หากซีรี่ส์ซิทคอมสำหรับผู้ใหญ่ชุด "เป็นต่อขั้นเทพ" มีไอ้พี่ยมซึ่งได้รับสมญาว่า "ศักรินทร์ดาวร้าย" เป็นสีสันที่ทำให้ซีรี่ส์สนุกสนานและฉูดฉาดจนคนดูติดงอมแงม เชลซีที่พึ่งจะเป็นแชมป์ "ลีก คัพ" ไปหมาดๆ ก็คงมี "ดีเอโก้ คอสต้า" ดาวยิงจอมตุกติก นี่แหละครับ ที่เหมาะสมกับฉายา "ศักรินทร์ดาวร้าย" ของฟุตบอลอังกฤษมากที่สุด
เริ่มตั้งแต่เบาๆ อย่างแอคติ้งยามโดนทำฟาวล์ที่ฉูดฉาด, ลีลาดีใจที่กระตุ้นต่อมเบื้องล่าง ไปจนถึงการออกลูกโหดยามเข้าปะ ฉะ ดะ กับกองหลังแบบไม่มียอมใคร แม้กระทั่งท่านผู้นำหงส์แดงอันเกรียงไกรอย่างสตีวี่ จี ศักรินทร์ดาวร้ายก็ยังเคยท้าไฝว้จนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมาแล้ว
"เราไม่ได้แค่ใช้เทคนิคทุกอย่าง แต่ต้องปกป้องบอล ใช้ร่างกาย เราต้องรู้ว่าจะเล่นอย่างไร ที่นั่นต่างออกไป เรามีกฎของเราเอง เพื่อความอยู่รอด สิ่งที่มีผลก็คือการยิงประตู และชัยชนะ" ศักรินทร์ดาวร้าย เล่าถึงการเริ่มต้นเล่นฟุตบอลของเขาในบราซิลเมื่อสมัยยังเป็นแค่ศักรินทร์ตัวเปี๊ยก ซึ่งน่าจะเป็นที่มาของสไตล์การเล่นอันดุดันและหนักหน่วงปานกลองรัวในฉากจบของภาพยนตร์เรื่อง Whiplash
ถึงแม้จะผ่านมานานแล้ว แต่บทสัมภาษณ์ของเขาก็แสดงให้เห็นว่าศักรินทร์ดาวร้ายคนนี้ ลงสนามเพื่อ 3 อย่างเท่านั้น
1. ยิงประตู
2. ชัยชนะ
3. ยิงประตูได้และทีมได้รับชัยชนะ
และเกมเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาศักรินทร์ดาวร้าย ก็ได้รับมันครบถ้วนทั้ง 3 อย่างเลยนะครับ
เชลซีและ
"โชเซ่ มูรินโญ่" (อีกหนึ่งดาวร้ายของวงการฟุตบอลอังกฤษ) กลับมาเยือนเวมบลีย์พร้อมกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายกันไปเกือบสิบปี (ครั้งสุดท้ายของน้ามูกับเชลซีในเวมบลีย์นอบชิงคือปีที่เอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบชิงเอฟเอ คัพ ปี 2007) โดยเป็นครั้งแรกของคอสต้า, อัซปิลิกวยต้า, ซูม่า, อาซาร์ และวิลเลี่ยน ที่ได้เหยียบเวมบลีย์ในเกมสำคัญกับเชลซีอีกด้วย
แม้เกมนี้เชลซีจะขาดมาติซ คนแบกเปียโนคนสำคัญในแดนกลางจากโทษแบน ท่ามกลางความสงสัยและคาดเดาจากแฟนบอลรวมไปถึงนักข่าวมากมายว่าน้ามูจะส่งใครลงมาแทน ไม่ว่าจะเป็นมิเกล, รามิเรส หรือแม้แต่กุลลิท 2 อย่างนาธาน อาเก้ ดาวรุ่งที่ได้รับโอกาสอยู่บ่อยๆ แต่สุดท้ายเดอะ สเปเชี่ยล วัน ก็คงเป็นสเปเชี่ยล โค้ช ที่สับขาหลอกนักข่าวโดยการใส่เซนเตอร์ ฮาล์ฟลงมาพร้อมกันถึง 3 คน
จอห์น เทอร์รี่, แกรี่ เคฮิลล์ และเคิร์ท ซูม่า
