ไปอ่านเจอมาจากเว็บเด็กดีค่ะ เห็นว่าน่ารักดี จึงอยากนำมาแบ่งปันกับเพื่อนๆ ค่ะ
ที่มา -
http://www.dek-d.com/studyabroad/36595/
--------
สวัสดีครับน้องๆ ชาว Dek-D.com เจอกับ พี่โช และคอลัมน์ JaPON JaPAN (เจปงเจแปน) วันนี้ พี่โช มาพร้อมกับเรื่องที่กำลังเป็นที่รู้จักในญี่ปุ่นครับ เพิ่งออกทีวีช่องฟูจิรายการ UNBELIEVABLE ไปสดๆ ร้อนๆ เรื่องที่ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเบนโต (ข้าวกล่อง) น่ารักๆ แต่บางทีก็น่าเกลียด เอ๊ะ อะไรยังไง เอาเป็นว่าไม่ใช่แค่เรื่องราวธรรมดาๆ ของเบนโตที่คุณแม่ชาวญี่ปุ่นทำให้ลูกของตัวเองไปกินที่โรงเรียนในมื้อกลางวันอย่างที่เรารู้จักกัน แต่เป็นเรื่องเบนโตที่โด่งดังที่ทั้งสนุก แสบคัน และซึ้งๆ แอบดราม่าเล็กๆ อีกด้วย ยิ่งพูดยิ่งงง เอาเป็นว่าไปอ่านกันเลยครับ
ก่อนอื่น เอาเบนโตเจ้าปัญหาไปดูกันก่อนว่ามีหน้าตาเป็นเช่นไรบ้าง
เอ๊ะ ก็ดูน่ารักดีนี่นา ไม่เห็นตื่นเต้น
อันนี้ก็น่ารักดี เอ๊ะ ยังไงกันนะ
หลายคนอาจเริ่มงงว่า เบนโตพวกนี้มันจะมีประเด็นอะไร พี่โช ถึงได้เอามาเป็นบทความครั้งนี้
โอเค มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่า...
เรื่องมันมีอยู่ว่า มีคุณแม่คนหนึ่ง หย่ากับสามี จึงต้องรับภาระเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว คุณแม่จึงต้องทั้งเลี้ยงลูกและหาเงินไปด้วย เรียกได้ว่าเหนื่อยสุดๆ โดยงานที่คุณแม่ทำนั้นคือที่โรงงานทำขนม พอตกกลางคืนก็หารายได้พิเศษด้วยการทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านเพื่อส่งลูกเรียนได้ตลอดรอดฝั่ง
คือเป็น single mother จริงจัง
แต่พอลูกสาวเข้าสู่วัยรุ่น อย่างที่เรารู้จักกันดี วัยรุ่นจะมีโลกส่วนตัวสูง เริ่มต่อต้านผู้ปกครอง เก็บตัวเงียบ ไม่พูดไม่จา ไม่ช่วยเก็บแอบบ้าน เอาแต่เล่นมือถือ แถมตะคอกคุณแม่ว่าหนวกหูบ้าง ให้หุบปากบ้าง
คุณแม่จึงคิดหาวิธีเอาคืนและดัดนิสัยลูกสาวแบบอยู่หมัด ด้วยวิธีการทำข้าวกล่องให้ลูกสาวไปกินที่โรงเรียน ซึ่งข้าวกล่องที่ว่านั้นจะเปลี่ยนหน้าไปทุกวัน สุดแสนจะครีเอทและน่ารักอย่างที่เห็น
คราวนี้หลายคนอาจจะงงว่า เอ๊ะ ข้าวกล่องหน้าตาออกจะน่ารัก มันเป็นการดัดนิสัยลูกยังไงกันล่ะ
คุณแม่ก็เลยออกมาเฉลยว่า ที่ต้องทำข้าวกล่องหน้าตาน่ารักหรือเป็นตัวการ์ตูนต่างๆ แบบนี้เพราะลูกสาวเป็นคนเงียบๆ ขรึมๆ ไม่ชอบอะไรกระจุกกระจิก แน่นอนว่าถ้าไปเปิดข้าวกล่องน่ารักนี้ต่อหน้าเพื่อนๆ ที่โรงเรียนลูกสาวต้องอายอย่างแน่นอน หลายคนที่เป็นเหมือนลูกสาวคนนี้ น่าจะพอเข้าใจว่า ถ้าเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรหวานๆ น่ารักๆ เนี่ย คือแทบเบ้ปากใส่ของพวกนี้เลยนะ
