ที่มาของข่าว
http://www.naewna.com/inter/148076
เปิดตัวจีฮัด จอห์น มือสังหารชุดดำ
วันอาทิตย์ ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558, 06.00 น.
หลังจากที่สื่อมวลชนฝั่งอังกฤษ เปิดเผยตัว “จีฮัด จอห์น” สมาชิกกลุ่มไอเอส ที่ปิดหน้ามิดชิด ซึ่งปรากฏอยู่ใน คลิปวีดีโอตัดศีรษะตัวประกัน ทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับชายผู้นี้ ว่าเป็นใครมาจากไหน และมีแรงจูงใจอะไรที่ทำให้เขาเข้าร่วมกับกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส
จีฮัด จอห์น ที่ปรากฏในคลิปวีดีโอตัดศีรษะตัวประกันหลายคน เช่น นายเจมส์ โฟเลย์, นายสตีเว่น ซอตลอฟฟ์, นายปีเตอร์ คาสซิก ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน และนายเดวิด เฮนส์ กับอลัน เฮนนิ่ง ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ ตลอดจนนายเคนจิ โกโตะ ซึ่งเป็นเหยื่อชาวญี่ปุ่น มีชื่อจริงว่า นายโมฮัมเหม็ด เอ็มวาซี เป็นชาวอังกฤษ เชื้อสายคูเวต ที่เดินทางมาอยู่ที่กรุงลอนดอนตั้งแต่อายุ 6 ขวบ
จีฮัด จอห์น มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี จบการศึกษาด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยเวสต์มินสเตอร์ การศึกษาที่ดีทำให้ จีฮัด จอห์น ใช้ภาษาอาหรับ และภาษาอังกฤษได้ดี และด้วยสำเนียงการออกเสียงที่เป็นชาวอังกฤษได้ดีนี่เอง ถือเป็นเบาะแสที่ทำให้เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองแกะรอย ได้ว่า ชายคลุมหน้าคือ “จีฮัด จอห์น” หลังจากสามารถสืบแคบลงมาได้ว่า เขาไม่ได้มาจากกลุมของชาวปากีสถาน และบังกลาเทศในอังกฤษเพราะพูดภาษาอาหรับได้อย่างคล่องแคล่ว
หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่าจีฮัด จอห์น ประสบความสำเร็จด้านการทำงานเป็นอย่างดี แต่ปมที่อยู่ในใจ ก็คือ การถูกเหยียดเชื้อชาติตั้งแต่เด็ก เนื่องจากเขาเป็นเด็กต่างชาติที่ต้องเรียนร่วมกับเด็กๆ ในอังกฤษ
จุดที่ทำให้ จีฮัด จอห์น เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงเกิดขึ้น เมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปยังประเทศแทนซาเนีย เมื่อปี 2552 เพื่อไปท่องเที่ยวในแบบซาฟารี แต่กลับโดนกักตัวเอาไว้ 1 คืน ก่อนส่งตัวกลับไปยังอังกฤษ
ยังไม่มีการเปิดเผยว่า เกิดอะไรขึ้นที่แทนซาเนีย แต่ยืนยันได้ว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ นายโมฮัมเหม็ด เอ็มวาซี กลายเป็น จีฮัด จอห์น และเมื่อเข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรงแล้ว จีฮัด จอห์น ก็อยู่ในเครือข่าย กลุ่มก่อการร้ายในกรุงลอนดอนที่หน่วยข่าวกรองเรียกว่า “บีเทิ่ล” ที่กำลังถูกเจ้าหน้าที่ตามล่าตัวในขณะนี้
มีรายงานว่า จีฮัด จอห์น หรือนายเอ็มวาซีผู้นี้ เคยส่งอีเมล์ฉบับหนึ่งถึงนักข่าวของหนังสือพิมพ์ “เมล ออน ซันเดย์” ของอังกฤษฉบับเมื่อวันที่ 14 เดือน ธ.ค. 2553 เล่าว่า เขาเคยคิดอยากกินยาฆ่าตัวตาย หลังจากถูกสายลับในประเทศสะกดรอยตามอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือน “ศพเดินได้” โดยนายเอ็มวาซีเล่าว่า การสะกดรอยตามเกิดขึ้น หลังจากเขาตัดสินใจขายเครื่องแล็บท็อปให้ชายผู้หนึ่งทางอินเตอร์เนต แต่ต่อมาพบว่า ชายผู้นี้เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง
ด้านกลุ่มรณรงค์สิทธิพลเรือนของอังกฤษ ที่เรียกว่า “เคจ” (Cage) และเคยมีการติดต่อกับนายเอ็มวาซี ระบุว่า หน่วยสืบราชการลับในประเทศ หรือ MI6 ได้สะกดรอยตามชายผู้นี้มาตั้งแต่ปี 2552 เป็นอย่างน้อย และการคอยตามรังควานนี้เอง ที่ทำให้นายเอ็มวาซี กลายเป็นพวกหัวรุนแรงในที่สุด
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน และอดีตหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับในต่างประเทศ MI6 ปฏิเสธข้อกล่าวหาของนักรณรงค์กลุ่มนี้ ขณะที่นายบอริส จอห์นสัน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน กล่าวหาเคจว่า กำลังยกโทษให้แก่การก่อการร้าย
มีการเปิดเผยเพิ่มเติมด้วยว่า สมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษา นายเอ็มวาซีมีเพื่อนนักเรียนชาย 2 คน ซึ่งต่อมากลายเป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ โดยคนหนึ่งไปรบในซีเรียและเสียชีวิตแล้ว ส่วนอีกคนไปรบในโซมาเลีย และเสียชีวิตแล้วเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีรายงานด้วยว่า นายเอ็มซาวีเคยมีการติดต่อกับกลุ่มคนที่พยายามก่อเหตุโจมตีระบบขนส่งสาธารณะในกรุงลอนดอน เมื่อปี 2548 หลังจากเพิ่งเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีกรุงลอนดอนมีผู้เสียชีวิต 52 คน ได้ 2 สัปดาห์ แต่แผนการล้มเหลวการเปิดเผยเรื่องราวความเป็นมาของนายเอ็มวาซียังสร้างแรงกดดันแก่หน่วยข่าวกรองและฝ่ายความมั่นคงของอังกฤษ ให้ออกมาชี้แจงว่า เหตุใดจึงปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยอย่างนายเอ็มวาซีเดินทางไปซีเรียได้ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีคาเมรอนได้ออกมาปกป้อง โดยแสดงความเชื่อมั่นว่า หน่วยงานทั้งสองทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว
ขณะที่นางดรากาน่า เฮนส์ ภรรยาของนายเดวิด เฮนส์ เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ชาวอังกฤษ ที่ถูกจีฮัด จอห์น สมาชิกกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลามหรือไอเอสฆ่าตายเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วเปิดเผยว่า เธออยากเห็นจีฮัด จอห์น ถูกจับเป็น และนำตัวขึ้นศาลพลเรือนเพื่อพิจารณาคดี
นางเฮนส์บอกว่า เธอตกใจเมื่อทราบข่าวว่า จีฮัด จอห์น ชายที่สวมชุดดำปิดบังใบหน้า คือนายโมฮัมเหม็ด เอ็มวาซี ชาวอังกฤษเชื้อสายคูเวต และเธอไม่อยากเชื่อว่า คนหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา จะกลายเป็นคนที่เหี้ยมโหดไร้ความปรานี เข่นฆ่า ผู้บริสุทธิ์ได้ลงคอ นางเฮนส์ยอมรับว่า เธอตกใจที่ได้ทราบปูมหลังของนายเอ็มวาซี และคาดไม่ถึงจริงๆ เขาจะทำได้ลงคอ แต่ก็ต้องการให้สมุนไอเอส ตระหนักถึงความเจ็บปวดที่พวกเขาทำกับครอบครัวของตัวประกัน
ขณะเดียวกัน เธอยังต้องการให้ผู้คนพยายามเข้าใจว่า นี่ไม่ใช่ยุคศตวรรษที่ 8 แต่เป็นศตวรรษที่ 21 ซึ่งเธอเชื่อว่าทุกศาสนามีปัญหา ตราบใดที่ผู้คนยังเชื่อเรื่องงมงายที่เขียนไว้เมื่อ 1,000 ปีก่อน
สุดท้ายนางเฮนส์ยังกล่าวโจมตีไอเอสว่า กลุ่มไอเอสไม่เพียงแต่ทำลายชีวิตของผู้คน แต่ยังทำลายวัฒนธรรมและมรดกที่เป็นของโลก พร้อมกับหวังว่าไอเอสจะถูกปราบปราม เพื่อขัดขวางไม่ให้กลุ่มติดอาวุธทำลายมนุษยชาติ และวัฒนธรรม รวมทั้งประวัติศาสตร์
แม้ประเทศตะวันตกทั้งหลายจะรู้ตัวจีฮัด จอห์น แล้วว่าเป็นใคร แต่การจะติดตามไล่ล่าตัวเขามาลงโทษให้ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน แต่แหล่งข่าวกรองสหรัฐเชื่อว่า นายเอ็มวาซี ผู้นี้น่าจะฝังตัวอยู่ในเมืองรักกา ซึ่งเป็นรังใหญ่ของกลุ่มไอเอสนั่นเอง และแน่นอนที่สุด เวลานี้การไล่ล่าเด็ดหัวเขากำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น
เปิดตัวจีฮัด จอห์น, มือสังหารชุดดำ
http://www.naewna.com/inter/148076
เปิดตัวจีฮัด จอห์น มือสังหารชุดดำ
วันอาทิตย์ ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558, 06.00 น.
หลังจากที่สื่อมวลชนฝั่งอังกฤษ เปิดเผยตัว “จีฮัด จอห์น” สมาชิกกลุ่มไอเอส ที่ปิดหน้ามิดชิด ซึ่งปรากฏอยู่ใน คลิปวีดีโอตัดศีรษะตัวประกัน ทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับชายผู้นี้ ว่าเป็นใครมาจากไหน และมีแรงจูงใจอะไรที่ทำให้เขาเข้าร่วมกับกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส
จีฮัด จอห์น ที่ปรากฏในคลิปวีดีโอตัดศีรษะตัวประกันหลายคน เช่น นายเจมส์ โฟเลย์, นายสตีเว่น ซอตลอฟฟ์, นายปีเตอร์ คาสซิก ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน และนายเดวิด เฮนส์ กับอลัน เฮนนิ่ง ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ ตลอดจนนายเคนจิ โกโตะ ซึ่งเป็นเหยื่อชาวญี่ปุ่น มีชื่อจริงว่า นายโมฮัมเหม็ด เอ็มวาซี เป็นชาวอังกฤษ เชื้อสายคูเวต ที่เดินทางมาอยู่ที่กรุงลอนดอนตั้งแต่อายุ 6 ขวบ
จีฮัด จอห์น มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี จบการศึกษาด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยเวสต์มินสเตอร์ การศึกษาที่ดีทำให้ จีฮัด จอห์น ใช้ภาษาอาหรับ และภาษาอังกฤษได้ดี และด้วยสำเนียงการออกเสียงที่เป็นชาวอังกฤษได้ดีนี่เอง ถือเป็นเบาะแสที่ทำให้เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองแกะรอย ได้ว่า ชายคลุมหน้าคือ “จีฮัด จอห์น” หลังจากสามารถสืบแคบลงมาได้ว่า เขาไม่ได้มาจากกลุมของชาวปากีสถาน และบังกลาเทศในอังกฤษเพราะพูดภาษาอาหรับได้อย่างคล่องแคล่ว
หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่าจีฮัด จอห์น ประสบความสำเร็จด้านการทำงานเป็นอย่างดี แต่ปมที่อยู่ในใจ ก็คือ การถูกเหยียดเชื้อชาติตั้งแต่เด็ก เนื่องจากเขาเป็นเด็กต่างชาติที่ต้องเรียนร่วมกับเด็กๆ ในอังกฤษ
จุดที่ทำให้ จีฮัด จอห์น เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงเกิดขึ้น เมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปยังประเทศแทนซาเนีย เมื่อปี 2552 เพื่อไปท่องเที่ยวในแบบซาฟารี แต่กลับโดนกักตัวเอาไว้ 1 คืน ก่อนส่งตัวกลับไปยังอังกฤษ
ยังไม่มีการเปิดเผยว่า เกิดอะไรขึ้นที่แทนซาเนีย แต่ยืนยันได้ว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ นายโมฮัมเหม็ด เอ็มวาซี กลายเป็น จีฮัด จอห์น และเมื่อเข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรงแล้ว จีฮัด จอห์น ก็อยู่ในเครือข่าย กลุ่มก่อการร้ายในกรุงลอนดอนที่หน่วยข่าวกรองเรียกว่า “บีเทิ่ล” ที่กำลังถูกเจ้าหน้าที่ตามล่าตัวในขณะนี้
มีรายงานว่า จีฮัด จอห์น หรือนายเอ็มวาซีผู้นี้ เคยส่งอีเมล์ฉบับหนึ่งถึงนักข่าวของหนังสือพิมพ์ “เมล ออน ซันเดย์” ของอังกฤษฉบับเมื่อวันที่ 14 เดือน ธ.ค. 2553 เล่าว่า เขาเคยคิดอยากกินยาฆ่าตัวตาย หลังจากถูกสายลับในประเทศสะกดรอยตามอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือน “ศพเดินได้” โดยนายเอ็มวาซีเล่าว่า การสะกดรอยตามเกิดขึ้น หลังจากเขาตัดสินใจขายเครื่องแล็บท็อปให้ชายผู้หนึ่งทางอินเตอร์เนต แต่ต่อมาพบว่า ชายผู้นี้เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง
ด้านกลุ่มรณรงค์สิทธิพลเรือนของอังกฤษ ที่เรียกว่า “เคจ” (Cage) และเคยมีการติดต่อกับนายเอ็มวาซี ระบุว่า หน่วยสืบราชการลับในประเทศ หรือ MI6 ได้สะกดรอยตามชายผู้นี้มาตั้งแต่ปี 2552 เป็นอย่างน้อย และการคอยตามรังควานนี้เอง ที่ทำให้นายเอ็มวาซี กลายเป็นพวกหัวรุนแรงในที่สุด
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน และอดีตหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับในต่างประเทศ MI6 ปฏิเสธข้อกล่าวหาของนักรณรงค์กลุ่มนี้ ขณะที่นายบอริส จอห์นสัน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน กล่าวหาเคจว่า กำลังยกโทษให้แก่การก่อการร้าย
มีการเปิดเผยเพิ่มเติมด้วยว่า สมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษา นายเอ็มวาซีมีเพื่อนนักเรียนชาย 2 คน ซึ่งต่อมากลายเป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ โดยคนหนึ่งไปรบในซีเรียและเสียชีวิตแล้ว ส่วนอีกคนไปรบในโซมาเลีย และเสียชีวิตแล้วเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีรายงานด้วยว่า นายเอ็มซาวีเคยมีการติดต่อกับกลุ่มคนที่พยายามก่อเหตุโจมตีระบบขนส่งสาธารณะในกรุงลอนดอน เมื่อปี 2548 หลังจากเพิ่งเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีกรุงลอนดอนมีผู้เสียชีวิต 52 คน ได้ 2 สัปดาห์ แต่แผนการล้มเหลวการเปิดเผยเรื่องราวความเป็นมาของนายเอ็มวาซียังสร้างแรงกดดันแก่หน่วยข่าวกรองและฝ่ายความมั่นคงของอังกฤษ ให้ออกมาชี้แจงว่า เหตุใดจึงปล่อยให้ผู้ต้องสงสัยอย่างนายเอ็มวาซีเดินทางไปซีเรียได้ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีคาเมรอนได้ออกมาปกป้อง โดยแสดงความเชื่อมั่นว่า หน่วยงานทั้งสองทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว
ขณะที่นางดรากาน่า เฮนส์ ภรรยาของนายเดวิด เฮนส์ เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ชาวอังกฤษ ที่ถูกจีฮัด จอห์น สมาชิกกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลามหรือไอเอสฆ่าตายเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วเปิดเผยว่า เธออยากเห็นจีฮัด จอห์น ถูกจับเป็น และนำตัวขึ้นศาลพลเรือนเพื่อพิจารณาคดี
นางเฮนส์บอกว่า เธอตกใจเมื่อทราบข่าวว่า จีฮัด จอห์น ชายที่สวมชุดดำปิดบังใบหน้า คือนายโมฮัมเหม็ด เอ็มวาซี ชาวอังกฤษเชื้อสายคูเวต และเธอไม่อยากเชื่อว่า คนหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา จะกลายเป็นคนที่เหี้ยมโหดไร้ความปรานี เข่นฆ่า ผู้บริสุทธิ์ได้ลงคอ นางเฮนส์ยอมรับว่า เธอตกใจที่ได้ทราบปูมหลังของนายเอ็มวาซี และคาดไม่ถึงจริงๆ เขาจะทำได้ลงคอ แต่ก็ต้องการให้สมุนไอเอส ตระหนักถึงความเจ็บปวดที่พวกเขาทำกับครอบครัวของตัวประกัน
ขณะเดียวกัน เธอยังต้องการให้ผู้คนพยายามเข้าใจว่า นี่ไม่ใช่ยุคศตวรรษที่ 8 แต่เป็นศตวรรษที่ 21 ซึ่งเธอเชื่อว่าทุกศาสนามีปัญหา ตราบใดที่ผู้คนยังเชื่อเรื่องงมงายที่เขียนไว้เมื่อ 1,000 ปีก่อน
สุดท้ายนางเฮนส์ยังกล่าวโจมตีไอเอสว่า กลุ่มไอเอสไม่เพียงแต่ทำลายชีวิตของผู้คน แต่ยังทำลายวัฒนธรรมและมรดกที่เป็นของโลก พร้อมกับหวังว่าไอเอสจะถูกปราบปราม เพื่อขัดขวางไม่ให้กลุ่มติดอาวุธทำลายมนุษยชาติ และวัฒนธรรม รวมทั้งประวัติศาสตร์
แม้ประเทศตะวันตกทั้งหลายจะรู้ตัวจีฮัด จอห์น แล้วว่าเป็นใคร แต่การจะติดตามไล่ล่าตัวเขามาลงโทษให้ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน แต่แหล่งข่าวกรองสหรัฐเชื่อว่า นายเอ็มวาซี ผู้นี้น่าจะฝังตัวอยู่ในเมืองรักกา ซึ่งเป็นรังใหญ่ของกลุ่มไอเอสนั่นเอง และแน่นอนที่สุด เวลานี้การไล่ล่าเด็ดหัวเขากำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น