จากมติชนออนไลน์
เมื่อพูดถึงบุคคลชื่อ"วอร์เรน บัฟเฟตต์"เชื่อว่าน้อยคนที่จะไม่รู้จักเขา ในฐานะพ่อมดการเงินแห่งวอลล์สตรีทระดับแถวหน้าสุด จากประสบการณ์และความคร่ำหวอดที่ย่ำเดินอยู่ในวงการตลาดหุ้นสหรัฐมายาวนานหลายทศวรรษ ด้วย"กึ๋นลงทุนระดับอัจฉริยะ" เช่นเดียวกับการเป็นกูรู" และ"คัมภีร์" ด้านการเล่นหุ้นสำหรับ"นักเล่นหุ้น"ทั่วโลก
ว่ากันว่า ด้วยวิสัยทัศน์ยาวไกลในการลงทุนด้านหุ้นและกองทุนของเขานั่นเอง พ่อมดการเงินผู้นี้จึงมีรายชื่อติดอันดับอภิมหาเศรษฐีโลกอย่างต่อเนื่อง แต่ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ดูเหมือน"วอร์เรน บัฟเฟตต์"จะออกอาการผิดหวังพอสมควรกับการลงทุนในระยะหลัง ๆ ของเขา
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขายอมรับตรง ๆ ว่าเคยลงทุนผิดพลาดกับการซื้อกิจการบริษัทผลิตซอสมะเขือเทศ “ไฮน์ซ” ซึ่งกลายเป็นกิจการที่ขาดทุน แต่ล่าสุด พ่อมดการเงิน สร้างความฮือฮาครั้งใหญ่ เมื่อเขาออกมาบอกว่าเขาได้ก่อความผิดพลาดด้านการลงทุนอย่าง "ใหญ่หลวง" ซึ่งน่าจะช็อกผู้ฟังสุด ๆ เพราะความผิดพลาดที่ว่านั้นคือการซื้อ"กิจการเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์"ที่เป็น"แหล่งอู่ข้าวอู่น้ำ"หากินของเขาเอง !
ในวาระครบรอบ 50 ปีของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ปีนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้เขียนจดหมายประจำปีถึงผู้ถือหุ้น รำลึกความทรงจำที่เข้า “เทค โอเวอร์” บริษัทเบิร์กเชียร์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงบริษัทผู้ผลิตสิ่งทอในเมืองเบดฟอร์ด รัฐแมสซาชูเซ็ตต์ที่รายได้ไม่ดีนัก โดยมีเนื้อความระบุว่า เขาได้ทำพลาดในทางธุรกิจและการลงทุนใหญ่หลวงถึงสองเรื่อง โดยเรื่องแรกคือซื้อเบิร์กเชียร์ มาเพื่อให้ตัวเองและนักลงทุน ต้องพลาดเงินถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ !
บัฟเฟต์เปิดใจว่า การซื้อเบิร์กเชียร์ เป็นการตัดสินใจที่โง่สุดๆ ที่เขาต้องจดจำไปตลอดชีวิต เพราะ ณ ขณะนั้น เขารู้ว่า เบิร์กเชียร์ เป็นบริษัทที่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เขาซื้อหุ้นของบริษัทนี้มาเพียงเพราะมัน"มีราคาถูก"และคิดว่าจะสามารถ"ซื้อมาขายไป"เพื่อทำกำไรอย่างง่ายไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ทำ กระทั่งในเดือนพ.ค.ปี 1964 นายซีบิวรี่ สแตนตัน ซีอีโอ ของเบิร์กเชียร์ ได้ยื่นข้อเสนอว่าจะซื้อหุ้นในส่วนของเขาคืนด้วยราคาที่จะทำให้บัฟเฟตต์มีรายได้กลับมาถึง 52 เปอร์เซนต์จากการลงทุนในเบิร์กเชียร์เป็นเวลา 2 ปี แต่สิ่งที่เขาทำคือ การเดินหน้าเทคโอเว่อร์กิจการอย่างเต็มตัว ซึ่งในช่วงเดือนพ.ค.เขาและเพื่อนพ้องนักลงทุนก็สามารถเข้าควบคุม กิจการนี้ได้สำเร็จ