เย็นวันแรกที่ลูกสาวได้รับข้าวกล่องหน้าตาน่ารักนี้ คุณแม่ตั้งหน้าตั้งตาคอยดูปฏิกิริยาของลูกสาวว่าจะเป็นเช่นไร จะเหวี่ยง หรือจะโกรธ หรือจะไม่กินข้าวกล่อง ปรากฎคือลูกสาวก็ไม่พูดไม่จา ทำเป็นเหมือนไม่รู้ไม่เห็น
คุณแม่ก็สุดจะทน ตอบโต้ลูกสาวด้วยการทำข้าวกล้องหน้าตาประหลาดและสร้างสรรค์ขึ้นไปอีก วันไหนโกรธก็ทำข้าวกล่องแบบปีศาจ แต่ลูกสาวก็เหมือนเดิมคือ ไม่พูดไม่จาอะไร เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคุณแม่จึงเริ่มเขียนบล็อค อัพโหลดรูปข้าวกล่องแต่ละวันๆ ให้คุณแม่คนอื่นๆ ได้มาร่วมแสดงความคิดเห็นกัน
มีข้าวกล่องอยู่หน้าหนึ่งที่แบบว่าโด่งดังสุดๆ นั่นคือข้าวกล่องหน้านี้
ที่มาของข้าวกล่องนี้คือมีอยู่วันหนึ่ง ลูกสาวมาบอกให้คุณแม่ขับรถพาไปส่งโรงเรียนตอนเช้า ซึ่งก็รู้กันดีว่าคุณแม่ทำงานทั้งวันทั้งคืน เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ตอนเช้าตรู่โดยปกติจึงไม่สามารถตื่นไปส่งลูกได้ แต่ในที่สุดวันนั้นคุณแม่ก็อุตส่าห์ขับพาลูกสาวไปส่งถึงที่ แต่ลูกสาวกลับไม่พูดขอบคุณแม้แต่สักคำเดียว คุณแม่จึงโกรธมากและตำหนิลูกด้วยการทำเป็นข้าวกล่องขึ้นมา ที่เขียนอยู่บนข้าวกล่องคือประมาณว่า
“เดินไปเอง!!!!!”
คุณแม่ได้ทำข้าวกล่องแบบนี้โดยไม่ขาดแม้แต่สักวันเดียวเป็นเวลาทั้งหมด 3 ปี นั่นคือช่วงม.ปลายของลูก จนกระทั่งมาถึงวันสุดท้ายที่คุณแม่ทำข้าวกล่อง....
อย่างที่เห็น ข้าวกล่องมีขนาดใหญ่มาก และมีถึงสองชั้น เอ๊ะ ยังไงกันนะ ตื่นเต้นๆๆๆ
พอลูกสาวไปเปิดดูที่โรงเรียน ด้วยความประหลาดใจ ข้าวกล่องวันสุดท้ายนี้กลับไม่เป็นตุ๊กตาน่ารัก แต่กลับเป็นข้าวกล่องแสนปกติ
แต่ที่ซ่อนไว้และทำให้ลูกสาวตกใจมากที่สุดคือ ข้าวกล่องอีกชั้นหนึ่งที่ซ่อนไว้นั้นเป็นหน้า “ประกาศนียบัตร” ว่าลูกสาวได้อดทนทานข้าวกล่องที่ตัวเองแสนจะเกลียดนี้มาแล้วกว่าสามปี จึงขอสรรเสริญคุณงามความดีด้านการอดทนเป็นเลิศนี้
... แต่ก็เช่นเคย ลูกสาวก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรต่อข้าวกล่องนี้เหมือนเคย โอ้ย มันหึยยยอะ ของขึ้นแทนคุณแม่
จนกระทั่งวันต่อมา คุณแม่ได้รับพัสดุเป็นหนังสือ หนังสือนี้เป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวทั้งหมดนี้ของคุณแม่ที่เขียนไว้ในบล็อคตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งไปเตะตาสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งเข้า จึงทำการรวบรวมตีพิมพ์ขึ้นมา
สิ่งที่คุณแม่ช็อคและถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่คือ หน้าสุดท้ายของหนังสือนั้น กลับกลายเป็นข้อความจากลูกสาวของตนที่เขียนถึงคุณแม่ ว่าตัวเองก็ตื้นตันกับสิ่งที่คุณแม่ทำมาตลอดสามปีนี้