หะแรกคิดว่าน้ามูจะมาสูตรลุงฟาน กัล 3-5-2 แต่ผิดถนัดครับ น้ามูเลือก 1 ใน 3 เซนเตอร์ของทีมไปเล่นกลางรับ โดยกราฟฟิคขึ้นว่าเคฮิลล์เป็นกองกลางตัวรับแทนมาติซ แต่สุดท้ายพอบอลเขี่ย ตำแหน่งนั้นกลับกลายเป็นเจ้าหนูซูม่าที่ลงไปบี้ตรงกลางแทนซะงั้น
แถมผลงานโดดเด่นอย่าบอกใครทีเดียวเชียว เหย เหย เหย
ซูม่าเข้ามาอุดรูรั่วตรงกลางได้แจ่มจันทร์มากๆ ความเร็วและการอ่านทางบอลที่ดีเกินวัยทำให้บอลรุกเร็วปานเอวของมิค แจ็กเกอร์อย่างสเปอร์สติดขัด ไม่ลื่นไหลเหมือนเกมที่ยำเชลซี 5-3 เลย แม้ช่วงต้นครึ่งแรกจะปล่อยให้
"เฮอร์ริเคน" ได้ปั่นป่วนอยู่ราว 20 นาที แต่หลังจากตั้งหลักได้ ซูม่าก็ทำตัวบ้าพลังไล่กัดไม่ปล่อยเลย ทั้งวิ่งลงเคลียร์บอลลึกในเขตโทษ หรือแม้แต่วิ่งบี้หายใจรดต้นคอตัวรุกของสเปอร์สไม่ให้ทำอะไรได้ถนัด
ยิ่งดูยิ่งนึกถึงจอห์น เทอร์รี่ ตอนขึ้นมาชุดใหญ่ใหม่ๆ คือเด็กจากอะคาเดมี่ของเชลซีถ้าจะเบียดมาขึ้นชุดใหญ่ได้จริงๆ ต้องมีพลังแฝงแบบซูม่านี่แหละครับ อีกคนที่ผมนึกถึงคือแซม ฮัทชินสัน ที่น่าเสียดายมากที่ขาหักไปก่อน ไม่งั้นอาจมีลุ้นขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ได้จริงๆ จังๆ
ถึงแม้เกมนี้ไฮไลท์จะเป็น
"แชมป์แรกของน้ามู" ในการกลับมาคุมทีมรอบสอง แต่ปรากฏว่าแฟนบอลและนักวิจารณ์ปากกรรไกรหลายต่อหลายคนกลับพุ่งประเด็นไปที่
"ดีเอโก้ คอสต้า" กับชอตกางไม้กางมือลูบพักตร์ดายเออร์ ในช่วงครึ่งแรกซะอย่างนั้น
พร้อมกับประโยคสุดคลาสสิคเหมือนเดิม
"Dirty Diego"
ถ้าแปลเป็นไทย ผมขออนุญาตเรียกว่า
"พ่อศักรินทร์ดาวร้าย" ละกันนะครับ
ศักรินทร์ดาวร้ายของเชลซี พกพาสไตล์การเล่นที่ดุดัน โอเวอร์แอคติ้งแถมด้วยลูกตุกติกตามมาเป็นระยะ นั่นก็ไม่แปลกที่ภาพของเขาต่อแฟนบอลทีมอื่นหรือผู้ตัดสินจะทำให้เขาถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ ยิ่งเขาโดดเด่นในการทำประตูมากแค่ไหน ภาพของการเป็นดาวร้ายที่เขาสร้าง ก็จะยิ่งทำให้เขาถูกจับตามองมากขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว
แม้หลายๆ ครั้งศักรินทร์ดาวร้ายจะโดนทำฟาวล์จริง โดนเตะติดดาบบ้าง (ครั้งนึงเคยโดนเฟเดริโก้ ฟาซิโอ สมัยเล่นให้เซบีย่าหวดเข้าซี่โครงด้วย ฮา) โดนแฟนบอลปาเหรียญใส่ แต่ในเมื่อเกิดมาเป็นดาวร้าย ใครที่ไหนจะมาสงสาร มีแต่คนพร้อมจะสมน้ำหน้าด้วยซ้ำ
บางทีโลกของคุณธรรมแลนด์ก็ดูโหดร้ายกับเขาเกินไปนะครับ
ในอดีตทุกๆ ทีมไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนมีผู้เล่นประเภทนี้ประดับอยู่ในทีมมาตลอด
