สวัสดีครับ
ขอกล่าวสวัสดีกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ทุกคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ครับ
ทุกคนที่เข้ามาในกระทู้นี้ ร้อยละ 95 ผมคงเดาไม่ผิด กับการเป็นโรคที่มีชื่อว่า "ไทรอยด์เป็นพิษ"
อีก 5% ที่เหลือคงจะเป็นญาติพี่น้อง คุณพ่อคุณแม่ ที่ตั้งใจจะหาข้อมูลต่างๆ เพื่อ support บุคคลในครอบครัวของท่านเอง
"ไทรอยด์เป็นพิษ" คือโรคอะไร เป็นไปได้อย่างไร และ มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง
ผมขออนุญาตไม่พูดถึงว่า โรคนี้เป็นเพราอะไร และมีที่มาอย่างไรนะครับ เพราะหาได้ง่ายจากทางอินเทอร์เน็ต
สิ่งที่ผมจะพูด เกี่ยวกับการกลืนแร่ ความรู้สึกในการรักษาประเภทนี้ ลักษณะรูปร่างภายนอกที่เปลี่ยนไป และที่สำคัญ เรื่องอาหารการกิน
ผมรักษามากว่า 4 ปีโดยการกินยา - 1 ปี กลืนแร่+ยากดฮอร์โมน และ กำลังจะกลืนแร่ครั้งที่ 2
ดูแย่ใช่ไหมครับ ? บอกตรงๆครับ มันแย่กว่าที่คิด 555
เริ่มต้นจากตัวผมเองก่อนนะครับ
ที่ไป – ที่มา ของการเป็นไทรอยด์ครั้งแรก#
ช่วงอายุ 22 ปี ผมมีโอกาสได้ไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา คือจริงๆแล้วตั้งใจจะอยู่หลายๆปีครับ ตอนนั้นไปเรียนภาษาอังกฤษและไปทำงานร้านอาหารไทยเหมือนเด็กไทยทั่วไปที่ต้องการไปหาเงิน ด้วยความที่ผมเองเป็นผู้ชายครับ การหางานร้านอาหารไทยที่อเมริกานั้นค่อนข้างยาก (เพราะส่วนใหญ่เขาจะชอบรับผู้หญิง) อีกทั้งวีซ่าที่มีอยู่คือวีซ่านักเรียน จำเป็นต้องเรียนไปควบคู่กับการ ทำงาน เกิดปัญหาเรื่องเดียวครับ คือเงินไม่พอใช้ ต้องขอพ่อแม่ใช้เดือนละหลายๆหมื่น (เหยียบแสน) เกิดความเครียด ตอนนั้นอยู่ได้สักประมาณ 2-3 เดือน ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้น ผอมลงเร็วมากจนผิดหูผิดตา ลืมบอกครับ ผมส่วนสูง 180 cm น้ำหนัก 78 คือจริงๆแล้วผมจะควบคุมน้ำหนักตัวเองไม่ให้เกิน 80 น่ะครับ ผมจะถือว่า ผมอ้วนมากล่ะ ก็จะออกกำลังกาย หรือลดอาหาร (ช่วงที่อยู่เมืองไทย) น้ำหนักลดประมาณ 4-5 กิโลกรัมครับ ตอนนั้นผมก็แค่คิดว่า สงสัยทำงานหนัก ผอมลง ใครก็ดีใจ 55555
ทำงานร้านอาหารไทยได้สักพัก ผมก็ได้งานร้านทำเล็บที่อเมริกาครับ (เป็น Reception นะครับ ไม่ใช่มานั่งทาเอง) ร้านนั้นอยู่ค่อนข้างไกลมากครับ เวลาที่ผมต้องไปทำงาน ผมต้องขึ้นรถประจำทาง 2 ต่อ และขับจักรยานต่อไปอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตร ทางขึ้นเขาเล็กน้อย ทำงานสองวันแรก ผมปั่นจักรยานไป ผมก็รู้สึกว่า เหนื่อยมากก ขาสั่นจนทนไม่ไหว ….