“...ที่คุณแม่ทำเบนโตเหล่านี้ด้วยตัวเองมาตลอด 3 ปีเป็นเรื่องที่สุดยอดจริงๆ หนูเองก็รู้ว่าคุณแม่ทำงานเหนื่อยถึงตี 1 ทุกวัน แต่พอตี 5 หนูก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กๆ ทำเบนโตจากในครัวแล้ว ตื้นตันกับสิ่งที่คุณแม่ทำให้จริงๆ ค่ะ... “
แม้ลูกสาวจะไม่แสดงออกให้คุณแม่เห็น แต่ลูกสาวบอกว่า "ทุกครั้งที่คุณแม่พยายามทำตัวตลก ลูกสาวก็รู้สึกว่ามันแอบสะเหล่อนิดๆ แต่ก็ชื่นชมที่ทำให้กันขนาดนี้ อยากขอบคุณคุณแม่จริงๆ จากลูกสาวหัวดื้อ”
ในตอนสุดท้าย กลายเป็นว่าทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกันและเรื่องราวทั้งหมดกลายมาเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้กลับมาดีอีกครั้ง
นี่แหละครับ ที่บอกว่าเป็นเรื่องของเบนโต แต่ก็ไม่เหมือนกับเรื่องเบนโตน่ารักๆ ที่เราเคยรู้จักกันมาก่อนเสียทีเดียว เพราะแบบว่าแอบมีเรื่องราวของการพยายามสร้างความสัมพันธ์ของคนเป็นแม่กับลูกสาวที่กำลังอยู่ในวัยต่อต้านผู้ปกครอง จนคุณแม่ต้องพยายามหาวิธีปราบลูกที่อยู่ในวัยรุ่นจนประสบความสำเร็จอย่างน่าชื่นชม พอ พี่โช ได้ดูในทีวีปุ๊บก็อยากจะเอามาแชร์ให้น้องๆ ได้อ่านกันเลยทันที เรื่องโลกสวยแฮปปี้เอนดิ้งแบบนี้เนี่ย ชอบ สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทีวีช่องฟูจิด้วยนะครับที่นำเรื่องราวนี้มาทำเป็นละครสั้นเข้าใจง่ายจนทำให้ได้นำมาเล่าสู่กันฟังต่อน้องๆ ชาวไทยอีกที สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน ครั้งต่อไปจะเป็นเรื่องอะไรติดตามกันต่อไปนะครับผม
------
อ่านแล้วยิ้มเลย! เมื่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่น ดัดนิสัยลูกสาวหัวดื้อด้วยข้าวกล่อง
ที่มา - http://www.dek-d.com/studyabroad/36595/
--------
สวัสดีครับน้องๆ ชาว Dek-D.com เจอกับ พี่โช และคอลัมน์ JaPON JaPAN (เจปงเจแปน) วันนี้ พี่โช มาพร้อมกับเรื่องที่กำลังเป็นที่รู้จักในญี่ปุ่นครับ เพิ่งออกทีวีช่องฟูจิรายการ UNBELIEVABLE ไปสดๆ ร้อนๆ เรื่องที่ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเบนโต (ข้าวกล่อง) น่ารักๆ แต่บางทีก็น่าเกลียด เอ๊ะ อะไรยังไง เอาเป็นว่าไม่ใช่แค่เรื่องราวธรรมดาๆ ของเบนโตที่คุณแม่ชาวญี่ปุ่นทำให้ลูกของตัวเองไปกินที่โรงเรียนในมื้อกลางวันอย่างที่เรารู้จักกัน แต่เป็นเรื่องเบนโตที่โด่งดังที่ทั้งสนุก แสบคัน และซึ้งๆ แอบดราม่าเล็กๆ อีกด้วย ยิ่งพูดยิ่งงง เอาเป็นว่าไปอ่านกันเลยครับ
ก่อนอื่น เอาเบนโตเจ้าปัญหาไปดูกันก่อนว่ามีหน้าตาเป็นเช่นไรบ้าง
เอ๊ะ ก็ดูน่ารักดีนี่นา ไม่เห็นตื่นเต้น
อันนี้ก็น่ารักดี เอ๊ะ ยังไงกันนะ
หลายคนอาจเริ่มงงว่า เบนโตพวกนี้มันจะมีประเด็นอะไร พี่โช ถึงได้เอามาเป็นบทความครั้งนี้
โอเค มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่า...
เรื่องมันมีอยู่ว่า มีคุณแม่คนหนึ่ง หย่ากับสามี จึงต้องรับภาระเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว คุณแม่จึงต้องทั้งเลี้ยงลูกและหาเงินไปด้วย เรียกได้ว่าเหนื่อยสุดๆ โดยงานที่คุณแม่ทำนั้นคือที่โรงงานทำขนม พอตกกลางคืนก็หารายได้พิเศษด้วยการทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านเพื่อส่งลูกเรียนได้ตลอดรอดฝั่ง
คือเป็น single mother จริงจัง
แต่พอลูกสาวเข้าสู่วัยรุ่น อย่างที่เรารู้จักกันดี วัยรุ่นจะมีโลกส่วนตัวสูง เริ่มต่อต้านผู้ปกครอง เก็บตัวเงียบ ไม่พูดไม่จา ไม่ช่วยเก็บแอบบ้าน เอาแต่เล่นมือถือ แถมตะคอกคุณแม่ว่าหนวกหูบ้าง ให้หุบปากบ้าง
คุณแม่จึงคิดหาวิธีเอาคืนและดัดนิสัยลูกสาวแบบอยู่หมัด ด้วยวิธีการทำข้าวกล่องให้ลูกสาวไปกินที่โรงเรียน ซึ่งข้าวกล่องที่ว่านั้นจะเปลี่ยนหน้าไปทุกวัน สุดแสนจะครีเอทและน่ารักอย่างที่เห็น
คราวนี้หลายคนอาจจะงงว่า เอ๊ะ ข้าวกล่องหน้าตาออกจะน่ารัก มันเป็นการดัดนิสัยลูกยังไงกันล่ะ
คุณแม่ก็เลยออกมาเฉลยว่า ที่ต้องทำข้าวกล่องหน้าตาน่ารักหรือเป็นตัวการ์ตูนต่างๆ แบบนี้เพราะลูกสาวเป็นคนเงียบๆ ขรึมๆ ไม่ชอบอะไรกระจุกกระจิก แน่นอนว่าถ้าไปเปิดข้าวกล่องน่ารักนี้ต่อหน้าเพื่อนๆ ที่โรงเรียนลูกสาวต้องอายอย่างแน่นอน หลายคนที่เป็นเหมือนลูกสาวคนนี้ น่าจะพอเข้าใจว่า ถ้าเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรหวานๆ น่ารักๆ เนี่ย คือแทบเบ้ปากใส่ของพวกนี้เลยนะ
เย็นวันแรกที่ลูกสาวได้รับข้าวกล่องหน้าตาน่ารักนี้ คุณแม่ตั้งหน้าตั้งตาคอยดูปฏิกิริยาของลูกสาวว่าจะเป็นเช่นไร จะเหวี่ยง หรือจะโกรธ หรือจะไม่กินข้าวกล่อง ปรากฎคือลูกสาวก็ไม่พูดไม่จา ทำเป็นเหมือนไม่รู้ไม่เห็น
คุณแม่ก็สุดจะทน ตอบโต้ลูกสาวด้วยการทำข้าวกล้องหน้าตาประหลาดและสร้างสรรค์ขึ้นไปอีก วันไหนโกรธก็ทำข้าวกล่องแบบปีศาจ แต่ลูกสาวก็เหมือนเดิมคือ ไม่พูดไม่จาอะไร เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคุณแม่จึงเริ่มเขียนบล็อค อัพโหลดรูปข้าวกล่องแต่ละวันๆ ให้คุณแม่คนอื่นๆ ได้มาร่วมแสดงความคิดเห็นกัน
มีข้าวกล่องอยู่หน้าหนึ่งที่แบบว่าโด่งดังสุดๆ นั่นคือข้าวกล่องหน้านี้
ที่มาของข้าวกล่องนี้คือมีอยู่วันหนึ่ง ลูกสาวมาบอกให้คุณแม่ขับรถพาไปส่งโรงเรียนตอนเช้า ซึ่งก็รู้กันดีว่าคุณแม่ทำงานทั้งวันทั้งคืน เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ตอนเช้าตรู่โดยปกติจึงไม่สามารถตื่นไปส่งลูกได้ แต่ในที่สุดวันนั้นคุณแม่ก็อุตส่าห์ขับพาลูกสาวไปส่งถึงที่ แต่ลูกสาวกลับไม่พูดขอบคุณแม้แต่สักคำเดียว คุณแม่จึงโกรธมากและตำหนิลูกด้วยการทำเป็นข้าวกล่องขึ้นมา ที่เขียนอยู่บนข้าวกล่องคือประมาณว่า “เดินไปเอง!!!!!”
คุณแม่ได้ทำข้าวกล่องแบบนี้โดยไม่ขาดแม้แต่สักวันเดียวเป็นเวลาทั้งหมด 3 ปี นั่นคือช่วงม.ปลายของลูก จนกระทั่งมาถึงวันสุดท้ายที่คุณแม่ทำข้าวกล่อง....
อย่างที่เห็น ข้าวกล่องมีขนาดใหญ่มาก และมีถึงสองชั้น เอ๊ะ ยังไงกันนะ ตื่นเต้นๆๆๆ
พอลูกสาวไปเปิดดูที่โรงเรียน ด้วยความประหลาดใจ ข้าวกล่องวันสุดท้ายนี้กลับไม่เป็นตุ๊กตาน่ารัก แต่กลับเป็นข้าวกล่องแสนปกติ
แต่ที่ซ่อนไว้และทำให้ลูกสาวตกใจมากที่สุดคือ ข้าวกล่องอีกชั้นหนึ่งที่ซ่อนไว้นั้นเป็นหน้า “ประกาศนียบัตร” ว่าลูกสาวได้อดทนทานข้าวกล่องที่ตัวเองแสนจะเกลียดนี้มาแล้วกว่าสามปี จึงขอสรรเสริญคุณงามความดีด้านการอดทนเป็นเลิศนี้
... แต่ก็เช่นเคย ลูกสาวก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรต่อข้าวกล่องนี้เหมือนเคย โอ้ย มันหึยยยอะ ของขึ้นแทนคุณแม่
จนกระทั่งวันต่อมา คุณแม่ได้รับพัสดุเป็นหนังสือ หนังสือนี้เป็นหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวทั้งหมดนี้ของคุณแม่ที่เขียนไว้ในบล็อคตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งไปเตะตาสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งเข้า จึงทำการรวบรวมตีพิมพ์ขึ้นมา
สิ่งที่คุณแม่ช็อคและถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่คือ หน้าสุดท้ายของหนังสือนั้น กลับกลายเป็นข้อความจากลูกสาวของตนที่เขียนถึงคุณแม่ ว่าตัวเองก็ตื้นตันกับสิ่งที่คุณแม่ทำมาตลอดสามปีนี้
“...ที่คุณแม่ทำเบนโตเหล่านี้ด้วยตัวเองมาตลอด 3 ปีเป็นเรื่องที่สุดยอดจริงๆ หนูเองก็รู้ว่าคุณแม่ทำงานเหนื่อยถึงตี 1 ทุกวัน แต่พอตี 5 หนูก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กๆ ทำเบนโตจากในครัวแล้ว ตื้นตันกับสิ่งที่คุณแม่ทำให้จริงๆ ค่ะ... “
แม้ลูกสาวจะไม่แสดงออกให้คุณแม่เห็น แต่ลูกสาวบอกว่า "ทุกครั้งที่คุณแม่พยายามทำตัวตลก ลูกสาวก็รู้สึกว่ามันแอบสะเหล่อนิดๆ แต่ก็ชื่นชมที่ทำให้กันขนาดนี้ อยากขอบคุณคุณแม่จริงๆ จากลูกสาวหัวดื้อ”
ในตอนสุดท้าย กลายเป็นว่าทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกันและเรื่องราวทั้งหมดกลายมาเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้กลับมาดีอีกครั้ง
นี่แหละครับ ที่บอกว่าเป็นเรื่องของเบนโต แต่ก็ไม่เหมือนกับเรื่องเบนโตน่ารักๆ ที่เราเคยรู้จักกันมาก่อนเสียทีเดียว เพราะแบบว่าแอบมีเรื่องราวของการพยายามสร้างความสัมพันธ์ของคนเป็นแม่กับลูกสาวที่กำลังอยู่ในวัยต่อต้านผู้ปกครอง จนคุณแม่ต้องพยายามหาวิธีปราบลูกที่อยู่ในวัยรุ่นจนประสบความสำเร็จอย่างน่าชื่นชม พอ พี่โช ได้ดูในทีวีปุ๊บก็อยากจะเอามาแชร์ให้น้องๆ ได้อ่านกันเลยทันที เรื่องโลกสวยแฮปปี้เอนดิ้งแบบนี้เนี่ย ชอบ สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทีวีช่องฟูจิด้วยนะครับที่นำเรื่องราวนี้มาทำเป็นละครสั้นเข้าใจง่ายจนทำให้ได้นำมาเล่าสู่กันฟังต่อน้องๆ ชาวไทยอีกที สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน ครั้งต่อไปจะเป็นเรื่องอะไรติดตามกันต่อไปนะครับผม
------