ไปซัวเถาเพื่อไหว้บรรพบุรุษมาครับ (รูปน้อย/บ่นเยอะ)

ขอมาตั้งกระทู้เล่าเรื่องให้ฟังเท่าที่จำได้ กับการเดินทางไปซัวเถาครั้งแรก ของผมและแม่และพี่สาว เพื่อไปไหว้บรรพบุรุษของพ่อผม

อากงผมขึ้นเรือมาจากซัวเถา เท่าที่มีข้อมูลคือ เป็นคนสกุลเตีย จากตำบลกั๋วบ้วย อำเภอเท่งไฮ้ มณฑลกวางตุ้ง

ผมได้ประสานกับคนเท่งไฮ้ที่เคยมาค้าขายในไทย ให้ช่วยติดตามและเค้าก็รู้จัก (มีการยืนยันได้ว่าเป็ฯญาติกันจริงด้วยรูปถ่ายที่ทางฝั่งไทยเคยติดต่อกัน)

ผมก็กำหนดวันเดินทางไปเยี่ยมญาติ 7-11 มีนาคม 2557 โดยอาศัยดูฤกษจากปฏิทินจีน ให้เหมาะสม แล้วกำหหนดแผนคร่าวๆ

ได้ตั๋วเดินทางชั้นธุรกิจ ราคาเหมาะสมจากเอเจนซี่ที่รู้จักกัน ไฟลท์ตรงสู่เมืองซัวเถา

จองโรงแรม ผ่าน agoda โดยเลือกโรงแรม Jun Hua Hai Yi เพราะว่าดูแล้วโอเค ไม่ขี้เหร่ พอได้ไปพัก ก็โอเคนะครับ ไม่มีที่ติ ติดตรงที่ไม่เหมาะสมกับทางผม เพราะโรงแรมอยู่ซัวเถา ซึ่งผมจะไปเท่งไฮ้ ก็ต้องขับรถไปอีก ๓๐ นาที หรือถ้าผมจะไปเมืองแต้จิ๋ว ผมก็ต้องเดินทางต่อไปอีก ๓๐ นาที ฉะนั้น การจองที่พัก หากเราประสานงานกับญาติเราได้ ให้เค้าแนะนำเลยครับว่า ไปนอนไหนถึงสะดวก คอยไปถึงที่นั่นค่อยจองก็ยังได้(ญาติผมบอกแบบนั้น / และถ้าเป็นคนท้องถิ่นเปิดบิล ก็จะได้อีกราคาหนึ่งด้วย)

๗/๓/๕๘      เริ่มต้นวันแรก ผมออกเดินทาง ไปถึงสนามบิน ก็ไม่มีอะไรมาก กระบวนการ CHK-IN  ก็ทั่วๆไป เครื่องบินลำเล็ก มีชั้นธุรกิจแค่ ๖ ที่ ทางทีมผม ๓ มีอีกบ้านนึงไปก็ ๓ ไม่รู้จักกัน ก็ทั่วไป ขึ้นเครื่อง หลับ ตื่นมาก็ถึงละ ซัวเถา ผ่านกระบวนการศุลกากรและ ตม. ทั่วๆไป เมื่อผ่านประตูออกมาก็พบคนที่ประสานไว้มารอรับอยู่ด้านหน้า สนามบิน ทักทายกันตามระเบียบ ก็พาผมขึ้นรถเพื่อเข้าเมือง

เมื่อผมบอกเค้าว่า ผมได้จองที่พักมาแล้ว อยู่ในซัวเถา เค้าบ่นเล็กน้อย ว่ามันเดินทางไม่สะดวก ใกล้จากบ้านญาติผม และเค้าจะมารับก็ไม่สะดวก ต้องมาแล้วย้อนกลับไปอีก แต่ผมก็ยืนยันพักที่เดิม เพราะผมก็ไม่กล้าไว้ใจเค้า ๑๐๐% ระแวงเหมือนกัน ถึงจะรู้จักกันก็เถอะ แต่ไม่ได้สนิทมากจนไว้ใจได้ ยิ่งมีแม่กับพี่สาวมาด้วบย ผมก็ขอเลือกที่ดีที่สุดให้ดีกว่า ปลอดภัย และยืนยันตามเดิม โดยเสนอเงื่อนไขให้ ๒ อย่างคือ ให้คิดค่าเสียเวลาเพิ่มได้ หรือหากต้องการความสะดวกในการมารับให้เค้าหาโรงแรมราคาถูกใกล้ๆที่ผมพัก นอนได้แล้วคิดค่าใช้จ่ายกับผม  แต่เค้าก็ไม่เอา