พ่อมดการเงินรายนี้บอกว่า ในขณะนั้น เบิร์กเชียร์ ยังคงต้องต่อสู้ดิ้นรนธุรกิจของตัวเอง และเขาก็ได้"ขว้างเงินทิ้ง"หลังจากพยายามอย่างบ้า ๆ เพื่อพลิกฟื้นกิจการสิ่งทอ ก่อนที่เขาจะปิดโรงงานนี้ในอีก 20 ปีให้หลัง แต่ “ความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุด”สำหรับเขา เกิดขึ้นในอีก 2 ปีต่อมาเมื่อเขาซื้อธุรกิจที่เรียกได้ว่าเป็น"เมล็ดพันธุ์แห่งการลงทุน" ของอาณาจักรธุรกิจเบิร์กเชียร์ในช่วงต้นปี 1967 นั่นคือธุรกิจด้านการประกันภัย และการลงทุน
โดย"บัฟเฟตต์"นำสองกิจการนี้มาควบรวมภายใต้ชื่อว่า "เบิร์กเชียร์"ซึ่งก็คือบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ ในปัจจุบัน เขาบอกว่าหากเขาซื้อธุรกิจประกันภัยดังกล่าวผ่านกองทุนบริหารความเสี่ยงที่ขณะนั้นเขาเป็นผู้จัดการ เขาและหุ้นส่วนจะได้ครอบครองผลกำไรจากการลงทุน"ทั้งหมด"ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา แต่กลายเป็นว่า เขาไดิกระจายมันสู่ตลาดหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์
อย่างไรตาม นักวิเคราะห์บอกว่า สิ่งนี้อาจไม่ใช่ความผิดพลาดอย่างแท้จริงที่พ่อมดการเงินผู้นี้ "เสียใจ" เพราะจริง ๆ แล้ว มันออกจะประหลาดถ้าคิดว่า "วอร์เรน บัฟเฟตต์" จะเป็นอย่างไร หรือโลกจะเป็นอย่างไร หากเขามิได้เป็นพ่อมดทางการเงิน ผู้เป็นบรมเซียนแห่งการลงทุน และตำนานของวอลล์สตรีท และมิได้เป็นซีอีโอของบริษัทซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนเพื่อการค้าที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ
ดังนั้น จดหมายถึงผู้ถือหุ้นดังกล่าวจึงไม่น่าบ่งบอกถึงปรัชญาการลงทุนใด ๆ ของเขาทั้งสิ้น แต่น่าจะสะท้อนตามหัวจดหมายที่ ระบุว่า "เบิร์กเชียร์ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต" ซึ่งเต็มไปด้วย "แง่คิดต่าง ๆ"โดยเฉพาะสำหรับแฟนตัวยงของพ่อมดการเงินรายนี้ และเอาเข้าจริง ๆ เขาก็อาจจะไม่ได้ลงทุนผิดจนพลาดเงิน 1 แสนล้านฯอย่างที่กล่าวอ้าง แต่น้อยกว่านั้นเยอะมากก็ได้
นอกจากนั้น สิ่งที่พ่อมดการ เงินผู้นี้บอกว่า มันคือ"ความผิดพลาดของผม" ก็ยังถือเป็นเรื่อง"น่าทึ่ง"และเป็น"กำไรจำนวนมหาศาล"สำหรับคนทั่วไปอยู่ดี เมื่อเทียบกับความร่ำรวยของเขา ที่ปัจจุบันถูกจัดให้อภิมหาเศรษฐี มีรายได้และทรัพย์สินกว่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์
ดังนั้น จดหมาย "50 ปีกองทุนเบิร์กเชียร์" ฉบับนี้ ย่อมถือว่า เจ๋งมากสำหรับผู้ถือหุ้นของเขา เพราะมันสะท้อนถึง "วิถีคิด""หรือ"การบ่นของเศรษฐี" ที่ไม่ธรรมดา!มากกว่า
เกิดอะไรขึ้น ทำไม"พ่อมดการเงิน"บอกว่า"เบิร์กเชียร์"ทำให้ผมพลาดเงิน 1 แสนล้านดอลลาร์"
เมื่อพูดถึงบุคคลชื่อ"วอร์เรน บัฟเฟตต์"เชื่อว่าน้อยคนที่จะไม่รู้จักเขา ในฐานะพ่อมดการเงินแห่งวอลล์สตรีทระดับแถวหน้าสุด จากประสบการณ์และความคร่ำหวอดที่ย่ำเดินอยู่ในวงการตลาดหุ้นสหรัฐมายาวนานหลายทศวรรษ ด้วย"กึ๋นลงทุนระดับอัจฉริยะ" เช่นเดียวกับการเป็นกูรู" และ"คัมภีร์" ด้านการเล่นหุ้นสำหรับ"นักเล่นหุ้น"ทั่วโลก
ว่ากันว่า ด้วยวิสัยทัศน์ยาวไกลในการลงทุนด้านหุ้นและกองทุนของเขานั่นเอง พ่อมดการเงินผู้นี้จึงมีรายชื่อติดอันดับอภิมหาเศรษฐีโลกอย่างต่อเนื่อง แต่ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ดูเหมือน"วอร์เรน บัฟเฟตต์"จะออกอาการผิดหวังพอสมควรกับการลงทุนในระยะหลัง ๆ ของเขา
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขายอมรับตรง ๆ ว่าเคยลงทุนผิดพลาดกับการซื้อกิจการบริษัทผลิตซอสมะเขือเทศ “ไฮน์ซ” ซึ่งกลายเป็นกิจการที่ขาดทุน แต่ล่าสุด พ่อมดการเงิน สร้างความฮือฮาครั้งใหญ่ เมื่อเขาออกมาบอกว่าเขาได้ก่อความผิดพลาดด้านการลงทุนอย่าง "ใหญ่หลวง" ซึ่งน่าจะช็อกผู้ฟังสุด ๆ เพราะความผิดพลาดที่ว่านั้นคือการซื้อ"กิจการเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์"ที่เป็น"แหล่งอู่ข้าวอู่น้ำ"หากินของเขาเอง !
ในวาระครบรอบ 50 ปีของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ปีนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้เขียนจดหมายประจำปีถึงผู้ถือหุ้น รำลึกความทรงจำที่เข้า “เทค โอเวอร์” บริษัทเบิร์กเชียร์ ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงบริษัทผู้ผลิตสิ่งทอในเมืองเบดฟอร์ด รัฐแมสซาชูเซ็ตต์ที่รายได้ไม่ดีนัก โดยมีเนื้อความระบุว่า เขาได้ทำพลาดในทางธุรกิจและการลงทุนใหญ่หลวงถึงสองเรื่อง โดยเรื่องแรกคือซื้อเบิร์กเชียร์ มาเพื่อให้ตัวเองและนักลงทุน ต้องพลาดเงินถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ !
บัฟเฟต์เปิดใจว่า การซื้อเบิร์กเชียร์ เป็นการตัดสินใจที่โง่สุดๆ ที่เขาต้องจดจำไปตลอดชีวิต เพราะ ณ ขณะนั้น เขารู้ว่า เบิร์กเชียร์ เป็นบริษัทที่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เขาซื้อหุ้นของบริษัทนี้มาเพียงเพราะมัน"มีราคาถูก"และคิดว่าจะสามารถ"ซื้อมาขายไป"เพื่อทำกำไรอย่างง่ายไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ทำ กระทั่งในเดือนพ.ค.ปี 1964 นายซีบิวรี่ สแตนตัน ซีอีโอ ของเบิร์กเชียร์ ได้ยื่นข้อเสนอว่าจะซื้อหุ้นในส่วนของเขาคืนด้วยราคาที่จะทำให้บัฟเฟตต์มีรายได้กลับมาถึง 52 เปอร์เซนต์จากการลงทุนในเบิร์กเชียร์เป็นเวลา 2 ปี แต่สิ่งที่เขาทำคือ การเดินหน้าเทคโอเว่อร์กิจการอย่างเต็มตัว ซึ่งในช่วงเดือนพ.ค.เขาและเพื่อนพ้องนักลงทุนก็สามารถเข้าควบคุม กิจการนี้ได้สำเร็จ
พ่อมดการเงินรายนี้บอกว่า ในขณะนั้น เบิร์กเชียร์ ยังคงต้องต่อสู้ดิ้นรนธุรกิจของตัวเอง และเขาก็ได้"ขว้างเงินทิ้ง"หลังจากพยายามอย่างบ้า ๆ เพื่อพลิกฟื้นกิจการสิ่งทอ ก่อนที่เขาจะปิดโรงงานนี้ในอีก 20 ปีให้หลัง แต่ “ความผิดพลาดใหญ่หลวงที่สุด”สำหรับเขา เกิดขึ้นในอีก 2 ปีต่อมาเมื่อเขาซื้อธุรกิจที่เรียกได้ว่าเป็น"เมล็ดพันธุ์แห่งการลงทุน" ของอาณาจักรธุรกิจเบิร์กเชียร์ในช่วงต้นปี 1967 นั่นคือธุรกิจด้านการประกันภัย และการลงทุน
โดย"บัฟเฟตต์"นำสองกิจการนี้มาควบรวมภายใต้ชื่อว่า "เบิร์กเชียร์"ซึ่งก็คือบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ ในปัจจุบัน เขาบอกว่าหากเขาซื้อธุรกิจประกันภัยดังกล่าวผ่านกองทุนบริหารความเสี่ยงที่ขณะนั้นเขาเป็นผู้จัดการ เขาและหุ้นส่วนจะได้ครอบครองผลกำไรจากการลงทุน"ทั้งหมด"ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา แต่กลายเป็นว่า เขาไดิกระจายมันสู่ตลาดหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์
อย่างไรตาม นักวิเคราะห์บอกว่า สิ่งนี้อาจไม่ใช่ความผิดพลาดอย่างแท้จริงที่พ่อมดการเงินผู้นี้ "เสียใจ" เพราะจริง ๆ แล้ว มันออกจะประหลาดถ้าคิดว่า "วอร์เรน บัฟเฟตต์" จะเป็นอย่างไร หรือโลกจะเป็นอย่างไร หากเขามิได้เป็นพ่อมดทางการเงิน ผู้เป็นบรมเซียนแห่งการลงทุน และตำนานของวอลล์สตรีท และมิได้เป็นซีอีโอของบริษัทซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนเพื่อการค้าที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ
ดังนั้น จดหมายถึงผู้ถือหุ้นดังกล่าวจึงไม่น่าบ่งบอกถึงปรัชญาการลงทุนใด ๆ ของเขาทั้งสิ้น แต่น่าจะสะท้อนตามหัวจดหมายที่ ระบุว่า "เบิร์กเชียร์ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต" ซึ่งเต็มไปด้วย "แง่คิดต่าง ๆ"โดยเฉพาะสำหรับแฟนตัวยงของพ่อมดการเงินรายนี้ และเอาเข้าจริง ๆ เขาก็อาจจะไม่ได้ลงทุนผิดจนพลาดเงิน 1 แสนล้านฯอย่างที่กล่าวอ้าง แต่น้อยกว่านั้นเยอะมากก็ได้
นอกจากนั้น สิ่งที่พ่อมดการ เงินผู้นี้บอกว่า มันคือ"ความผิดพลาดของผม" ก็ยังถือเป็นเรื่อง"น่าทึ่ง"และเป็น"กำไรจำนวนมหาศาล"สำหรับคนทั่วไปอยู่ดี เมื่อเทียบกับความร่ำรวยของเขา ที่ปัจจุบันถูกจัดให้อภิมหาเศรษฐี มีรายได้และทรัพย์สินกว่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์
ดังนั้น จดหมาย "50 ปีกองทุนเบิร์กเชียร์" ฉบับนี้ ย่อมถือว่า เจ๋งมากสำหรับผู้ถือหุ้นของเขา เพราะมันสะท้อนถึง "วิถีคิด""หรือ"การบ่นของเศรษฐี" ที่ไม่ธรรมดา!มากกว่า