ผ่านไป 1 อาทิตย์ ผมรู้สึกว่าผมเหนื่อยมากกว่าเดิมอีกครับ เลยขอลาออก เพราะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองนั้นไม่ไหวจริงๆ เหมือนคนเดิน 10 กิโลเมตร พร้อมยกหินหนักไปกับตัวเองด้วยอีก 10 กิโลกรัม ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
เลยต้องกลับมาทำงานร้านอาหารไทยต่อ
ช่วงเดือนที่ 6 (เข้ารอบ 3 เดือนของการเป็นไทรอยด์) ตอนนั้นเสริฟอาหารเริ่มไม่ได้แล้วครับ มือสั่น ใจสั่นตลอดเวลา แต่ด้วยความที่ผมนั้นร่างกายค่อนข้างแข็งแรงมาก่อน ผมเลยสู้สุดชีวิต (จริงๆแล้วค่าหมอที่อเมริกาแพง ผมกลัว 55) ก็ยังฝืนทนทำงานต่อไป ทั้งๆที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหว อุณหภูมิช่วงนั้น 0 องศา ผมใส่กางเกงขาสั้น เสื้อสีขาวบางๆคล้ายห่านคู่ รองเท้าแตะ เดินเล่นในเมือง เพราะรู้สึกว่า อากาศไม่หนาวเลยซักนิด
ช่วงเดือนที่ 9 (เข้ารอบ 6 เดือนของการเป็นไทรอยด์) น้ำหนักผมลดลงจาก 78 จนเหลือ 63 กิโลครับ หน้าตาผมเหมือนพี่โน๊ตอุดมเวอร์ชั่นผอม (เพราะจมูกผมใหญ่เหมือนพี่โน๊ต) ทั้งๆที่ผมทานข้าววันละ 5 มื้อนะครับ ตอนนั้นผมรู้สึกว่า ไม่ใช่ละ ชีวิตผมไม่ปกติล่ะ เลยเล่าให้แม่ฟัง ว่าน้ำหนักตอนนี้เหลือเท่าไหร่ อาการเป็นยังไง
หลังจากนั้น 2 วัน ผมก็ถึงเมืองไทยครับ O_o”
ผมลากกระเป๋าออกมาจากสุวรรณภูมิ พ่อแม่ยายและน้าก็มารอรับที่สุวรรณภูมิ พ่อแม่ผมหาผมไม่เจอ จนผมเดินไปต่อหน้า แกยังไม่รู้เลยว่าเป็นผม 5555 หลังจากยายได้เจอผมแล้ว น้ำตาไหลพรากครับ ตลอดชีวิตหลานไม่เคยผอมขนาดนี้ ตกใจ 555
แน่นอนครับ Admitted ทันทีหลังจากถึงไทยภายใน 1 วัน ผมเข้าโรงพยาบาลวิชัยยุทธครับ เป็นโรงพยาบาลที่ผมเป็นลูกค้าตั้งแต่เด็กๆ มาถึงปุ๊บ ตรวจเลือดปั๊บ พบหมอ หมอพูดหน้าตาเฉยมากครับ มือสั่น ใจสั่น เป็นผลพวงมาจากการที่น้ำหนักของเรานั้น ลดลงอย่างรวดเร็ว โรคส่วนใหญ่ที่เขาเป็นๆกันก็ ไทรอยด์ เบาหวาน แล้วก็เอดส์
“ไทรอยด์ เบาหวาน เอดส์” “ไทรอยด์ เบาหวาน เอดส์”
มันดังอยู่ในสมองผมทุกๆ 1 นาที ต้องรอเวลาผลออกอีก 22 ชั่วโมง ในการรอผล พ่อแม่ก็ช่วยกันปลอบ บอกเลยครับ นอนไม่หลับ 55555
ตอนเช้าวันถัดมา ผมรีบมาหาหมอตอนเช้าตามนัดหมายครับ เจอหน้าหมอปั๊บ หมอพูดง่ายๆ แค่ “มีสามโรคให้เลือก จะเลือกโรคอะไร ไทรอยด์ เบาหวาน เอดส์?” จริงๆผมอยากจะเตะปากหมอสักครั้งนึงนะครับแต่เกรงใจ จึงบอกแกว่า “โรคอะไรก็ได้ครับ ที่ไม่ใช่เอดส์”
“ไทรอยด์เป็นพิษ”
พอทราบแล้วค่อยโล่งใจครับ เข้าเรื่องรักษาเลยละกันครับ (อ้อมนานมาก) จริงๆแล้วมี 3 วิธีหลักในการรักษา 1. กินยาตามขนาดที่หมอสั่ง 2. การผ่าตัด เอามันไปเผาทิ้ง 3. การกลืนรังสี (กลืนแร่)
หมอปลอบใจผมครับ โอ้ย! โรคนี้คนเป็นเยอะแยะ หมอก็เป็น แต่หมอหายมาแล้ว เพราะว่าหมอเนี่ยไปกลืนรังสี แต่เธอยังเด็ก ยังไม่ต้องไปกลืนหรอก เพราะกลืนมันหายขาดก็จริง แต่มันจะมีผลข้างเคียง เช่น อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งในกระเพาะได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ เพราะการรักษาแบบการกลืนรังสี มันคือการเอารังสีวิ่งผ่านส่วนต่างๆของร่างกาย สุดท้ายไปอยู่ที่ระบบย่อยอาหาร หมอยังไม่แนะนะ ก็กินยาไปก่อนนะ ประมาณ 2 ปี ส่วนใหญ่ 2 ปีเขาก็หายกัน หายก็ไม่ต้องมาตรวจบ่อยๆแล้ว มาหกเดือน หนึ่งปีครั้งก็พอ
