ถ้าหากนึกถึงอดีตบริษัทที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ในบ้านเราอย่างกว้างขวาง สำหรับอุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือโทรศัพท์มือถือ เชื่อว่าหลายคนไม่ลืมแบรนด์ "BlackBerry" กันแน่นอน หรือที่เรามักนิยมเรียกกันว่า "BB" ซึ่งคุณสมบัติที่ทำให้แบล็คเบอร์รี่ประสบความสำเร็จในช่วงสมัยนั้นก็คือแอพฯ BlackBerry Messenger (BBM) ซึ่งได้นำโลกใบใหญ่มาย่อไว้ภายในอุปกรณ์ขนาดเล็ก และสุดท้ายก็ได้กลายมาเป็นฟีเจอร์ยอดฮิตภายในระยะเวลาไม่นาน
ทว่าก็ยังมีหลายคนยังไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนแบล็คเบอร์รี่มีที่มาที่ไปอย่างไร, ผู้ก่อตั้งคือใคร ปีใด หรือว่าทำไมถึงจะต้องตั้งชื่อบริษัทว่า "BlackBerry" เพราะฉะนั้นมาดูกันว่าทำไม...?
สำหรับบริษัท BlackBerry เดิมทีไม่ได้ใช้ชื่อนี้ แต่ได้ใช้ชื่อบริษัทว่า "Research In Motion" (RIM) ซึ่งบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไร้สายก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1984 หรือ พ.ศ. 2527 จากชายทั้ง 2 คนนามว่า Mike Lazardis (ประธาน) และ Douglas Fregin (รองประธาน) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองวอเตอร์ลู รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา
Mike Lazardis (คนซ้าย) และ Douglas Fregin (คนขวา)
ซึ่งภายใน 4 ปีต่อมาได้กลายเป็นเจ้าแรกในทวีปอเมริกาเหนือที่สามารถพัฒนาการส่งข้อมูลไร้สายเป็นผลสำเร็จ และตามมาด้วยอุปกรณ์อื่นๆ มากมาย และปีค.ศ. 1996 ไฮไลท์ผลิตภัณฑ์จาก RIM ก็คือเพจรุ่น Inter@ctive Pager 900 ที่มีความสามารถสื่อสารได้ 2 ทางคือทั้งการรับ-การส่งข้อความ (Two-way Messaging) จึงทำให้ไม่ต้องไปฝากข้อความกับโอเปอเรเตอร์อีกแล้ว พร้อมยังสามารถใช้งานข้อความอิเล็กทรอกนิกส์ หรือ E-mail ส่งผลให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในทวีปอเมริกา และทวีปยุโรป
2 ปีต่อมา (ปีค.ศ. 1998) RIM เปิดตัวเพจเจอร์ "RIM 950" ซึ่งพัฒนาให้สามารถส่งข้อมูลรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม ขนาดเล็กลงกว่าเดิม จับถือได้สะดวกมือ และในปีเดียวกันบริษัทยังได้รับรางวัลต่างๆ รวมถึงพาร์ทเนอร์ หรือพันธมิตรทางธุรกิจอีกหลายราย ถือได้ว่าเป็นยุคทองของบริษัทเลยทีเดียว หลังจากเข้าตลาดหุ้นไปเมื่อปีที่แล้ว
และเมื่อปี.ศ.ศ. 1999 ทางบริษัท RIM ได้เปิดตัว "RIM 850" โดยมีหน้าตาคล้ายกับรุ่น 950 แต่แตกต่างตรงที่ใช้คลื่นความถี่ไม่เหมือนกัน ในขณะที่ความสามารถอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นมาเหมือนกันคือรับส่งข้อความ, อีเมล์, นาฬิกาปลุก, ปฏิทิน, เครื่องคิดเลข เป็นต้น
RIM 850
สำหรับ RIM 850 ก็ยังมีอีกชื่อหนึ่งก็คือ BlackBerry 850 (อ้างอิงจากเว็บไซต์ crackberry.com) แต่ได้เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมถึงต้องตั้งชื่อว่า "BlackBerry"....?
