์กับความต้องการของมนุษย์ เรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีสางเทวดา จึงถูกสร้างและเข้ามาแทนที่ จนบางครั้งกลายเป็นว่าถูกนำไปพัวพันกับศาสนา หรือบ้างก็กลมกลืนกันแทบจะแยกไม่ออก
แทนที่เราจะมาดูถูกเหยียดหยาม ไม่ยอมรับ รับไม่ได้ หลีกหนีจากเรื่องแบบนี้ เรามายอมรับมันเรียนรู้และทำความเข้าใจดีกว่ามั้ย? ว่าสิ่งเหล่านี้มันก็คือวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของสังคม เป็น pop culture อย่างนึงที่เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ไม่ได้หมายความว่า "อ้าว!!! แล้วงั้นจะปล่อยให้คนงมอยู่กับเรื่องบ้าๆแบบนี้เหรอ? ไม่ทำไรเลยเหรอ?" มันก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นหลอก แต่คุณลองคิดดู คนยากคนจน คนชนบท จะให้พวกเขาออกมาปาร์ตี้ผับ เดินทางจากชานเมืองมาเข้าห้าง ซื้อตั๋วชมบอลเข้าไปบูชาทีมที่ชอบ หรือต่างนานา มันก็ดูจะไม่เข้ากันนัก หรืออาจจะเป็นคนเฒ่าคนแก่ซึ่งอาจจะเป็นญาติพี่น้องของคุณที่เขาเหล่านั้นยังมีความคิดเหล่านี้แต่ก็ต้องมาโดนกระแสสังคมโหนกระหน่ำเข้าใส่อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จนบางครั้งเองเรายืนอยู่ ณ จุดนี้ เขายืนอยู่ ณ จุดนั้นมันเลยเหมือนกับว่าเรากับเขาอยู่กันคนละโลกกัน เกิดการแบ่งชนเผ่าออกเป็น2เผ่า แบ่งชนชั้น แบ่งวัฒนธรรม alienateพวกเขาไปเป็นเผ่าพันธ์ซาไกที่หลุดออกมาจากป่า หรือขี่ time machine มาจากยุคโบราณดึกดำบรรพ์ เรื่องราวเหล่านี้จึงอาจจะยิ่งสนับสนุน discrimination มากขึ้น
วันใดวันนึงที่การศึกษาดีๆ รัฐสวัสดิการดีๆ internetเข้าถึงทั่วประเทศ นู่นนี่นั่นดีๆๆๆๆๆๆ สิ่งเหล่านี้เดี๋ยวมันก็หายไปเอง อย่างกรณีชุมชนกระเหรี่ยง ที่ทุกวันนี้วัฒนธรรมการใส่ห่วงคอยาว ก็เริ่มเลือนลางไปบ้างแล้ว โดยที่เราไปจำเป็นต้องไปประณามวัฒนธรรมเขาว่าโง่ ไปชี้หน้าด่าว่าEค_าย เอาหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นภาษาต่างดาวอะไรก็ไม่รู้ไปสาดใส่ หรือไปบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนนู่นนี่ จงเปลี่ยนๆๆๆ ข่าวบางข่าวผมอ่าน comment นี่ ความคิดเห็นน่ากลัวมาก เช่น เออดีแ_กเข้าไปยีนโง่ๆจะได้หมดไปจากสังคม แ_กๆไปเหอะตายๆไปซักที ไอพวกค_ายแม่_เมื่อไหร่จะหมดไปจากแผ่นดิน อี๋น่ารังเกียจEพวกนี้ทำให้ชาติเสื่อมเสีย อื่นๆอีกมากมาย ผมก็ไม่อยากจะใช้คำว่า dehumanized ซักเท่าไหร่แต่คำนี้ก็น่าจะอธิบายความรู้สึกที่ผมอ่านถ้อยคำเหล่านี้ได้ดี
เพื่อนๆชาวพันทิปคิดเห็นยังไงกันบ้างเอ่ย? มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ
การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผีสางเทวดา การขอหวยที่ถูกมองว่า"น่ารังเกียจ" กับ ความเข้าใจบริบททางสังคม
สืบเนื่องมาจากช่วงนี้มีกระแสต่อต้านบางอย่างเกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องการนับถือผีสางเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ในยุคที่เป็นจุดเชื่อมต่อ วาทกรรมอย่าง "ไม่เชื่อต้องพิสูจน์" จึงบังเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ประเด็นก็คือ เมื่อจุดเปลี่ยนของสังคมได้เริ่มขึ้น มันก็จะมีคนที่ก้าวข้าม และคนที่อยู่ที่เดิม ความต่าง ณ ตรงนี้แหละครับ ความรู้สึกที่คับเคืองใจจึงเริ่มก่อตัวขึ้น ผมเป็นคนนึงที่เห็นคนถูต้นไม้ขอหวย ไหว้ต้นไม้ ดูดน้ำจากบ่อ ก็ไม่ได้รู้สึกชื่นใจนัก แต่ว่าอยากให้ใครหลายๆคนได้ลองมองอีกมุมนึงก็เท่านั้น ลองมองมุมอื่นๆ นอกเสียจากความรู้สึกรังเกียจ ดูถูก ดูแคลน ต่อสิ่งเหล่านี้