ใจชื้นครับ บอกเลย! เป็นไทรอยด์ กากๆดาษๆ เหอะ เดี๋ยวก็หาย กินยาทุกวัน ผมเป็นพวกที่มีวินัยในการกินยาอยู่แล้วครับ เลยไม่ซีเรียสเรื่องการลืมทานยา
ในช่วง 3 เดือนแรก ชีวิตผมดีขึ้นพุ่งสูงพรวดเหมือนยิงจรวดขึ้นไปบนดาวอังคาร 55 ดีใจครับ ที่กลับมาปกติเร็วมากเพราะว่าในร่างกายผมมีตัวแอนตี้อะไรสักอย่าง (หมอบอก) ช่วยให้ร่างกายผมดีขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำหนักขึ้นมา 75 กิโลกรัม ค่าไทรอยด์เกือบเข้าสู่ปกติครับ
ช่วงเดือนที่ 6 ผมเหมือนคนปกติทุกอย่าง น้ำหนักกลับมา 78 กิโลกรัม วิ่งได้ ให้ไปเกณฑ์ทหารผมยังสบายๆเลย
1 ปีผ่านไป ร่างกายผมยังเป็นปกติ เริ่มอ้วนท้วนสมบูรณ์ จากน้ำหนักที่ไม่เคยเกิน 78 ก็เกินมา 2 กิโลกรัม . . . ok Fine เพราะเป็นโรค
1 ปี 6 เดือน ร่างกายผมยังถือว่าเป็นปกติอยู่
2 ปี ก็ยังปกติอยู่ครับ ค่าไทรอยด์ทรงๆ หมอจึงลองให้หยุดยา 1 เดือน แล้วกลับมาตรวจใหม่
2 ปี 1 เดือน ไทรอยด์เด้งขึ้นมา ค่าเท่าเดิมเหมือนตอนเริ่มหาใหม่ๆครับ 5555 หมอสรุปให้ผมง่ายๆเลยว่า ไม่หายแน่นอน ต้องเปลี่ยนวิธีรักษา ซึ่งก็มีสองวิธีที่เหลือที่กล่าวไปข้างต้น คือการผ่าตัดและกลืมแร่ ซึ่งทางที่บ้านผมเขาไม่อยากให้ทำทั้งสองอย่าง เนื่องจากมีความเสี่ยงทั้งคู่ (แม่ผมชอบอ่านกระทู้ต่างๆ จากอินเทอร์เน็ตครับ เขาเลยเป็นห่วง) เขาเลยหาวิธีรักษาควบคู่กันไป พร้อมกับการทานยาของหมอเป็นประจำทุกวัน
ความเสี่ยงที่ว่า คือหากผ่าตัด มีสิทธิ์พลาดไปโดนเส้นเสียง หรือเส้นประสาทอื่นๆบริเวณรอบคอ ส่วนกลืนแร่ ก็มีสิทธิ์เป็นโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารสูง
Key หลักการทำให้หายจากการผลิตฮอร์โมนจำนวนมากจากต่อมไทรอยด์ คือ การรักษาสมดุลในร่างกาย เช่น ดื่มน้ำย่านาง (ให้ร่างกายภายในเย็น) ทำสมาธิทุกวันก่อนนอน, ทานอาหารสุขภาพ, ดื่มน้ำสกัดจากเปลือกมังคุด ถุงละ 200 บาททุกวัน, ล้างลำไส้ คือ ผมลองทำมาเกือบทุกอย่างแล้วครับ แต่ว่าร่างกายผมกลับไม่ตอบสนองอะไรเลย นิ่งๆ เหมือนเดิม ไทรอยด์ขึ้นๆลงๆ ผมจึงไม่เชื่อวิธีการรักษาดังกล่าว
เพราะผมทำงานค่อนข้างเครียด
ห้ามอะไรก็ห้ามได้ล่ะครับ ถ้ามีใครบอกว่าห้ามเครียดจะทำได้ไหม ตอบเลยครับว่า คงยาก
ช่วงขึ้นปีที่ 3 ผมเริ่มชินกับการทำงาน ปลงกับความเครียดที่เกิดขึ้น ถ้าถามยังมีความเครียดในการทำงานบ้างรึเปล่า มีครับ แต่ไม่มากเหมือนช่วงแรกที่ทำงาน แต่ร่างกายผมกลับแย่ลงนะครับ ไม่ทราบว่าเพราะอายุที่เพิ่มขึ้นรึเปล่า มือผมเริ่มกลับมาสั่น เหนื่อยง่ายอีกครั้ง ร่างกายอ่อนแอ ผมเริ่มค้นหาวิธีการรักษาแบบกลืนแร่, effect ที่จะกระทบกับตัวผม, และความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
ลืมบอกครับ ว่าหลังจากปีที่ 3 มา พอรู้สึกว่าร่างกายเริ่มโทรม เป็นปกติที่คนเราต้องการเสริมสุขภาพร่างกายสภาพภายนอกของตนเองให้ดีขึ้น “คอลลาเจน” แบบผง มาแรงครับ ซื้อมา 2,000 บาท ลองได้สองวันเท่านั้นล่ะ นัดหมอด่วนอีกครั้งนึงครับ T_T
