พวกเราเจ็ดคนไปทานข้าวเย็นที่มาบุญครองครับ หลังจากทานเสร็จซึ่งก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆก็ได้เวลากลับบ้าน ผมจะแยกกลับคนเดียว ส่วนอีก 6 คนที่เหลือจะกลับโดยใช้บริการรถแท๊กซี่ ผมกะว่าจะช่วยหารถก่อนแล้วค่อยแยกกลับ เราเดินออกจากมาบุญครองตรงประตู KFC ซึ่งอีกนิดเดียวก็เป็นโรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส รถสามล้อจอดเป็นแถวเลยครับ มีแท๊กซี่แทรกๆอยู่บ้างพอสมควร ผมเดินนำหน้าห่างจากคนอื่นๆนิดหน่อย (คนอื่นๆก็คือ พ่อ พี่สาวสองคนพร้อมลูกตัวเล็กๆอีกสองคน และเด็กผู้ชายวัย ม. ปลายอีกหนึ่งคน) ระหว่างทางที่เดินไปนั้น คนขับตุ๊กๆและแท็กซี่โบกไม้โบกมือเรียกผมเป็นภาษาอังกฤษตลอดทางจนพ่อและพี่อดขำไม่ได้ ผมก็ได้แต่ยิ้มและส่ายหน้าปฏิเสธคนขับเหล่านั้นไปเพราะรู้แก่ใจดีว่า .. หากพวกเขารู้ว่าผมเป็นคนไทย เขาก็ปฏิเสธผมอยู่ดี เพราะที่เค้าจอดรถแช่ตรงนั้นก็เพื่อดักรับผู้โดยสารต่างชาติเท่านั้น .. มีสองครั้งที่ผมต้องบอกออกไปว่า 'ผมเป็นคนไทยครับ' เพราะคนขับเดินตรงเข้ามาจะประกบผมเพื่อชักจูงให้ใช้บริการรถเค้า และทั้งสองคนนั้นก็มีปฏิกิริยาเดียวกันเมื่อทราบว่าผมเป็นคนไทย นั่นคือ คนแรกพูดลอยๆว่า 'คนไทยๆ' แล้วก็ถอยหลังกลับไป คนที่สองไม่พูดอะไรแล้วก็หันหลังเดินกลับไปที่รถ โดยที่ทั้งสองก็ไม่ได้สนใจอะไรกับผมอีกเลย แม้แต่จะถามซักคำว่า จะไปไหน ก็ไม่มี ท่าทีบ่งบอกชัดเจนว่าจะเอาแต่ต่างชาติเท่านั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเลยเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอแบบนี้
เราเดินกันไปเรื่อยๆจนถึงหน้าโตคิว แล้วผมก็เห็นแท็กซี่สีเขียวเหลืองคันหนึ่ง คนขับอยู่ในรถแต่เปิดกระจกไว้ ทันทีที่เห็นผมเดินมาเค้าก็ตะโกนออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า 'ไอ โก เอ๊บวี่แว ยู ว้อน .. แว อา ยู โก๊?' .. ก็เดิมๆนะ .. แต่จากท่าทางที่ดูน่าจะอัธยาศัยดีของเค้าเลยทำให้ผมอยากลองถามๆดู ถ้าไม่ไปก็ไม่ว่ากัน แต่เผื่อฟลุ๊คน่ะครับ เพราะก็เริ่มขี้เกียจเดินหากันแล้ว ผมก้มตัวเล็กน้อย มองเข้าไปในรถแล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า 'จรัญ 37 ครับ'
สิ้นเสียงคำตอบของผม ยิ้มสยามที่ปรากฎอยู่บนหน้าคนขับเมื่ออึดใจก่อนหน้านี้ก็หายไปทันที กลายเป็นสีหน้าบอกบุญไม่รับ ปัดไม้ปัดมือ ส่ายหน้าพร้อบกับตอบห้วนๆว่า 'ไม่ไป!' แล้วก็เบือนหน้าออกไปทางหน้าต่างฝั่งที่เค้านั่ง ...