ณ ทุกวันนี้สำหรับพระพุทธศาสนามันมีวิวัฒนาการอยู่พอสมควร ถูกเชื่อมโยงเข้ากับหลักวิทยาศาสตร์บ้าง ภาพลักษณ์ของมันเลยกลายเป็นเรื่องของปรัชญาที่จับต้องได้ยาก ดูไม่ค่อย friendly สักเท่าไหร่ เมื่อมันดูห่างเหินยากที่จะเข้าถึง มันเลยไม่ตอบโจทย์กับความต้องการของมนุษย์ เรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีสางเทวดา จึงถูกสร้างและเข้ามาแทนที่ จนบางครั้งกลายเป็นว่าถูกนำไปพัวพันกับศาสนา หรือบ้างก็กลมกลืนกันแทบจะแยกไม่ออก
แทนที่เราจะมาดูถูกเหยียดหยาม ไม่ยอมรับ รับไม่ได้ หลีกหนีจากเรื่องแบบนี้ เรามายอมรับมันเรียนรู้และทำความเข้าใจดีกว่ามั้ย? ว่าสิ่งเหล่านี้มันก็คือวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของสังคม เป็น pop culture อย่างนึงที่เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ไม่ได้หมายความว่า "อ้าว!!! แล้วงั้นจะปล่อยให้คนงมอยู่กับเรื่องบ้าๆแบบนี้เหรอ? ไม่ทำไรเลยเหรอ?" มันก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นหลอก แต่คุณลองคิดดู คนยากคนจน คนชนบท จะให้พวกเขาออกมาปาร์ตี้ผับ เดินทางจากชานเมืองมาเข้าห้าง ซื้อตั๋วชมบอลเข้าไปบูชาทีมที่ชอบ หรือต่างนานา มันก็ดูจะไม่เข้ากันนัก หรืออาจจะเป็นคนเฒ่าคนแก่ซึ่งอาจจะเป็นญาติพี่น้องของคุณที่เขาเหล่านั้นยังมีความคิดเหล่านี้แต่ก็ต้องมาโดนกระแสสังคมโหนกระหน่ำเข้าใส่อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จนบางครั้งเองเรายืนอยู่ ณ จุดนี้ เขายืนอยู่ ณ จุดนั้นมันเลยเหมือนกับว่าเรากับเขาอยู่กันคนละโลกกัน เกิดการแบ่งชนเผ่าออกเป็น2เผ่า แบ่งชนชั้น แบ่งวัฒนธรรม alienateพวกเขาไปเป็นเผ่าพันธ์ซาไกที่หลุดออกมาจากป่า หรือขี่ time machine มาจากยุคโบราณดึกดำบรรพ์ เรื่องราวเหล่านี้จึงอาจจะยิ่งสนับสนุน discrimination มากขึ้น
วันใดวันนึงที่การศึกษาดีๆ รัฐสวัสดิการดีๆ internetเข้าถึงทั่วประเทศ นู่นนี่นั่นดีๆๆๆๆๆๆ สิ่งเหล่านี้เดี๋ยวมันก็หายไปเอง อย่างกรณีชุมชนกระเหรี่ยง ที่ทุกวันนี้วัฒนธรรมการใส่ห่วงคอยาว ก็เริ่มเลือนลางไปบ้างแล้ว โดยที่เราไปจำเป็นต้องไปประณามวัฒนธรรมเขาว่าโง่ ไปชี้หน้าด่าว่าEค_าย เอาหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นภาษาต่างดาวอะไรก็ไม่รู้ไปสาดใส่ หรือไปบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนนู่นนี่ จงเปลี่ยนๆๆๆ ข่าวบางข่าวผมอ่าน comment นี่ ความคิดเห็นน่ากลัวมาก เช่น เออดีแ_กเข้าไปยีนโง่ๆจะได้หมดไปจากสังคม แ_กๆไปเหอะตายๆไปซักที ไอพวกค_ายแม่_เมื่อไหร่จะหมดไปจากแผ่นดิน อี๋น่ารังเกียจEพวกนี้ทำให้ชาติเสื่อมเสีย อื่นๆอีกมากมาย ผมก็ไม่อยากจะใช้คำว่า dehumanized ซักเท่าไหร่แต่คำนี้ก็น่าจะอธิบายความรู้สึกที่ผมอ่านถ้อยคำเหล่านี้ได้ดี