เพราะผมรู้สึกว่าคอผมโตขึ้นมาก ทั้งๆที่ดูอยู่บ่อยๆ พบหมอ หมอก็บอกไม่เกี่ยวนะครับ แต่ผมก็ว่ามันก็คงมีส่วนในการกระตุ้น เอาเป็นว่า ผมคอโต ตาเริ่มโปน ในช่วงปีที่ 3 เดือน 5-6 น่ะครับ
ปลงครับ สุดท้ายหมอบอกว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ คอยุบได้ถ้าผ่าตัดหรือกลืนแร่ แต่ตานี่ ยังไงก็ไม่เหมือนเดิม ตามนั้นแหละครับ ไม่ยุบก็ไม่ยุบ หมอก็ Convince ผมทุกเดือน ทุกวี่ทุกวัน กลืนแร่เถอะ กลืนแร่เถอะ กลืนแร่เถอะ ไม่แย่อย่างที่คิดหรอก อย่าไปอ่านในอินเทอร์เน็ตเยอะ
เอาตามตรง ผมไม่ได้กลัวที่อินเทอเน็ตเค้าเขียนบล็อคกันไว้หรอกครับ ก็เพราะ “คุณหมอ” นี่แหละครับ ที่บอกว่า ผมยังไม่ต้องกลืนแร่หรอก เพราะมันไม่ดีต่อร่างกาย มีผลข้างเคียง นู่นนี่นั่น
ผมยื้อไว้จนประมาณ ปีที่ 4 ครับ สุดท้ายทนไม่ไหว “เอาวะ! กินก็กิน จะได้หายๆ คนเราเกิดมา ก็ตายครั้งเดียว” คิดแบบนี้แหละครับ เลยโทรนัดกับทางโรงพยาบาล ให้ช่วยนัดศูนย์การแพทย์สำหรับการกลืนแร่ เสร็จสรรพ ก็ได้วันมา
กฎหลักของการกลืนแร่ คือ
1. หยุดยาล่วงหน้า 7 วัน ก่อนกลืน และหลังกลืน 7 วัน
2. หยุดอาหารที่มีไอโดดีนทุกชนิด เช่น อาหารทะเล เกลือ น้ำปลา ซอสทุกชนิด ล่วงหน้า 7 วัน และหลังกลืน 7 วัน
“นรก” คำศัพท์คำเดียวจากพจนานุกรมที่ค่อนข้างเหมาะสมสำหรับ 14 วันนี้ ผมเคยอ่านเจอว่า บางโรงพยาบาลจำหน่ายเกลือที่ไม่มีไอโอดีนให้กลับมาทำอาหารเองที่บ้าน ผมอยากถามหน่อยครับ โรงพยาบาลไหน ???? เผื่อผมจะได้ไปซื้อบ้าง
คำแนะนำในเรื่องอาหาร 14 วันสุดนรก (ใครมีอะไรแนะนำ แชร์เพื่อนๆได้นะครับ เพราะคิดไม่ค่อยออกกันหรอก)
2 – 3 วันแรก ระหว่างที่ยังทานอาหารลงครับ จัดไปเลยครับ ข้าวผัดไม่ใส่ซอสไม่ใส่เกลือทุกชนิด ส้มตำไม่ใส่น้ำปลา ไม่ใส่กุ้งแห้ง ผัดผัก ไข่เจียวดาษๆ ผัดพริงแกงไม่ใส่เกลือและน้ำปลา (แม่ผมทำให้ ไม่รู้ทำยังไง) สามวันแรก ยังพอทานได้ครับ
เริ่มวันที่ 4 ผมเริ่มเบื่ออาหารแบบสุดขีดแล้วครับ ทานอะไรไม่ลง ทานได้แต่ผลไม้ ผมแนะนำให้หยุดงานครับ อยู่บ้านเฉยๆ แล้วตื่นสายๆ ตื่นมาก็ทานไข่ต้มก่อนเลยสัก 2-3 ฟอง เอาไข่แดงออกนะครับ เดี๋ยวคอเรสเตอรอล จะสูง สำหรับผม ผมจะเก็บผลไม้ไว้ในบ้านเยอะมากครับ เพราะทานข้าวไม่ลง ปากจะจืดๆ วันนึงจะทานผลไม้ชนิดเดียว หิวก็ทาน หิวก็ทาน จะได้เบื่อเป็นอย่างๆไป
ิ อาหารที่ทานได้ ก็จะมีพวกสปาเก็ตตี้ ราดซอสมะเขือเทศใส่หมูสับ แต่ซอสต้องทำเองนะครับ และพวกขนมปังทาแยมผลไม้ ซึ่งแยมผลไม้ก็ต้องทำเอง
บอกเลยครับ ช่วง 7-14 วันนี้จะนรกมากสำหรับทุกคนนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร หรือเรื่องร่างกายของเรา ทั้งมือสั่น ใจสั่น น้ำหนักลดฮวบ มาเร็วมากจนรับไม่ทัน รู้สึกเหนื่อยมากกว่าตอนที่เป็นไทรอยด์ตอนแรกซะอีก
ถึงวันที่ผมต้องไปทดลองกลืนแร่แล้วครับ
จากที่ผมอ่านในกระทู้ จะมีบ้างที่บอกให้ลงไปห้องใต้ดิน กะดกขวดยาแล้วรีบกลับบ้าน ดูน่ากลัวๆ
“เงิบ” พอไปถึงศูนย์การแพทย์ เขาให้ผมนั่งรอนิ่งๆ แล้วก็เอาขวดใสๆ ใส่แคปซูน 1 เม็ด มาวางหน้าผม พร้อมน้ำเปล่า 1 แก้ว พร้อมทั้งอธิบายว่า หลังจากกินยาแล้วห้ามเข้าใกล้คนอื่น ในบริเวณสามเมตร นู่นนี่นั่น นู่นนี่นั่น ว่าไปตามกฎที่เขาต้องบอก