ก่อนจะรู้จักชื่อสุดน่ารักอย่าง BlackBerry เดิมทีบริษัท RIM ว่าจ้างบริษัท Lexicon Branding ผู้รับจ้างการคิดแบรนด์ให้กับผลิตภัณฑ์ แต่มีข้อแม้ว่าต้องหลีกเลี่ยงคำว่า "E-mail" เพราะมีผลวิจัยว่าจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น อีกทั้งต้องเป็นชื่อที่รู้สึกไพเราะเมื่อได้ฟัง ดังนั้นทางทีมงานจึงนึกถึงผลไม้ BlackBerry ขึ้นด้วยเหตุที่ว่าลักษณะของผลิตภัณฑ์แผงปุ่ม QWERTY ประกอบกับเครื่องมีสีดำสนิท (ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์
cio.com.au)
อย่างไรก็ตามบริษัท RIM ก็ยังคงเปิดตัวสมาร์ทโฟนออกมาวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับใช้ชื่อ BlackBerry ทำการตลาดมาโดยตลอด ก่อนที่ปีค.ศ. 2013 ในงาน BlackBerry 10 ผู้บริหาร Thorsten Heins ได้ประกาศภายในงานว่าบริษัทจะทำการเปลี่ยนชื่อเป็น BlackBerry อย่างเป็นทางการ และประกาศก้าวว่าจะไม่ยอมถอยในวงการนี้แน่นอน โดยจะดำเนินธุรกิจภายใต้แคมเปญ "One brand. One promise" เพื่อกลับมาทวงคืนผู้นำตลาดอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ BlackBerry ก็ยังคงเดินหน้าทำตลาดสมาร์ทโฟนลงสู่ตลาดให้เหล่าสาวกโดยตลอด ซึ่งภายในงาน MWC 2015 ก็ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ "BlackBerry Leap" ทว่าเป็นแบบหน้าจอสัมผัส ไม่มีแผงปุ่มกด QWERTY อย่างที่เคยมีมาเหมือนรุ่นก่อนๆ
สุดท้ายแล้ว BlackBerry จะเดินไปทางไหน จะสามารถกลับมายึดครองตลาดได้อีกครั้งหรือไม่ เราคงต้องติดตามกันต่อไป
Source :
Siamphone
เกร็ดความรู้ : ทำไมถึงต้องตั้งชื่อบริษัทว่า "BlackBerry" และมีจุดเริ่มต้นการทำสมาร์ทโฟนมาอย่างไร
ทว่าก็ยังมีหลายคนยังไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนแบล็คเบอร์รี่มีที่มาที่ไปอย่างไร, ผู้ก่อตั้งคือใคร ปีใด หรือว่าทำไมถึงจะต้องตั้งชื่อบริษัทว่า "BlackBerry" เพราะฉะนั้นมาดูกันว่าทำไม...?
สำหรับบริษัท BlackBerry เดิมทีไม่ได้ใช้ชื่อนี้ แต่ได้ใช้ชื่อบริษัทว่า "Research In Motion" (RIM) ซึ่งบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไร้สายก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1984 หรือ พ.ศ. 2527 จากชายทั้ง 2 คนนามว่า Mike Lazardis (ประธาน) และ Douglas Fregin (รองประธาน) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองวอเตอร์ลู รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา
Mike Lazardis (คนซ้าย) และ Douglas Fregin (คนขวา)
ซึ่งภายใน 4 ปีต่อมาได้กลายเป็นเจ้าแรกในทวีปอเมริกาเหนือที่สามารถพัฒนาการส่งข้อมูลไร้สายเป็นผลสำเร็จ และตามมาด้วยอุปกรณ์อื่นๆ มากมาย และปีค.ศ. 1996 ไฮไลท์ผลิตภัณฑ์จาก RIM ก็คือเพจรุ่น Inter@ctive Pager 900 ที่มีความสามารถสื่อสารได้ 2 ทางคือทั้งการรับ-การส่งข้อความ (Two-way Messaging) จึงทำให้ไม่ต้องไปฝากข้อความกับโอเปอเรเตอร์อีกแล้ว พร้อมยังสามารถใช้งานข้อความอิเล็กทรอกนิกส์ หรือ E-mail ส่งผลให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในทวีปอเมริกา และทวีปยุโรป
2 ปีต่อมา (ปีค.ศ. 1998) RIM เปิดตัวเพจเจอร์ "RIM 950" ซึ่งพัฒนาให้สามารถส่งข้อมูลรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม ขนาดเล็กลงกว่าเดิม จับถือได้สะดวกมือ และในปีเดียวกันบริษัทยังได้รับรางวัลต่างๆ รวมถึงพาร์ทเนอร์ หรือพันธมิตรทางธุรกิจอีกหลายราย ถือได้ว่าเป็นยุคทองของบริษัทเลยทีเดียว หลังจากเข้าตลาดหุ้นไปเมื่อปีที่แล้ว
และเมื่อปี.ศ.ศ. 1999 ทางบริษัท RIM ได้เปิดตัว "RIM 850" โดยมีหน้าตาคล้ายกับรุ่น 950 แต่แตกต่างตรงที่ใช้คลื่นความถี่ไม่เหมือนกัน ในขณะที่ความสามารถอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นมาเหมือนกันคือรับส่งข้อความ, อีเมล์, นาฬิกาปลุก, ปฏิทิน, เครื่องคิดเลข เป็นต้น
RIM 850
สำหรับ RIM 850 ก็ยังมีอีกชื่อหนึ่งก็คือ BlackBerry 850 (อ้างอิงจากเว็บไซต์ crackberry.com) แต่ได้เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมถึงต้องตั้งชื่อว่า "BlackBerry"....?
ก่อนจะรู้จักชื่อสุดน่ารักอย่าง BlackBerry เดิมทีบริษัท RIM ว่าจ้างบริษัท Lexicon Branding ผู้รับจ้างการคิดแบรนด์ให้กับผลิตภัณฑ์ แต่มีข้อแม้ว่าต้องหลีกเลี่ยงคำว่า "E-mail" เพราะมีผลวิจัยว่าจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น อีกทั้งต้องเป็นชื่อที่รู้สึกไพเราะเมื่อได้ฟัง ดังนั้นทางทีมงานจึงนึกถึงผลไม้ BlackBerry ขึ้นด้วยเหตุที่ว่าลักษณะของผลิตภัณฑ์แผงปุ่ม QWERTY ประกอบกับเครื่องมีสีดำสนิท (ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ cio.com.au)
อย่างไรก็ตามบริษัท RIM ก็ยังคงเปิดตัวสมาร์ทโฟนออกมาวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับใช้ชื่อ BlackBerry ทำการตลาดมาโดยตลอด ก่อนที่ปีค.ศ. 2013 ในงาน BlackBerry 10 ผู้บริหาร Thorsten Heins ได้ประกาศภายในงานว่าบริษัทจะทำการเปลี่ยนชื่อเป็น BlackBerry อย่างเป็นทางการ และประกาศก้าวว่าจะไม่ยอมถอยในวงการนี้แน่นอน โดยจะดำเนินธุรกิจภายใต้แคมเปญ "One brand. One promise" เพื่อกลับมาทวงคืนผู้นำตลาดอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ BlackBerry ก็ยังคงเดินหน้าทำตลาดสมาร์ทโฟนลงสู่ตลาดให้เหล่าสาวกโดยตลอด ซึ่งภายในงาน MWC 2015 ก็ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ "BlackBerry Leap" ทว่าเป็นแบบหน้าจอสัมผัส ไม่มีแผงปุ่มกด QWERTY อย่างที่เคยมีมาเหมือนรุ่นก่อนๆ
สุดท้ายแล้ว BlackBerry จะเดินไปทางไหน จะสามารถกลับมายึดครองตลาดได้อีกครั้งหรือไม่ เราคงต้องติดตามกันต่อไป
Source : Siamphone