เค้าก็รับผมมาส่งที่โรงแรม ตอน ๕ โมงเย็นแล้วก็กลับไป โดยผมฝากเงินไว้ให้เค้าเพื่อใช้จ่ายในเรื่องของการเดินทาง ๑,๐๐๐ RMB และฝากให้เค้านำเงินอีกจำนวนหนึ่ง(๑,๐๐๐RMB) ไปมอบให้แก่ญาติผมเพื่อจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ หากไม่พอ ขาดเหลืออย่างไร จะนำไปเพิ่มให้ แล้วผมก็เข้าพักผ่อน ตกเย็นก็เดินหาของกินบริเวณนั้น ได้ลองกินห่านพะโล้ /ผัดผัก/น้ำซุปสมอจีน แล้วก็ขึ้นมาพักผ่อน รอพรุ่งนี้เช้าไปไหว้อาเหล่ากง(ทวด) บรรพบุรุษของผม



๘/๓/๕๘ ตื่นเช้าเพื่อลงมาพบเฮียซุ้ง(คนประสานงาน) นัดไว้ ๙ โมง เมื่อพร้อมแล้ว จึงออกเดินทางไปยังตำบลกั๋วบ้วย อำเภอเท่งไฮ้ กัน นั่งจนหลับไปตื่นนึง ก็เลี้ยวเข้ามายังหมู่บ้านสกุลเตีย ระหว่างนั้น เฮียซุ้งบอกว่า เด๋วเสร็จจากไหว้แล้ว ขากลับเรามาแวะดูบ้านเสรฐีไทยในนี้กันตระกูล หวั่งหลี ซึ่งก็ตอบตกลง เห็นมีการจัดเตรียมข้าวของต่างๆ มีการเตรียมโต๊ะจีนไว้เพื่อกินอาหารร่วมกัน ซึ่งเมื่อเราไปถึง ก็มีการแนะนำว่าเทือกเขาเหล่ากอเรามีใครบ้าง รุ่นอากงผม มีพี่น้องผู้ชายกัน ๗ คน มีทั้งที่อยู่แผ่นดินใหญ่และอยู่ไทย แนะนำไล่เลียงคุยกันพอหอมปากหอมคอ ก็เริ่มต้นเข้าสู่ธรรมเนียมจีน คือ การกินบัวลอย เป็นแป้งก้อนกลมๆขาวๆ ต้มใส่น้ำตาล ภาษาจีนเรียก อี๊ กินเพื่อใช้ชื่อของมันที่พ้องเสียงกับกับภาษาจีนที่หมายถึงความสามัคคี กลมเกลียว( อี่ อี่ หมัว มั่ว)  เมื่อเรากินกันเสร็จ ก็พากันเดินไปยังศาลเจ้าประจำหมู่บ้าน เพื่อสักการะ โดยมีเครื่องเซ่นต่างๆที่เค้าเตรียมไว้ให้ มีทั้งกระดาษเงินทอง ซาละเปาต่างๆ พอได้ซักพัก ก็เคลื่อนกันไป ไหว้หลุมศพของทวด-บรรพบุรุษของผม โดยเดินขึ้นไปบนเขาผ่านทางหมู่บ้านนั้นไปพอสมควร มีคนแบกของขึ้นไปให้ ใส่คานหาบขึ้นไป บรรยากาศอบอุ่นดี เกือบหลงเหมือนกัน เพราะหลุมศพ มีอายุกว่า ๗๐-๘๐ ปีได้กระมัง ตัวอักษรที่จารึกป้ายก็เลือนหายไปหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้คือความทรงจำที่ตกทอดจากรุ่น สู่ รุ่น ว่านี่คือบรรพบุรุษของเรา

เมื่อเจอแล้วก็จัดเครื่องเซ่น เหมือนที่เราไหว้ตอนเชงเม้งที่ไทยนี่แหละครับ











ไหว้เสร็จก็มีการจุดประทัด ยาวมาก ผมอุดหู ๕๕๕๕๕๕

แล้วจึงเดินย้อนกลับมาที่ตึกที่นั่งกินบัวลอย เพื่อกินเลี้ยงกัน

เป็นธรรมเนียมที่ทำกันมาคือ มีการเลี้ยงต้อนรับญาติที่มาจากฝั่งไทย อาหารทะเลที่นี่อร่อยมาก ไม่คาว ปกติผมเป็นคนกินยาก ไม่กินนู่นี่นั่น เพราะมันได้กลิ่นคาว แต่เจออาหารที่ซัวเถา กลับไม่ได้กลิ่นพวกนี้ หอยลายก็กินได้ หอยเป๋าฮื้อ ปลาหมึก ปู ฯลฯ กินได้หมด ไม่เหม็น แม่ก็ยังทัก อาหารมาเยอะมาก กินไม่หมดกันเลยทีเดียว เมื่ออาหารเสริฟจานสุดท้าย(แต่ยังไม่เลิกกิน) ผมก็นำเงิน ๔,๐๐๐ RMB ให้แม่เพื่อมอบให้แก่ผู้ที่จัดการเรื่องโต๊ะจีน จะได้ไม่เป็นการรบกวนคนที่แผ่นดินใหญ่ ให้เป็นภาระเค้า

เท่าที่ผมรู้มา ทั้งจากตอนอากงเล่าให้ฟัง จากแม่เล่าด้วย เพราะความยากจนของผู้คนที่อยู่ที่แผ่นดินใหญ่ ถึงต้องเลือกมาตายเอาดาบหน้าที่เมื่องไทย มาลำบากก่อร่างสร้างตัว พื้นเพตระกูลผมที่แผ่นดินใหญ่ เป็นเกษตกร ถึงตอนนี้ เค้าก็ยังใช่ เค้าปลูกมะระ ฝรั่ง พุทรา ขายเป็ฯอาชีพหลัก บางส่วนก็ชราอาศัยอยู่ที่บ้านกินตามยถากรรม บางส่วนก็ออกมาเป็นพนักงานกินเงินเดือน มีคนหนึ่งดีที่สุดก็ออกมาค้าขายในเมืองเปิดแผงขายก๋วยเตี๋ยว ถามว่าลำบากเหมือนเมื่อก่อนมั๊ยก็คงไม่ แต่ก็คงไม่เหมาะที่เราไปเบียดบังเค้าจริงๆ และเงินจำนวนที่เรามอบให้ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร

ช่วงที่ผมอยู่กับญาติ เฮียซุ้งก็บอกว่าขอตัวออกไป เพราะอยากให้เราอยู่กับญาติ ไว้เสร็จงานให้โทรเรียกเค้าก็มารับ

ทางผมเมื่อเสร็จงานก็โทรบอกเค้าว่า มารับได้เลยเวลาบ่าย ๒

พอมารับ กำลังจะกลับ ญาติทางผมก็ชวนให้ไปดูบ้านหวั่งหลี ซึ่งผมก็เห็ฯว่า อยู่ในกำหนดการเดิม ผมก็ตอบตกลง โดยแบ่งไปรถ ๒ คัน คือ คันเดิมที่ผมมา และอีกคันของญาติผม  แต่พอจอดรถ เตรียมเข้าไป ผมไปซื้อตั๋ว เฮียซุ้งบอก รถที่รับผมมา ต้องกลับไปรับนักเรียน (งง) ให้ญาติผมช่วยไปส่งผมที่ซัวเถา ซึ่งญาติผมก็ตอบตกลง ช่วยเหลือเต็มที่ รวมถึงบอกเพิ่มว่า เห็นพวกผมชอบกินห่านพะโล้มาก เดี๋ยวเค้าจะเตรียมมาให้ ๒ ตัวพร้อมกับห่อสูญญากาศเพื่อรักษาคุณภาพและความสะดวกมาให้ ผมนี่ซึ้งจริงๆ โดยเค้าจะนำมาให้คืนก่อนผมเดินทางกลับ

เมื่อเค้าส่งผมถึงโรงแรม ผมกับแม่ก็แยกไปพักผ่อน นัดแม่กับพี่สาวตอน ๑ ทุ่ม เพื่อกินข้าวเย็นกัน คราวนี้เราเดินไปกินแผงข้างถนน เหมือนร้านข้าวต้มตามต่างจังหวัดละครับ ก็สั่งปลาทอด สั่งผัดผัก แล้วอะไรอีกจำไม่ได้ พอสั่งข้าวสวยไป เค้ายกมาให้ทั้งหม้อหุงข้าวเลย(งง) คือที่ร้านนี้ให้ตักข้าวเอง ไอ้เราก็ไม่รุ้ จะข้าวต้ม ข้าวสวย ตักเอา ตามสบาย คิดเงินมาก็ร้อยกว่า RMB ก็คงไม่แพง เพราะอิ่มอร่อยมาก แล้วเราก็แยกย้ายไปพักผ่อน นัดวันถัดมา ๘ โมงเช้า  

เดี๋ยวมาต่อ


ปล.รูปน้อยนะครับ ไม่ค่อยถ่ายรูป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่