“ทานเลยค่ะ” พยาบาลบอกผม …………………………… ตรงนี้ ?????????? …………….. “ค่ะ” พยาบาลตอบ
แล้วผมจะอ่านมาเยอะแยะเพื่อ กลัวเพื่อ ?? เอาจริงๆครับ ไม่น่ากลัวเลย เหมือนกินยาแคปซูนเม็ดนึงที่อยู่ในขวดห้ามโดนมือ กินปุ๊บ เรียกแท็กซี่ กลับบ้านเลย แล้วให้ผมมาหาอีกทีวันรุ่งขึ้น ส่วนนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนะครับ
Share ไทรอยด์เป็นพิษ และการรักษาโดยการกลืนแร่
ขอกล่าวสวัสดีกับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ทุกคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ครับ
ทุกคนที่เข้ามาในกระทู้นี้ ร้อยละ 95 ผมคงเดาไม่ผิด กับการเป็นโรคที่มีชื่อว่า "ไทรอยด์เป็นพิษ"
อีก 5% ที่เหลือคงจะเป็นญาติพี่น้อง คุณพ่อคุณแม่ ที่ตั้งใจจะหาข้อมูลต่างๆ เพื่อ support บุคคลในครอบครัวของท่านเอง
"ไทรอยด์เป็นพิษ" คือโรคอะไร เป็นไปได้อย่างไร และ มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง
ผมขออนุญาตไม่พูดถึงว่า โรคนี้เป็นเพราอะไร และมีที่มาอย่างไรนะครับ เพราะหาได้ง่ายจากทางอินเทอร์เน็ต
สิ่งที่ผมจะพูด เกี่ยวกับการกลืนแร่ ความรู้สึกในการรักษาประเภทนี้ ลักษณะรูปร่างภายนอกที่เปลี่ยนไป และที่สำคัญ เรื่องอาหารการกิน
ผมรักษามากว่า 4 ปีโดยการกินยา - 1 ปี กลืนแร่+ยากดฮอร์โมน และ กำลังจะกลืนแร่ครั้งที่ 2
ดูแย่ใช่ไหมครับ ? บอกตรงๆครับ มันแย่กว่าที่คิด 555
เริ่มต้นจากตัวผมเองก่อนนะครับ
ที่ไป – ที่มา ของการเป็นไทรอยด์ครั้งแรก#
ช่วงอายุ 22 ปี ผมมีโอกาสได้ไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา คือจริงๆแล้วตั้งใจจะอยู่หลายๆปีครับ ตอนนั้นไปเรียนภาษาอังกฤษและไปทำงานร้านอาหารไทยเหมือนเด็กไทยทั่วไปที่ต้องการไปหาเงิน ด้วยความที่ผมเองเป็นผู้ชายครับ การหางานร้านอาหารไทยที่อเมริกานั้นค่อนข้างยาก (เพราะส่วนใหญ่เขาจะชอบรับผู้หญิง) อีกทั้งวีซ่าที่มีอยู่คือวีซ่านักเรียน จำเป็นต้องเรียนไปควบคู่กับการ ทำงาน เกิดปัญหาเรื่องเดียวครับ คือเงินไม่พอใช้ ต้องขอพ่อแม่ใช้เดือนละหลายๆหมื่น (เหยียบแสน) เกิดความเครียด ตอนนั้นอยู่ได้สักประมาณ 2-3 เดือน ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้น ผอมลงเร็วมากจนผิดหูผิดตา ลืมบอกครับ ผมส่วนสูง 180 cm น้ำหนัก 78 คือจริงๆแล้วผมจะควบคุมน้ำหนักตัวเองไม่ให้เกิน 80 น่ะครับ ผมจะถือว่า ผมอ้วนมากล่ะ ก็จะออกกำลังกาย หรือลดอาหาร (ช่วงที่อยู่เมืองไทย) น้ำหนักลดประมาณ 4-5 กิโลกรัมครับ ตอนนั้นผมก็แค่คิดว่า สงสัยทำงานหนัก ผอมลง ใครก็ดีใจ 55555
ทำงานร้านอาหารไทยได้สักพัก ผมก็ได้งานร้านทำเล็บที่อเมริกาครับ (เป็น Reception นะครับ ไม่ใช่มานั่งทาเอง) ร้านนั้นอยู่ค่อนข้างไกลมากครับ เวลาที่ผมต้องไปทำงาน ผมต้องขึ้นรถประจำทาง 2 ต่อ และขับจักรยานต่อไปอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตร ทางขึ้นเขาเล็กน้อย ทำงานสองวันแรก ผมปั่นจักรยานไป ผมก็รู้สึกว่า เหนื่อยมากก ขาสั่นจนทนไม่ไหว ….