คุณจำวินนี่ โจนส์, เดนนิส ไวส์, เอริค คันโตน่า, เดวิด แบตตี้, ดันแคน เฟอร์กูสัน, รอย คีน, ปาทริค วิเอร่า, อลัน สมิธ หรือที่เป็นระดับโลกก็ดีเอโก้ มาราโดน่า, ซีเนอดีน ซีดาน แม้กระทั่งหลุยส์ ซัวเรซ ก็ล้วนแต่เป็นนักเตะประเภทศักรินทร์ดาวร้ายด้วยกันทั้งนั้น
ดาวร้ายที่พร้อมจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกลียดและพุ่งเป้ามาที่ตนมากที่สุด เพื่อทำให้ทีมของตัวเองได้ประโยชน์มากที่สุด แต่กับดีเอโก้ คอสต้า ทำไมเสียงหลายๆ เสียงถึงพร่ำย้ำๆๆๆ อยู่ตลอดว่านี่คือนักเตะที่ถ่อยที่สุด เถื่อนที่สุด สกปรกที่สุด ทั้งๆ ที่พฤติกรรมของดีเอโก้ก็ไม่ได้ต่างไปกับตำนานนักเตะข้างต้นที่กล่าวมาเลย อาจจะน้อยกว่าบางคนด้วยซ้ำในแง่ของความร้ายกาจ หรือการทำให้เพื่อนร่วมอาชีพบาดเจ็บจนถึงขั้นเลิกเล่น
คำว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมต้องรับผลของการกระทำไปเอง อาจใช้ได้กับพ่อศักรินทร์แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์
ดาวร้ายหมายเลข 19 อาจจะต้องอยู่กับเสียงก่นด่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเลิกเล่นหรือย้ายไปอยู่กับทีมที่นักวิจารณ์เชียร์นั่นแหละครับ ศักรินทร์ดาวร้ายถึงจะกลายมาเป็นพ่อศักรินทร์คนดีได้ซักที เหย เหย เหย.
ศักรินทร์ดาวร้าย: มีหนึ่งเพนซ์ พึงแอบเก็บให้ครบปอนด์ ฮ่าๆ
เครดิตข้อมูลต่างๆ ประกอบการเขียน
- บทสัมภาษณ์พ่อศักรินทร์: dailymail.co.uk
- รูปประกอบ: gettyimages.com
[Blues Column] - แชมป์แรกของศักรินทร์ดาวร้าย เหย เหย เหย
เริ่มตั้งแต่เบาๆ อย่างแอคติ้งยามโดนทำฟาวล์ที่ฉูดฉาด, ลีลาดีใจที่กระตุ้นต่อมเบื้องล่าง ไปจนถึงการออกลูกโหดยามเข้าปะ ฉะ ดะ กับกองหลังแบบไม่มียอมใคร แม้กระทั่งท่านผู้นำหงส์แดงอันเกรียงไกรอย่างสตีวี่ จี ศักรินทร์ดาวร้ายก็ยังเคยท้าไฝว้จนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมาแล้ว
"เราไม่ได้แค่ใช้เทคนิคทุกอย่าง แต่ต้องปกป้องบอล ใช้ร่างกาย เราต้องรู้ว่าจะเล่นอย่างไร ที่นั่นต่างออกไป เรามีกฎของเราเอง เพื่อความอยู่รอด สิ่งที่มีผลก็คือการยิงประตู และชัยชนะ" ศักรินทร์ดาวร้าย เล่าถึงการเริ่มต้นเล่นฟุตบอลของเขาในบราซิลเมื่อสมัยยังเป็นแค่ศักรินทร์ตัวเปี๊ยก ซึ่งน่าจะเป็นที่มาของสไตล์การเล่นอันดุดันและหนักหน่วงปานกลองรัวในฉากจบของภาพยนตร์เรื่อง Whiplash
ถึงแม้จะผ่านมานานแล้ว แต่บทสัมภาษณ์ของเขาก็แสดงให้เห็นว่าศักรินทร์ดาวร้ายคนนี้ ลงสนามเพื่อ 3 อย่างเท่านั้น
1. ยิงประตู
2. ชัยชนะ
3. ยิงประตูได้และทีมได้รับชัยชนะ
และเกมเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาศักรินทร์ดาวร้าย ก็ได้รับมันครบถ้วนทั้ง 3 อย่างเลยนะครับ
เชลซีและ "โชเซ่ มูรินโญ่" (อีกหนึ่งดาวร้ายของวงการฟุตบอลอังกฤษ) กลับมาเยือนเวมบลีย์พร้อมกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายกันไปเกือบสิบปี (ครั้งสุดท้ายของน้ามูกับเชลซีในเวมบลีย์นอบชิงคือปีที่เอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบชิงเอฟเอ คัพ ปี 2007) โดยเป็นครั้งแรกของคอสต้า, อัซปิลิกวยต้า, ซูม่า, อาซาร์ และวิลเลี่ยน ที่ได้เหยียบเวมบลีย์ในเกมสำคัญกับเชลซีอีกด้วย
แม้เกมนี้เชลซีจะขาดมาติซ คนแบกเปียโนคนสำคัญในแดนกลางจากโทษแบน ท่ามกลางความสงสัยและคาดเดาจากแฟนบอลรวมไปถึงนักข่าวมากมายว่าน้ามูจะส่งใครลงมาแทน ไม่ว่าจะเป็นมิเกล, รามิเรส หรือแม้แต่กุลลิท 2 อย่างนาธาน อาเก้ ดาวรุ่งที่ได้รับโอกาสอยู่บ่อยๆ แต่สุดท้ายเดอะ สเปเชี่ยล วัน ก็คงเป็นสเปเชี่ยล โค้ช ที่สับขาหลอกนักข่าวโดยการใส่เซนเตอร์ ฮาล์ฟลงมาพร้อมกันถึง 3 คน
จอห์น เทอร์รี่, แกรี่ เคฮิลล์ และเคิร์ท ซูม่า
หะแรกคิดว่าน้ามูจะมาสูตรลุงฟาน กัล 3-5-2 แต่ผิดถนัดครับ น้ามูเลือก 1 ใน 3 เซนเตอร์ของทีมไปเล่นกลางรับ โดยกราฟฟิคขึ้นว่าเคฮิลล์เป็นกองกลางตัวรับแทนมาติซ แต่สุดท้ายพอบอลเขี่ย ตำแหน่งนั้นกลับกลายเป็นเจ้าหนูซูม่าที่ลงไปบี้ตรงกลางแทนซะงั้น
แถมผลงานโดดเด่นอย่าบอกใครทีเดียวเชียว เหย เหย เหย
ซูม่าเข้ามาอุดรูรั่วตรงกลางได้แจ่มจันทร์มากๆ ความเร็วและการอ่านทางบอลที่ดีเกินวัยทำให้บอลรุกเร็วปานเอวของมิค แจ็กเกอร์อย่างสเปอร์สติดขัด ไม่ลื่นไหลเหมือนเกมที่ยำเชลซี 5-3 เลย แม้ช่วงต้นครึ่งแรกจะปล่อยให้ "เฮอร์ริเคน" ได้ปั่นป่วนอยู่ราว 20 นาที แต่หลังจากตั้งหลักได้ ซูม่าก็ทำตัวบ้าพลังไล่กัดไม่ปล่อยเลย ทั้งวิ่งลงเคลียร์บอลลึกในเขตโทษ หรือแม้แต่วิ่งบี้หายใจรดต้นคอตัวรุกของสเปอร์สไม่ให้ทำอะไรได้ถนัด
ยิ่งดูยิ่งนึกถึงจอห์น เทอร์รี่ ตอนขึ้นมาชุดใหญ่ใหม่ๆ คือเด็กจากอะคาเดมี่ของเชลซีถ้าจะเบียดมาขึ้นชุดใหญ่ได้จริงๆ ต้องมีพลังแฝงแบบซูม่านี่แหละครับ อีกคนที่ผมนึกถึงคือแซม ฮัทชินสัน ที่น่าเสียดายมากที่ขาหักไปก่อน ไม่งั้นอาจมีลุ้นขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ได้จริงๆ จังๆ
ถึงแม้เกมนี้ไฮไลท์จะเป็น "แชมป์แรกของน้ามู" ในการกลับมาคุมทีมรอบสอง แต่ปรากฏว่าแฟนบอลและนักวิจารณ์ปากกรรไกรหลายต่อหลายคนกลับพุ่งประเด็นไปที่ "ดีเอโก้ คอสต้า" กับชอตกางไม้กางมือลูบพักตร์ดายเออร์ ในช่วงครึ่งแรกซะอย่างนั้น
พร้อมกับประโยคสุดคลาสสิคเหมือนเดิม "Dirty Diego"
ถ้าแปลเป็นไทย ผมขออนุญาตเรียกว่า "พ่อศักรินทร์ดาวร้าย" ละกันนะครับ
ศักรินทร์ดาวร้ายของเชลซี พกพาสไตล์การเล่นที่ดุดัน โอเวอร์แอคติ้งแถมด้วยลูกตุกติกตามมาเป็นระยะ นั่นก็ไม่แปลกที่ภาพของเขาต่อแฟนบอลทีมอื่นหรือผู้ตัดสินจะทำให้เขาถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ ยิ่งเขาโดดเด่นในการทำประตูมากแค่ไหน ภาพของการเป็นดาวร้ายที่เขาสร้าง ก็จะยิ่งทำให้เขาถูกจับตามองมากขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว
แม้หลายๆ ครั้งศักรินทร์ดาวร้ายจะโดนทำฟาวล์จริง โดนเตะติดดาบบ้าง (ครั้งนึงเคยโดนเฟเดริโก้ ฟาซิโอ สมัยเล่นให้เซบีย่าหวดเข้าซี่โครงด้วย ฮา) โดนแฟนบอลปาเหรียญใส่ แต่ในเมื่อเกิดมาเป็นดาวร้าย ใครที่ไหนจะมาสงสาร มีแต่คนพร้อมจะสมน้ำหน้าด้วยซ้ำ
บางทีโลกของคุณธรรมแลนด์ก็ดูโหดร้ายกับเขาเกินไปนะครับ
ในอดีตทุกๆ ทีมไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนมีผู้เล่นประเภทนี้ประดับอยู่ในทีมมาตลอด
คุณจำวินนี่ โจนส์, เดนนิส ไวส์, เอริค คันโตน่า, เดวิด แบตตี้, ดันแคน เฟอร์กูสัน, รอย คีน, ปาทริค วิเอร่า, อลัน สมิธ หรือที่เป็นระดับโลกก็ดีเอโก้ มาราโดน่า, ซีเนอดีน ซีดาน แม้กระทั่งหลุยส์ ซัวเรซ ก็ล้วนแต่เป็นนักเตะประเภทศักรินทร์ดาวร้ายด้วยกันทั้งนั้น
ดาวร้ายที่พร้อมจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกลียดและพุ่งเป้ามาที่ตนมากที่สุด เพื่อทำให้ทีมของตัวเองได้ประโยชน์มากที่สุด แต่กับดีเอโก้ คอสต้า ทำไมเสียงหลายๆ เสียงถึงพร่ำย้ำๆๆๆ อยู่ตลอดว่านี่คือนักเตะที่ถ่อยที่สุด เถื่อนที่สุด สกปรกที่สุด ทั้งๆ ที่พฤติกรรมของดีเอโก้ก็ไม่ได้ต่างไปกับตำนานนักเตะข้างต้นที่กล่าวมาเลย อาจจะน้อยกว่าบางคนด้วยซ้ำในแง่ของความร้ายกาจ หรือการทำให้เพื่อนร่วมอาชีพบาดเจ็บจนถึงขั้นเลิกเล่น
คำว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมต้องรับผลของการกระทำไปเอง อาจใช้ได้กับพ่อศักรินทร์แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์
ดาวร้ายหมายเลข 19 อาจจะต้องอยู่กับเสียงก่นด่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเลิกเล่นหรือย้ายไปอยู่กับทีมที่นักวิจารณ์เชียร์นั่นแหละครับ ศักรินทร์ดาวร้ายถึงจะกลายมาเป็นพ่อศักรินทร์คนดีได้ซักที เหย เหย เหย.
ศักรินทร์ดาวร้าย: มีหนึ่งเพนซ์ พึงแอบเก็บให้ครบปอนด์ ฮ่าๆ
เครดิตข้อมูลต่างๆ ประกอบการเขียน
- บทสัมภาษณ์พ่อศักรินทร์: dailymail.co.uk
- รูปประกอบ: gettyimages.com