ผมไม่ได้ว่าอะไรนะครับที่เค้าปฏิเสธ เพราะก็ทำใจไว้แล้วกับคำตอบว่า 'ไม่' แต่ปฏิกิริยาที่เค้าทำกับผมเนี่ยสิ มันเหมือนกับว่าผมไปอ้อนวอนขอขึ้นรถเค้าฟรีๆ เหมือนผมเป็นขอทานขอให้เค้าไปส่งผมที่บ้านประมาณนั้นเลย และนั่นมันน่าโมโหสุดๆ ทำไมตอนที่คิดว่าผมเป็นต่างชาติถึงได้เสนอตัวอย่างดี พูดคุยอย่างดี มีไมตรีจิต เปี่ยมไปด้วยหัวใจแห่งการบริการ แต่พอเมื่อรู้ว่าผมเป็นคนชาติเดียวกันกับเค้าทำไมถึงได้แสดงกริยามารยาทแบบนี้ ทั้งๆที่ผมก็พูดกับเค้าดีๆพร้อมด้วยรอยยิ้ม ผมโกรธมากแต่ก็ไม่อยากจะทำอะไรให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ณ บริเวณนั้นเพราะเกรงใจพ่อ พี่สาว และเด็กๆ เลยตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะจดเลขทะเบียนเอาไว้ (ไม่ได้กะจะถ่ายรูปนะครับ) เพื่อเอาเรื่องไปร้องเรียน จังหวะเดียวกันกับที่ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา คนขับก็หันกลับมาทางผมอีกที เหมือนกับจะดูว่าผมไปหรือยัง พอเห็นผมยังยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับมือถือในมือ เค้าก็หันซ้ายหันขวาแล้วก็ขับรถออกไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แท๊กซี่สีเขียวเหลือง ทะเบียน มฎ 2858
ผมเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่าว่า คนที่ประกอบอาชีพขับรถโดยสาร งานของเขาก็คือนำส่งผู้โดยสารให้ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ว่าผู้โดยสารจะเป็นใครหรือชนชาติอะไรถ้าโบกมือเรียกรถหรือยืนรอรถ นั่นก็คือ 'ผู้โดยสาร' ใช่รึเปล่า? มิเตอร์คือมาตรฐานของราคาค่าบริการ จะแอบต่อรองกับต่างชาติเพื่อโก่งราคา อันนี้ผมพอเข้าใจ ความโลภความอยากได้มันมีอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์แทบทุกคน แล้วแต่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้น ถ้าขับๆไปแล้วเจอต่างชาติเรียก จะไม่กดมิเตอร์จะโก่งราคา หากต่อรองกันได้ นั่นก็ถือเป็นลาภของคนขับ แม้มันจะไม่ถูกต้องแต่มันก็ไม่แปลกเพราะที่อื่นๆเค้าก็ทำกัน เหมือนเป็นธรรมเนียมของแทบจะทุกประเทศในโลกมั้งครับว่าราคาสินค้าและบริการสำหรับชาวต่างชาติมักจะแพงกว่าคนในชาติเสมอ (แต่กับ taxi ที่เมืองนอกผมไม่เคยเจอนะครับ เจอก็แต่ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ สถานที่สำคัญๆ เท่านั้น) แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือทำไมคนขับแท็กซี่บางกลุ่มถึงเอาคำว่า 'ผู้โดยสารต่างชาติ' มาเป็นบรรทัดฐานในการดำรงชีพของเค้าขนาดนั้น มันต่างกันนะครับระหว่าง
1. แท็กซี่ที่รับผู้โดยสารทั้งคนไทยและคนต่างชาติ แล้วแต่โอกาสว่าเจอใคร (ในกรณีต่างชาติ จะกดมิเตอร์หรือจะไม่กดนั่นก็อีกเรื่อง) กับ ...