ผ่านไป 1 อาทิตย์ ผมรู้สึกว่าผมเหนื่อยมากกว่าเดิมอีกครับ เลยขอลาออก เพราะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองนั้นไม่ไหวจริงๆ เหมือนคนเดิน 10 กิโลเมตร พร้อมยกหินหนักไปกับตัวเองด้วยอีก 10 กิโลกรัม ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
เลยต้องกลับมาทำงานร้านอาหารไทยต่อ
ช่วงเดือนที่ 6 (เข้ารอบ 3 เดือนของการเป็นไทรอยด์) ตอนนั้นเสริฟอาหารเริ่มไม่ได้แล้วครับ มือสั่น ใจสั่นตลอดเวลา แต่ด้วยความที่ผมนั้นร่างกายค่อนข้างแข็งแรงมาก่อน ผมเลยสู้สุดชีวิต (จริงๆแล้วค่าหมอที่อเมริกาแพง ผมกลัว 55) ก็ยังฝืนทนทำงานต่อไป ทั้งๆที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหว อุณหภูมิช่วงนั้น 0 องศา ผมใส่กางเกงขาสั้น เสื้อสีขาวบางๆคล้ายห่านคู่ รองเท้าแตะ เดินเล่นในเมือง เพราะรู้สึกว่า อากาศไม่หนาวเลยซักนิด
ช่วงเดือนที่ 9 (เข้ารอบ 6 เดือนของการเป็นไทรอยด์) น้ำหนักผมลดลงจาก 78 จนเหลือ 63 กิโลครับ หน้าตาผมเหมือนพี่โน๊ตอุดมเวอร์ชั่นผอม (เพราะจมูกผมใหญ่เหมือนพี่โน๊ต) ทั้งๆที่ผมทานข้าววันละ 5 มื้อนะครับ ตอนนั้นผมรู้สึกว่า ไม่ใช่ละ ชีวิตผมไม่ปกติล่ะ เลยเล่าให้แม่ฟัง ว่าน้ำหนักตอนนี้เหลือเท่าไหร่ อาการเป็นยังไง
หลังจากนั้น 2 วัน ผมก็ถึงเมืองไทยครับ O_o”
ผมลากกระเป๋าออกมาจากสุวรรณภูมิ พ่อแม่ยายและน้าก็มารอรับที่สุวรรณภูมิ พ่อแม่ผมหาผมไม่เจอ จนผมเดินไปต่อหน้า แกยังไม่รู้เลยว่าเป็นผม 5555 หลังจากยายได้เจอผมแล้ว น้ำตาไหลพรากครับ ตลอดชีวิตหลานไม่เคยผอมขนาดนี้ ตกใจ 555
แน่นอนครับ Admitted ทันทีหลังจากถึงไทยภายใน 1 วัน ผมเข้าโรงพยาบาลวิชัยยุทธครับ เป็นโรงพยาบาลที่ผมเป็นลูกค้าตั้งแต่เด็กๆ มาถึงปุ๊บ ตรวจเลือดปั๊บ พบหมอ หมอพูดหน้าตาเฉยมากครับ มือสั่น ใจสั่น เป็นผลพวงมาจากการที่น้ำหนักของเรานั้น ลดลงอย่างรวดเร็ว โรคส่วนใหญ่ที่เขาเป็นๆกันก็ ไทรอยด์ เบาหวาน แล้วก็เอดส์
“ไทรอยด์ เบาหวาน เอดส์” “ไทรอยด์ เบาหวาน เอดส์”
มันดังอยู่ในสมองผมทุกๆ 1 นาที ต้องรอเวลาผลออกอีก 22 ชั่วโมง ในการรอผล พ่อแม่ก็ช่วยกันปลอบ บอกเลยครับ นอนไม่หลับ 55555
ตอนเช้าวันถัดมา ผมรีบมาหาหมอตอนเช้าตามนัดหมายครับ เจอหน้าหมอปั๊บ หมอพูดง่ายๆ แค่ “มีสามโรคให้เลือก จะเลือกโรคอะไร ไทรอยด์ เบาหวาน เอดส์?” จริงๆผมอยากจะเตะปากหมอสักครั้งนึงนะครับแต่เกรงใจ จึงบอกแกว่า “โรคอะไรก็ได้ครับ ที่ไม่ใช่เอดส์”
“ไทรอยด์เป็นพิษ”
พอทราบแล้วค่อยโล่งใจครับ เข้าเรื่องรักษาเลยละกันครับ (อ้อมนานมาก) จริงๆแล้วมี 3 วิธีหลักในการรักษา 1. กินยาตามขนาดที่หมอสั่ง 2. การผ่าตัด เอามันไปเผาทิ้ง 3. การกลืนรังสี (กลืนแร่)
หมอปลอบใจผมครับ โอ้ย! โรคนี้คนเป็นเยอะแยะ หมอก็เป็น แต่หมอหายมาแล้ว เพราะว่าหมอเนี่ยไปกลืนรังสี แต่เธอยังเด็ก ยังไม่ต้องไปกลืนหรอก เพราะกลืนมันหายขาดก็จริง แต่มันจะมีผลข้างเคียง เช่น อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งในกระเพาะได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ เพราะการรักษาแบบการกลืนรังสี มันคือการเอารังสีวิ่งผ่านส่วนต่างๆของร่างกาย สุดท้ายไปอยู่ที่ระบบย่อยอาหาร หมอยังไม่แนะนะ ก็กินยาไปก่อนนะ ประมาณ 2 ปี ส่วนใหญ่ 2 ปีเขาก็หายกัน หายก็ไม่ต้องมาตรวจบ่อยๆแล้ว มาหกเดือน หนึ่งปีครั้งก็พอ
ใจชื้นครับ บอกเลย! เป็นไทรอยด์ กากๆดาษๆ เหอะ เดี๋ยวก็หาย กินยาทุกวัน ผมเป็นพวกที่มีวินัยในการกินยาอยู่แล้วครับ เลยไม่ซีเรียสเรื่องการลืมทานยา
ในช่วง 3 เดือนแรก ชีวิตผมดีขึ้นพุ่งสูงพรวดเหมือนยิงจรวดขึ้นไปบนดาวอังคาร 55 ดีใจครับ ที่กลับมาปกติเร็วมากเพราะว่าในร่างกายผมมีตัวแอนตี้อะไรสักอย่าง (หมอบอก) ช่วยให้ร่างกายผมดีขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำหนักขึ้นมา 75 กิโลกรัม ค่าไทรอยด์เกือบเข้าสู่ปกติครับ
ช่วงเดือนที่ 6 ผมเหมือนคนปกติทุกอย่าง น้ำหนักกลับมา 78 กิโลกรัม วิ่งได้ ให้ไปเกณฑ์ทหารผมยังสบายๆเลย
1 ปีผ่านไป ร่างกายผมยังเป็นปกติ เริ่มอ้วนท้วนสมบูรณ์ จากน้ำหนักที่ไม่เคยเกิน 78 ก็เกินมา 2 กิโลกรัม . . . ok Fine เพราะเป็นโรค
1 ปี 6 เดือน ร่างกายผมยังถือว่าเป็นปกติอยู่
2 ปี ก็ยังปกติอยู่ครับ ค่าไทรอยด์ทรงๆ หมอจึงลองให้หยุดยา 1 เดือน แล้วกลับมาตรวจใหม่
2 ปี 1 เดือน ไทรอยด์เด้งขึ้นมา ค่าเท่าเดิมเหมือนตอนเริ่มหาใหม่ๆครับ 5555 หมอสรุปให้ผมง่ายๆเลยว่า ไม่หายแน่นอน ต้องเปลี่ยนวิธีรักษา ซึ่งก็มีสองวิธีที่เหลือที่กล่าวไปข้างต้น คือการผ่าตัดและกลืมแร่ ซึ่งทางที่บ้านผมเขาไม่อยากให้ทำทั้งสองอย่าง เนื่องจากมีความเสี่ยงทั้งคู่ (แม่ผมชอบอ่านกระทู้ต่างๆ จากอินเทอร์เน็ตครับ เขาเลยเป็นห่วง) เขาเลยหาวิธีรักษาควบคู่กันไป พร้อมกับการทานยาของหมอเป็นประจำทุกวัน
ความเสี่ยงที่ว่า คือหากผ่าตัด มีสิทธิ์พลาดไปโดนเส้นเสียง หรือเส้นประสาทอื่นๆบริเวณรอบคอ ส่วนกลืนแร่ ก็มีสิทธิ์เป็นโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารสูง
Key หลักการทำให้หายจากการผลิตฮอร์โมนจำนวนมากจากต่อมไทรอยด์ คือ การรักษาสมดุลในร่างกาย เช่น ดื่มน้ำย่านาง (ให้ร่างกายภายในเย็น) ทำสมาธิทุกวันก่อนนอน, ทานอาหารสุขภาพ, ดื่มน้ำสกัดจากเปลือกมังคุด ถุงละ 200 บาททุกวัน, ล้างลำไส้ คือ ผมลองทำมาเกือบทุกอย่างแล้วครับ แต่ว่าร่างกายผมกลับไม่ตอบสนองอะไรเลย นิ่งๆ เหมือนเดิม ไทรอยด์ขึ้นๆลงๆ ผมจึงไม่เชื่อวิธีการรักษาดังกล่าว
เพราะผมทำงานค่อนข้างเครียด
ห้ามอะไรก็ห้ามได้ล่ะครับ ถ้ามีใครบอกว่าห้ามเครียดจะทำได้ไหม ตอบเลยครับว่า คงยาก
ช่วงขึ้นปีที่ 3 ผมเริ่มชินกับการทำงาน ปลงกับความเครียดที่เกิดขึ้น ถ้าถามยังมีความเครียดในการทำงานบ้างรึเปล่า มีครับ แต่ไม่มากเหมือนช่วงแรกที่ทำงาน แต่ร่างกายผมกลับแย่ลงนะครับ ไม่ทราบว่าเพราะอายุที่เพิ่มขึ้นรึเปล่า มือผมเริ่มกลับมาสั่น เหนื่อยง่ายอีกครั้ง ร่างกายอ่อนแอ ผมเริ่มค้นหาวิธีการรักษาแบบกลืนแร่, effect ที่จะกระทบกับตัวผม, และความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
ลืมบอกครับ ว่าหลังจากปีที่ 3 มา พอรู้สึกว่าร่างกายเริ่มโทรม เป็นปกติที่คนเราต้องการเสริมสุขภาพร่างกายสภาพภายนอกของตนเองให้ดีขึ้น “คอลลาเจน” แบบผง มาแรงครับ ซื้อมา 2,000 บาท ลองได้สองวันเท่านั้นล่ะ นัดหมอด่วนอีกครั้งนึงครับ T_T
เพราะผมรู้สึกว่าคอผมโตขึ้นมาก ทั้งๆที่ดูอยู่บ่อยๆ พบหมอ หมอก็บอกไม่เกี่ยวนะครับ แต่ผมก็ว่ามันก็คงมีส่วนในการกระตุ้น เอาเป็นว่า ผมคอโต ตาเริ่มโปน ในช่วงปีที่ 3 เดือน 5-6 น่ะครับ