2. แท็กซี่ที่จ้องจะเอาผู้โดยสารต่างชาติเท่านั้น เพราะคิดว่ายิ่งได้ลูกค้าประเภทนี้เยอะ = เงินที่จะหาได้มากขึ้นต่อการวิ่งหนึ่งรอบ แล้วด้วยความที่จะเอาแต่ต่างชาติถึงกับปฏิเสธลูกค้าที่เป็นคนไทยด้วยกันเอง ทั้งๆที่ในหนึ่งวันมีคนกรุงเทพเรียกใช้บริการแท็กซี่กันไม่น้อยเลย โดยเฉพาะย่านแหล่งช้อปปิ้งที่เป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพ อย่างเช่น สยาม ประตูน้ำ เป็นต้น ไม่ปฏิเสธครับว่าสองที่ที่กล่าวมานี้มีชาวต่างชาติเรียกใช้เยอะ แต่คนไทยที่ไปซื้อของแล้วต้องการเรียกใช้บริการแท็กซี่ก็มีเยอะกว่าชาวต่างชาตินะครับ โดยเฉพาะย่านประตูน้ำ
อะไรมันได้เงินเยอะกว่ากัน ระหว่างจอดรถแช่รอฝรั่ง รอนานๆแลกกับเงินเที่ยวละสองถึงสามร้อย แล้วก็กลับมารอใหม่ กับรับไปเรื่อยๆไม่ว่าจะไทยจะฝรั่ง รับคนไทยก็ไม่ได้แปลว่าได้เงินน้อย กดมิเตอร์มันก็ได้เงินตามมาตรฐานที่ควรจะได้ใช่ไหมครับ รับฝรั่งจะกดมิเตอร์หรือไม่กดมันก็ได้เงินใช่ไหม ส่วนใหญ่ที่มาบ่นนักบ่นหนาว่าได้เงินน้อยก็เพราะเลือกผู้โดยสารไม่ใช่เหรอครับ ไกลก็ไม่ไปเพราะกลัวขากลับต้องตีรถเปล่า บางทีใกล้เกินก็ไม่ไป (อันนี้ผมเคยเจอกับตัวนะ หลายครั้งด้วย บางครั้งเป็นทางที่เค้าน่าจะขับผ่านแต่ก็ปฏิเสธซะอย่างนั้น) เส้นนั้นเส้นนี้รถติดก็ไม่ไป รถไม่วิ่งแต่มิเตอร์ยังวิ่งนะครับ ไม่ใช่ว่ารถติดนิ่งๆแล้วมิเตอร์จะไม่กระดิกซะเมื่อไหร่ และอีกหลากหลายข้ออ้างที่จะปฏิเสธผู้โดยสาร สุดท้ายก็มาบ่นว่าขับแท๊กซี่ได้เงินน้อย แน่นอนครับที่ได้น้อยเพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ประกอบอาชีพนี้อย่างแท้จริง เป็นแค่พวกที่กะจะมาหาเงินจากอาชีพนี้เท่านั้น ผมเคยคุยกับคนขับที่เขาบอกว่าไม่เลือกผู้โดยสาร (สองคนมั้งครับ เท่าที่จำได้นะ) เจอใครเรียกก็รับหมด ปฏิเสธบ้างเล็กน้อยในกรณีที่ผู้โดยสารไม่น่าไว้วางใจ กับบางทีที่เรียกไปไกลเกินแล้วเค้ากลัวว่าหากขากลับไม่มีผู้โดยสารเลยเนี่ยมันจะได้ไม่คุ้มเสีย เค้าก็บอกตรงๆนะครับว่าก็อยู่ได้ จะลำบากจริงๆก็ช่วงเทศกาลที่คนออกนอกกรุงเทพกันเยอะๆ แต่ช่วงปกติรายได้ก็โอเค สิ่งที่คนขับสองคนที่ว่านี้พูดเหมือนกันคือ 'ถ้าขับๆไปเจอฝรั่งเรียกก็โชคดี' เพราะมันแปลว่าเค้าไม่ได้ดักรับแต่ชาวต่างชาติ แต่บังเอิญเจอในระหว่างขับรถเปล่ามากกว่า มีอยู่วันหนึ่งผมไปหาเพื่อนชาวต่างชาติที่โนโวเทลสยามสแควร์ ตอนเดินเข้าไปมีแท๊กซี่จอดอยู่ไม่กี่คัน แล้วคนขับคนหนึ่งก็มาเจรจากับผมเป็นภาษาอังกฤษ ผมหันไปมองหน้าแต่ไม่ได้ตอบอะไร เดินตรงเข้าโรงแรมไปหาเพื่อนในล๊อบบี้ พาเพื่อนออกไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารอีสานใกล้ๆโรงแรม เดินเล่น แล้วก็วนกลับมาที่โรงแรม ก็ยังเจอคนขับคนนั้นจอดอยู่ที่เดิม ยืนอยู่ที่เดิม เข้ามาหาผมทักทายผมด้วยคำพูดเดิมๆ ผมก็ตอบแบบเดิมๆว่า 'คนไทยครับ แต่เพื่อนผมเนี่ยต่างชาติ' เค้าก็บอกผมว่า 'เพื่อนไม่ไปเที่ยวไหนเหรอ ถามเพื่อนสิ ถ้าอยากไปเดี๋ยวพี่พาไป' ผมเลยถามว่า 'ถ้าเขาไปผมก็ต้องไปด้วย พี่จะคิดค่าโดยสารยังไง จะกดมิเตอร์หรือพี่จะเรียกเท่าไหร่?' คำตอบที่ผมได้ยินทำเอาผมแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่เลยครับ พี่เขาตอบว่า 'ยังไงก็ได้ที่มันได้เงินอ่ะน้อง พี่จอดดักฝรั่งตรงนี้นานละ มีแต่เดินผ่าน น้องชวนเพื่อนน้องไปเที่ยวสิ อยากไปไหนล่ะ เดี๋ยวพี่แนะนำให้ก็ได้!' สรุปผมกับเพื่อนจะไปนั่งดื่มนั่งคุยกันเบาๆที่ร้านชิลๆที่พี่แท๊กซี่แนะนำครับ แต่เราไม่อยากไปไหนไกลจากโรงแรมมากนัก พี่แท็กซี่ก็แนะนำให้ อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเลย โรงแรมอยู่สยาม ร้านที่จะไปอยู่เชิงสะพานหัวช้างก่อนถึงบีทีเอสราชเทวี! แต่ก่อนที่จะไปเพื่อนผมอยากกลับขึ้นไปบนห้องพักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า พี่แท็กซี่บอกว่าจะรอ ผมกับเพื่อนเลยบอกว่า 'ได้ แต่ถ้าระหว่างนั้นมีใครมาเรียก พี่ก็ไปได้เลยนะ ถ้าลงมาไม่เจอพี่เดี๋ยวผมกับเพื่อนนั่งชิลกันที่โรงแรมนี่แหละ' ระหว่างที่กลับขึ้นไปบนห้องพัก ผมก็เล่าให้เพื่อนฟังว่าผมเจอคนคนนี้ตอนขามาแล้วรอบนึง เราไปกินข้าวเดินเล่นจนกลับมาซึ่งน่าจะเกือบสองชั่วโมง เค้าก็ยังรอผู้โดยสารอยู่ที่เดิม แล้วก็แปลสิ่งที่ผมกับพี่แท็กซี่คุยกันก่อนที่จะกลับมาบนห้องอย่างละเอียด เพื่อนผมขำใหญ่เลยครับ เพื่อนผมถามผมประมาณว่า 'อะไรที่ทำให้เค้าคิดว่าชาวต่างชาติที่พักในโรงแรมย่านนี้จะต้องใช้แท๊กซี่ในเมื่อเดินเอาง่ายกว่า แถวนี้มีทุกอย่าง ที่เลือกมาพักที่นี่ก็เพราะอย่างนี้นี่แหละ จะออกจากย่านนี้ Skytrain ก็มี จะต้องเรียกแท็กซี่แพงๆทำไม!' 5555555+ เพื่อนผมคนนี้มาเที่ยวเมืองไทยบ่อยครับ จะนั่งแท็กซี่ครั้งเดียวเท่านั้นคือวันที่จะเดินทางกลับประเทศเค้า เรียกจากโรงแรมไปสนามบิน และเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่มาเที่ยวกรุงเทพ .......
สุดท้าย เราลงมาข้างล่างกันอีกครั้ง พ้นมุมตึกมาก็ยังเห็นพี่แท็กซี่คนนั้นยืนยิ้มมองมาทางพวกเราอยู่ก่อนแล้ว พอเดินเข้าไปใกล้ พี่เค้าก็พูดกับผมว่า
'แหม่ พี่ก็นึกว่าจะไม่ลงมากันซะแล้ว'
คนขับแท็กซี่เข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นต่างชาติ แต่เมื่อรู้ว่าผมเป็นคนไทย เขามีปฏิกิริยาแบบนี้
เราเดินกันไปเรื่อยๆจนถึงหน้าโตคิว แล้วผมก็เห็นแท็กซี่สีเขียวเหลืองคันหนึ่ง คนขับอยู่ในรถแต่เปิดกระจกไว้ ทันทีที่เห็นผมเดินมาเค้าก็ตะโกนออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า 'ไอ โก เอ๊บวี่แว ยู ว้อน .. แว อา ยู โก๊?' .. ก็เดิมๆนะ .. แต่จากท่าทางที่ดูน่าจะอัธยาศัยดีของเค้าเลยทำให้ผมอยากลองถามๆดู ถ้าไม่ไปก็ไม่ว่ากัน แต่เผื่อฟลุ๊คน่ะครับ เพราะก็เริ่มขี้เกียจเดินหากันแล้ว ผมก้มตัวเล็กน้อย มองเข้าไปในรถแล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า 'จรัญ 37 ครับ'
สิ้นเสียงคำตอบของผม ยิ้มสยามที่ปรากฎอยู่บนหน้าคนขับเมื่ออึดใจก่อนหน้านี้ก็หายไปทันที กลายเป็นสีหน้าบอกบุญไม่รับ ปัดไม้ปัดมือ ส่ายหน้าพร้อบกับตอบห้วนๆว่า 'ไม่ไป!' แล้วก็เบือนหน้าออกไปทางหน้าต่างฝั่งที่เค้านั่ง ...
ผมไม่ได้ว่าอะไรนะครับที่เค้าปฏิเสธ เพราะก็ทำใจไว้แล้วกับคำตอบว่า 'ไม่' แต่ปฏิกิริยาที่เค้าทำกับผมเนี่ยสิ มันเหมือนกับว่าผมไปอ้อนวอนขอขึ้นรถเค้าฟรีๆ เหมือนผมเป็นขอทานขอให้เค้าไปส่งผมที่บ้านประมาณนั้นเลย และนั่นมันน่าโมโหสุดๆ ทำไมตอนที่คิดว่าผมเป็นต่างชาติถึงได้เสนอตัวอย่างดี พูดคุยอย่างดี มีไมตรีจิต เปี่ยมไปด้วยหัวใจแห่งการบริการ แต่พอเมื่อรู้ว่าผมเป็นคนชาติเดียวกันกับเค้าทำไมถึงได้แสดงกริยามารยาทแบบนี้ ทั้งๆที่ผมก็พูดกับเค้าดีๆพร้อมด้วยรอยยิ้ม ผมโกรธมากแต่ก็ไม่อยากจะทำอะไรให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ณ บริเวณนั้นเพราะเกรงใจพ่อ พี่สาว และเด็กๆ เลยตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะจดเลขทะเบียนเอาไว้ (ไม่ได้กะจะถ่ายรูปนะครับ) เพื่อเอาเรื่องไปร้องเรียน จังหวะเดียวกันกับที่ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา คนขับก็หันกลับมาทางผมอีกที เหมือนกับจะดูว่าผมไปหรือยัง พอเห็นผมยังยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับมือถือในมือ เค้าก็หันซ้ายหันขวาแล้วก็ขับรถออกไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่าว่า คนที่ประกอบอาชีพขับรถโดยสาร งานของเขาก็คือนำส่งผู้โดยสารให้ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ว่าผู้โดยสารจะเป็นใครหรือชนชาติอะไรถ้าโบกมือเรียกรถหรือยืนรอรถ นั่นก็คือ 'ผู้โดยสาร' ใช่รึเปล่า? มิเตอร์คือมาตรฐานของราคาค่าบริการ จะแอบต่อรองกับต่างชาติเพื่อโก่งราคา อันนี้ผมพอเข้าใจ ความโลภความอยากได้มันมีอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์แทบทุกคน แล้วแต่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้น ถ้าขับๆไปแล้วเจอต่างชาติเรียก จะไม่กดมิเตอร์จะโก่งราคา หากต่อรองกันได้ นั่นก็ถือเป็นลาภของคนขับ แม้มันจะไม่ถูกต้องแต่มันก็ไม่แปลกเพราะที่อื่นๆเค้าก็ทำกัน เหมือนเป็นธรรมเนียมของแทบจะทุกประเทศในโลกมั้งครับว่าราคาสินค้าและบริการสำหรับชาวต่างชาติมักจะแพงกว่าคนในชาติเสมอ (แต่กับ taxi ที่เมืองนอกผมไม่เคยเจอนะครับ เจอก็แต่ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ สถานที่สำคัญๆ เท่านั้น) แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือทำไมคนขับแท็กซี่บางกลุ่มถึงเอาคำว่า 'ผู้โดยสารต่างชาติ' มาเป็นบรรทัดฐานในการดำรงชีพของเค้าขนาดนั้น มันต่างกันนะครับระหว่าง
1. แท็กซี่ที่รับผู้โดยสารทั้งคนไทยและคนต่างชาติ แล้วแต่โอกาสว่าเจอใคร (ในกรณีต่างชาติ จะกดมิเตอร์หรือจะไม่กดนั่นก็อีกเรื่อง) กับ ...
2. แท็กซี่ที่จ้องจะเอาผู้โดยสารต่างชาติเท่านั้น เพราะคิดว่ายิ่งได้ลูกค้าประเภทนี้เยอะ = เงินที่จะหาได้มากขึ้นต่อการวิ่งหนึ่งรอบ แล้วด้วยความที่จะเอาแต่ต่างชาติถึงกับปฏิเสธลูกค้าที่เป็นคนไทยด้วยกันเอง ทั้งๆที่ในหนึ่งวันมีคนกรุงเทพเรียกใช้บริการแท็กซี่กันไม่น้อยเลย โดยเฉพาะย่านแหล่งช้อปปิ้งที่เป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพ อย่างเช่น สยาม ประตูน้ำ เป็นต้น ไม่ปฏิเสธครับว่าสองที่ที่กล่าวมานี้มีชาวต่างชาติเรียกใช้เยอะ แต่คนไทยที่ไปซื้อของแล้วต้องการเรียกใช้บริการแท็กซี่ก็มีเยอะกว่าชาวต่างชาตินะครับ โดยเฉพาะย่านประตูน้ำ
อะไรมันได้เงินเยอะกว่ากัน ระหว่างจอดรถแช่รอฝรั่ง รอนานๆแลกกับเงินเที่ยวละสองถึงสามร้อย แล้วก็กลับมารอใหม่ กับรับไปเรื่อยๆไม่ว่าจะไทยจะฝรั่ง รับคนไทยก็ไม่ได้แปลว่าได้เงินน้อย กดมิเตอร์มันก็ได้เงินตามมาตรฐานที่ควรจะได้ใช่ไหมครับ รับฝรั่งจะกดมิเตอร์หรือไม่กดมันก็ได้เงินใช่ไหม ส่วนใหญ่ที่มาบ่นนักบ่นหนาว่าได้เงินน้อยก็เพราะเลือกผู้โดยสารไม่ใช่เหรอครับ ไกลก็ไม่ไปเพราะกลัวขากลับต้องตีรถเปล่า บางทีใกล้เกินก็ไม่ไป (อันนี้ผมเคยเจอกับตัวนะ หลายครั้งด้วย บางครั้งเป็นทางที่เค้าน่าจะขับผ่านแต่ก็ปฏิเสธซะอย่างนั้น) เส้นนั้นเส้นนี้รถติดก็ไม่ไป รถไม่วิ่งแต่มิเตอร์ยังวิ่งนะครับ ไม่ใช่ว่ารถติดนิ่งๆแล้วมิเตอร์จะไม่กระดิกซะเมื่อไหร่ และอีกหลากหลายข้ออ้างที่จะปฏิเสธผู้โดยสาร สุดท้ายก็มาบ่นว่าขับแท๊กซี่ได้เงินน้อย แน่นอนครับที่ได้น้อยเพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ประกอบอาชีพนี้อย่างแท้จริง เป็นแค่พวกที่กะจะมาหาเงินจากอาชีพนี้เท่านั้น ผมเคยคุยกับคนขับที่เขาบอกว่าไม่เลือกผู้โดยสาร (สองคนมั้งครับ เท่าที่จำได้นะ) เจอใครเรียกก็รับหมด ปฏิเสธบ้างเล็กน้อยในกรณีที่ผู้โดยสารไม่น่าไว้วางใจ กับบางทีที่เรียกไปไกลเกินแล้วเค้ากลัวว่าหากขากลับไม่มีผู้โดยสารเลยเนี่ยมันจะได้ไม่คุ้มเสีย เค้าก็บอกตรงๆนะครับว่าก็อยู่ได้ จะลำบากจริงๆก็ช่วงเทศกาลที่คนออกนอกกรุงเทพกันเยอะๆ แต่ช่วงปกติรายได้ก็โอเค สิ่งที่คนขับสองคนที่ว่านี้พูดเหมือนกันคือ 'ถ้าขับๆไปเจอฝรั่งเรียกก็โชคดี' เพราะมันแปลว่าเค้าไม่ได้ดักรับแต่ชาวต่างชาติ แต่บังเอิญเจอในระหว่างขับรถเปล่ามากกว่า มีอยู่วันหนึ่งผมไปหาเพื่อนชาวต่างชาติที่โนโวเทลสยามสแควร์ ตอนเดินเข้าไปมีแท๊กซี่จอดอยู่ไม่กี่คัน แล้วคนขับคนหนึ่งก็มาเจรจากับผมเป็นภาษาอังกฤษ ผมหันไปมองหน้าแต่ไม่ได้ตอบอะไร เดินตรงเข้าโรงแรมไปหาเพื่อนในล๊อบบี้ พาเพื่อนออกไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารอีสานใกล้ๆโรงแรม เดินเล่น แล้วก็วนกลับมาที่โรงแรม ก็ยังเจอคนขับคนนั้นจอดอยู่ที่เดิม ยืนอยู่ที่เดิม เข้ามาหาผมทักทายผมด้วยคำพูดเดิมๆ ผมก็ตอบแบบเดิมๆว่า 'คนไทยครับ แต่เพื่อนผมเนี่ยต่างชาติ' เค้าก็บอกผมว่า 'เพื่อนไม่ไปเที่ยวไหนเหรอ ถามเพื่อนสิ ถ้าอยากไปเดี๋ยวพี่พาไป' ผมเลยถามว่า 'ถ้าเขาไปผมก็ต้องไปด้วย พี่จะคิดค่าโดยสารยังไง จะกดมิเตอร์หรือพี่จะเรียกเท่าไหร่?' คำตอบที่ผมได้ยินทำเอาผมแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่เลยครับ พี่เขาตอบว่า 'ยังไงก็ได้ที่มันได้เงินอ่ะน้อง พี่จอดดักฝรั่งตรงนี้นานละ มีแต่เดินผ่าน น้องชวนเพื่อนน้องไปเที่ยวสิ อยากไปไหนล่ะ เดี๋ยวพี่แนะนำให้ก็ได้!' สรุปผมกับเพื่อนจะไปนั่งดื่มนั่งคุยกันเบาๆที่ร้านชิลๆที่พี่แท๊กซี่แนะนำครับ แต่เราไม่อยากไปไหนไกลจากโรงแรมมากนัก พี่แท็กซี่ก็แนะนำให้ อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเลย โรงแรมอยู่สยาม ร้านที่จะไปอยู่เชิงสะพานหัวช้างก่อนถึงบีทีเอสราชเทวี! แต่ก่อนที่จะไปเพื่อนผมอยากกลับขึ้นไปบนห้องพักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า พี่แท็กซี่บอกว่าจะรอ ผมกับเพื่อนเลยบอกว่า 'ได้ แต่ถ้าระหว่างนั้นมีใครมาเรียก พี่ก็ไปได้เลยนะ ถ้าลงมาไม่เจอพี่เดี๋ยวผมกับเพื่อนนั่งชิลกันที่โรงแรมนี่แหละ' ระหว่างที่กลับขึ้นไปบนห้องพัก ผมก็เล่าให้เพื่อนฟังว่าผมเจอคนคนนี้ตอนขามาแล้วรอบนึง เราไปกินข้าวเดินเล่นจนกลับมาซึ่งน่าจะเกือบสองชั่วโมง เค้าก็ยังรอผู้โดยสารอยู่ที่เดิม แล้วก็แปลสิ่งที่ผมกับพี่แท็กซี่คุยกันก่อนที่จะกลับมาบนห้องอย่างละเอียด เพื่อนผมขำใหญ่เลยครับ เพื่อนผมถามผมประมาณว่า 'อะไรที่ทำให้เค้าคิดว่าชาวต่างชาติที่พักในโรงแรมย่านนี้จะต้องใช้แท๊กซี่ในเมื่อเดินเอาง่ายกว่า แถวนี้มีทุกอย่าง ที่เลือกมาพักที่นี่ก็เพราะอย่างนี้นี่แหละ จะออกจากย่านนี้ Skytrain ก็มี จะต้องเรียกแท็กซี่แพงๆทำไม!' 5555555+ เพื่อนผมคนนี้มาเที่ยวเมืองไทยบ่อยครับ จะนั่งแท็กซี่ครั้งเดียวเท่านั้นคือวันที่จะเดินทางกลับประเทศเค้า เรียกจากโรงแรมไปสนามบิน และเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่มาเที่ยวกรุงเทพ .......
สุดท้าย เราลงมาข้างล่างกันอีกครั้ง พ้นมุมตึกมาก็ยังเห็นพี่แท็กซี่คนนั้นยืนยิ้มมองมาทางพวกเราอยู่ก่อนแล้ว พอเดินเข้าไปใกล้ พี่เค้าก็พูดกับผมว่า
'แหม่ พี่ก็นึกว่าจะไม่ลงมากันซะแล้ว'