ปลงครับ สุดท้ายหมอบอกว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ คอยุบได้ถ้าผ่าตัดหรือกลืนแร่ แต่ตานี่ ยังไงก็ไม่เหมือนเดิม ตามนั้นแหละครับ ไม่ยุบก็ไม่ยุบ หมอก็ Convince ผมทุกเดือน ทุกวี่ทุกวัน กลืนแร่เถอะ กลืนแร่เถอะ กลืนแร่เถอะ ไม่แย่อย่างที่คิดหรอก อย่าไปอ่านในอินเทอร์เน็ตเยอะ
เอาตามตรง ผมไม่ได้กลัวที่อินเทอเน็ตเค้าเขียนบล็อคกันไว้หรอกครับ ก็เพราะ “คุณหมอ” นี่แหละครับ ที่บอกว่า ผมยังไม่ต้องกลืนแร่หรอก เพราะมันไม่ดีต่อร่างกาย มีผลข้างเคียง นู่นนี่นั่น
ผมยื้อไว้จนประมาณ ปีที่ 4 ครับ สุดท้ายทนไม่ไหว “เอาวะ! กินก็กิน จะได้หายๆ คนเราเกิดมา ก็ตายครั้งเดียว” คิดแบบนี้แหละครับ เลยโทรนัดกับทางโรงพยาบาล ให้ช่วยนัดศูนย์การแพทย์สำหรับการกลืนแร่ เสร็จสรรพ ก็ได้วันมา
กฎหลักของการกลืนแร่ คือ
1. หยุดยาล่วงหน้า 7 วัน ก่อนกลืน และหลังกลืน 7 วัน
2. หยุดอาหารที่มีไอโดดีนทุกชนิด เช่น อาหารทะเล เกลือ น้ำปลา ซอสทุกชนิด ล่วงหน้า 7 วัน และหลังกลืน 7 วัน
“นรก” คำศัพท์คำเดียวจากพจนานุกรมที่ค่อนข้างเหมาะสมสำหรับ 14 วันนี้ ผมเคยอ่านเจอว่า บางโรงพยาบาลจำหน่ายเกลือที่ไม่มีไอโอดีนให้กลับมาทำอาหารเองที่บ้าน ผมอยากถามหน่อยครับ โรงพยาบาลไหน ???? เผื่อผมจะได้ไปซื้อบ้าง
คำแนะนำในเรื่องอาหาร 14 วันสุดนรก (ใครมีอะไรแนะนำ แชร์เพื่อนๆได้นะครับ เพราะคิดไม่ค่อยออกกันหรอก)
2 – 3 วันแรก ระหว่างที่ยังทานอาหารลงครับ จัดไปเลยครับ ข้าวผัดไม่ใส่ซอสไม่ใส่เกลือทุกชนิด ส้มตำไม่ใส่น้ำปลา ไม่ใส่กุ้งแห้ง ผัดผัก ไข่เจียวดาษๆ ผัดพริงแกงไม่ใส่เกลือและน้ำปลา (แม่ผมทำให้ ไม่รู้ทำยังไง) สามวันแรก ยังพอทานได้ครับ
เริ่มวันที่ 4 ผมเริ่มเบื่ออาหารแบบสุดขีดแล้วครับ ทานอะไรไม่ลง ทานได้แต่ผลไม้ ผมแนะนำให้หยุดงานครับ อยู่บ้านเฉยๆ แล้วตื่นสายๆ ตื่นมาก็ทานไข่ต้มก่อนเลยสัก 2-3 ฟอง เอาไข่แดงออกนะครับ เดี๋ยวคอเรสเตอรอล จะสูง สำหรับผม ผมจะเก็บผลไม้ไว้ในบ้านเยอะมากครับ เพราะทานข้าวไม่ลง ปากจะจืดๆ วันนึงจะทานผลไม้ชนิดเดียว หิวก็ทาน หิวก็ทาน จะได้เบื่อเป็นอย่างๆไป
ิ อาหารที่ทานได้ ก็จะมีพวกสปาเก็ตตี้ ราดซอสมะเขือเทศใส่หมูสับ แต่ซอสต้องทำเองนะครับ และพวกขนมปังทาแยมผลไม้ ซึ่งแยมผลไม้ก็ต้องทำเอง
บอกเลยครับ ช่วง 7-14 วันนี้จะนรกมากสำหรับทุกคนนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร หรือเรื่องร่างกายของเรา ทั้งมือสั่น ใจสั่น น้ำหนักลดฮวบ มาเร็วมากจนรับไม่ทัน รู้สึกเหนื่อยมากกว่าตอนที่เป็นไทรอยด์ตอนแรกซะอีก
ถึงวันที่ผมต้องไปทดลองกลืนแร่แล้วครับ
จากที่ผมอ่านในกระทู้ จะมีบ้างที่บอกให้ลงไปห้องใต้ดิน กะดกขวดยาแล้วรีบกลับบ้าน ดูน่ากลัวๆ
“เงิบ” พอไปถึงศูนย์การแพทย์ เขาให้ผมนั่งรอนิ่งๆ แล้วก็เอาขวดใสๆ ใส่แคปซูน 1 เม็ด มาวางหน้าผม พร้อมน้ำเปล่า 1 แก้ว พร้อมทั้งอธิบายว่า หลังจากกินยาแล้วห้ามเข้าใกล้คนอื่น ในบริเวณสามเมตร นู่นนี่นั่น นู่นนี่นั่น ว่าไปตามกฎที่เขาต้องบอก
“ทานเลยค่ะ” พยาบาลบอกผม …………………………… ตรงนี้ ?????????? …………….. “ค่ะ” พยาบาลตอบ
แล้วผมจะอ่านมาเยอะแยะเพื่อ กลัวเพื่อ ?? เอาจริงๆครับ ไม่น่ากลัวเลย เหมือนกินยาแคปซูนเม็ดนึงที่อยู่ในขวดห้ามโดนมือ กินปุ๊บ เรียกแท็กซี่ กลับบ้านเลย แล้วให้ผมมาหาอีกทีวันรุ่งขึ้น ส่วนนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนะครับ