สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 35
1. ผมไม่มีอคติกับมุสลิมหรือผู้ลี้ภัยเป็นการเฉพาะ แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับอธิปไตยของชาติ เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ หากจะเข้าเมืองมาเพื่อลี้ภัยก็ควรจะผ่านขั้นตอนถูกต้อง ให้เขาเข้ามาอยู่ในบ้านได้ แต่ต้องอยู่ในสายตา เพราะเราไม่มีทางรู้ว่า คนที่เข้ามาคนไหนเป็นคนดี คนไหนเป็นโจร
สำหรับเรื่องที่พวกประเทศใหญ่ๆ ที่ชอบอ้างสิทธิมนุษยชน ชอบอ้างมนุษยธรรมแต่ไม่มาช่วยเหลือเรื่องผู้ลี้ภัยอย่างจริงจัง ไม่รับผู้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศตนเองหรือถ้ารับไปก็เลือกแต่พวกหัวกะทิจำนวนน้อย ไม่ให้เงินสนับสนุนอย่างเพียงพอกับประเทศที่ต้องแบกรับภาระนั้น เป็นสิ่งที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว และคิดว่าจะยังเป็นแบบนี้ไปอีกนาน
2. สำหรับการเปรียบเทียบกับชาวจีนอพยพ ผมก็รับไม่ได้ เพราะทัศนคติของคนสองกลุ่มนี้ไม่เหมือนกัน
ตัวผมเป็นลูกหลานของชาวจีนอพยพ คุณปู่ผมได้เข้าเมืองโดยผ่านขั้นตอนถูกต้อง (ถึงแม้จะยุ่งยากและถูกเหยียดหยามจากข้าราชการในสมัยนั้น) ท่านมาถึงเมืองไทยต้องใช้แรงงาน เริ่มจากการทำงานที่ต่ำและหนัก โดนคนท้องถิ่นล้อเลียน ดูถูก เอาเปรียบสารพัด จนท่านตั้งตัวได้ ฝ่ายแม่ผมเอง ก็เป็นชาวจีนอพยพเช่นกัน ผมจึงคิดว่า ผมมีสิทธิที่จะพูดแทนกลุ่มชาวจีนอพยพในเมืองไทยได้ระดับหนึ่ง
คุณทราบหรือไม่ว่า สิ่งที่พวกท่านสอนลูกหลานคืออะไร? พวกท่านสอนว่า ให้ขอบคุณประเทศไทย เพราะนี่เป็นที่ให้โอกาสพวกท่านได้มีที่ซุกหัวนอน ได้อยู่อย่างสงบสุข สอนให้รักในหลวง เพราะในหลวงทรงเมตตาให้พวกท่านได้มาอยู่อาศัยในประเทศนี้ สอนให้ลูกหลานตั้งใจทำมาหากิน จะได้ไม่ต้องลำบาก สอนให้ลูกหลานเคารพคนและเห็นใจคนอื่น เพราะพวกท่านรู้ว่ายามโดนรังแก เอาเปรียบ ดูถูกมันเจ็บปวดแค่ไหน พวกท่านสอนให้เราพอใจกับสิ่งที่มีทุกวันนี้ และขอบคุณประเทศไทย
ชาวจีนอพยพขอบคุณประเทศไทย ขอบคุณในหลวง พอใจกับทุกสิ่งที่ได้รับ แม้หลายๆ อย่างจะไม่น่ารื่นรมในตอนต้น แต่พอกลับมาดูทัศนคติของผู้อพยพบางกลุ่มในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา คนพวกนี้จำนวนหนึ่งมองว่าเป็นหน้าที่ของประเทศไทยที่ต้องดูแลพวกเขา และประเทศไทยยังดูแลเขาไม่ดีพอ ไม่รู้สึกขอบคุณหรืออยากตอบแทนอะไรประเทศไทย ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว จะยังให้ผมเห็นด้วยกับการยอมรับผู้อพยพส่วนนั้นได้อย่างไรครับ? บอกตรงๆ ว่าผมเห็นพวกเขมรหรือพม่าอพยพในสมัยก่อนยังรู้สึกว่าน่าสงสารมากกว่ามาก เพราะเขายังรู้สึกขอบคุณประเทศไทยอยู่บ้าง
ไม่ได้จะบอกว่าให้แล้งน้ำใจ แต่ให้ทำทุกอย่างให้ถูกต้อง และมองถึงความมั่นคงกับประโยชน์ของชาติเราบ้างเถอะครับ
สำหรับเรื่องที่พวกประเทศใหญ่ๆ ที่ชอบอ้างสิทธิมนุษยชน ชอบอ้างมนุษยธรรมแต่ไม่มาช่วยเหลือเรื่องผู้ลี้ภัยอย่างจริงจัง ไม่รับผู้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศตนเองหรือถ้ารับไปก็เลือกแต่พวกหัวกะทิจำนวนน้อย ไม่ให้เงินสนับสนุนอย่างเพียงพอกับประเทศที่ต้องแบกรับภาระนั้น เป็นสิ่งที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว และคิดว่าจะยังเป็นแบบนี้ไปอีกนาน
2. สำหรับการเปรียบเทียบกับชาวจีนอพยพ ผมก็รับไม่ได้ เพราะทัศนคติของคนสองกลุ่มนี้ไม่เหมือนกัน
ตัวผมเป็นลูกหลานของชาวจีนอพยพ คุณปู่ผมได้เข้าเมืองโดยผ่านขั้นตอนถูกต้อง (ถึงแม้จะยุ่งยากและถูกเหยียดหยามจากข้าราชการในสมัยนั้น) ท่านมาถึงเมืองไทยต้องใช้แรงงาน เริ่มจากการทำงานที่ต่ำและหนัก โดนคนท้องถิ่นล้อเลียน ดูถูก เอาเปรียบสารพัด จนท่านตั้งตัวได้ ฝ่ายแม่ผมเอง ก็เป็นชาวจีนอพยพเช่นกัน ผมจึงคิดว่า ผมมีสิทธิที่จะพูดแทนกลุ่มชาวจีนอพยพในเมืองไทยได้ระดับหนึ่ง
คุณทราบหรือไม่ว่า สิ่งที่พวกท่านสอนลูกหลานคืออะไร? พวกท่านสอนว่า ให้ขอบคุณประเทศไทย เพราะนี่เป็นที่ให้โอกาสพวกท่านได้มีที่ซุกหัวนอน ได้อยู่อย่างสงบสุข สอนให้รักในหลวง เพราะในหลวงทรงเมตตาให้พวกท่านได้มาอยู่อาศัยในประเทศนี้ สอนให้ลูกหลานตั้งใจทำมาหากิน จะได้ไม่ต้องลำบาก สอนให้ลูกหลานเคารพคนและเห็นใจคนอื่น เพราะพวกท่านรู้ว่ายามโดนรังแก เอาเปรียบ ดูถูกมันเจ็บปวดแค่ไหน พวกท่านสอนให้เราพอใจกับสิ่งที่มีทุกวันนี้ และขอบคุณประเทศไทย
ชาวจีนอพยพขอบคุณประเทศไทย ขอบคุณในหลวง พอใจกับทุกสิ่งที่ได้รับ แม้หลายๆ อย่างจะไม่น่ารื่นรมในตอนต้น แต่พอกลับมาดูทัศนคติของผู้อพยพบางกลุ่มในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา คนพวกนี้จำนวนหนึ่งมองว่าเป็นหน้าที่ของประเทศไทยที่ต้องดูแลพวกเขา และประเทศไทยยังดูแลเขาไม่ดีพอ ไม่รู้สึกขอบคุณหรืออยากตอบแทนอะไรประเทศไทย ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว จะยังให้ผมเห็นด้วยกับการยอมรับผู้อพยพส่วนนั้นได้อย่างไรครับ? บอกตรงๆ ว่าผมเห็นพวกเขมรหรือพม่าอพยพในสมัยก่อนยังรู้สึกว่าน่าสงสารมากกว่ามาก เพราะเขายังรู้สึกขอบคุณประเทศไทยอยู่บ้าง
ไม่ได้จะบอกว่าให้แล้งน้ำใจ แต่ให้ทำทุกอย่างให้ถูกต้อง และมองถึงความมั่นคงกับประโยชน์ของชาติเราบ้างเถอะครับ
ความคิดเห็นที่ 53
เห็นด้วยว่าให้ผลักดันออกไป
เราอยู่สวิสฯ บอกตรง ๆ ว่าคนที่นี่เอือมมาก ๆ กับมุสลิมทั้งผิวขาวผิวดำ(อาฟริกา)..ตอนปี 91 สวิสรับพวกยูโกฯ อัลบาเนี่ยนเข้ามาเพราะสงคราม ปัจจุบันนี่คนพวกนี้อยู่นี่มาก็สองสามรุ่นไปแล้ว แต่..ความประพฤติและวิธีคิดยังเหมือนเดิม ง่าย ๆ สั้น ๆ คือไม่เคยกลมกลืนกับคนทางนี้ได้เลยจะอ้างศาสนาตลอด ปัญหาทำร้ายร่างกาย ลักเล็กขโมยน้อย กร่าง เอาเปรียบงานไม่ทำแต่ผลิตลูกออกมาเยอะแต่ไม่รับผิดชอบ ลูกไปโรงเรียนก็ไม่ทำตามกฏโรงเรียนอ้างศาสนา เช่นไม่ให้ลูกไปว่ายน้ำ(ชั้นประถมค่ะ)เพราะต้องว่ายรวมกับเด็กอื่นในชั้นเดียวกัน(ห้องหนึ่งมีเด็กชายหญิงปนกัน) บังคับให้ลูกคลุมหัวทำตัวให้ผิดไปจากเด็กอื่น สอนลูกเล็ก ๆ ให้ถ่มน้ำลายรดหากไม่พอใจเพื่อน หรือชกต่อยเลยก็มี สอนให้ลูกเห็นคนชาติอื่นต่ำต้อยกว่ามัน ฯลฯ อยากบอกว่าไม่ต้องสงสารเพราะพวกนี้ไม่ได้เหมือนมุสลิมอย่างที่เรารู้จักกัน ๆ ที่เมืองไทยค่ะ
เราเองแต่ก่อนก็อยู่สวนหลวงถัดบ้านเราไปหน่อยหนึ่งคือสะแระหมัด บ้านป่า คลองตันนี่ก็มุสลิมทั้งนั้น เรามีเพื่อนมุสลิมเพียบ พวกเขาก็ทำตัวเหมือนคนไทยทั่ว ๆ ไปเพียงแต่ไม่กินหมูเท่านั้นแหละ ถึงพวกอพยพนี้จะเป็นมุสลิมเหมือนกันคลุมหัวเหมือนกัน ..แต่ความคิดอ่าน ความมีน้ำใจ ความเปิดเผย นิสัยใจคอนี่คนละเรื่องกับมุสลิมบ้านเราเลยค่ะ
อีกอย่างสวิสฯ เขาก็ไม่ได้เลือกเอาพวกอพยพหัวกะทิอย่างที่ทุกคนเข้าใจนะ เขารับมา ๆ ช่วยเหลือโดยไม่ได้คัดคน และเท่าที่เราเห็นและอยู่นี่มา 25 ปีก็เห็นมีแต่พวกถ่อย ๆ ..สวิสเจริญลง ๆ ก็เพราะพวกนี้ทั้งนั้นค่ะ
อย่างปท.ฝรั่งเศสรับคนดำเข้ามาอยู่ จนปัจจุบันเป็นรุ่นหลานเหลนแล้วเป็นไง ?? คนดำมากกว่าคนขาว งานการไม่ทำรอกินเงินหลวง ลักเล็กขโมยน้อย ฯลฯ ปัญหามากมายแค่ไหนถามคนอยู่ฝรั่งเศสเอาเอง (คนดำที่เคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส นับถือมุสลิม 90 เปอร์เซ็นต์คริสต์ส่วนน้อย) อยากให้ทุกคนไปเห็นที่ฝรั่งเศสเอาแค่สถานีรถไฟปารีสพอ แล้วลองขึ้นรถไฟดูเราไม่รู้จะอธิบายยังไงแต่อยากให้ไปดูความถ่อยเอาเองเถอะ ..ถ้าไม่สะใจก็ลองนับดูจำนวนคนเดินมา 10 คนจะเป็นคนขาวสักคนหนึ่งอีกไม่นานหรอกเราว่าถูกกลืนชาติแน่ ๆ ค่ะ
อีกอย่างจะเอาไปเปรียบเทียบกับคนจีนที่มารุ่นปู่ย่าตายายไม่ได้ค่ะ เพราะคนจีนที่เขาเข้ามาไทยยุคนั้นเขาเข้ามาตั้งใจทำมาหากินให้รอดตาย อยู่ ๆ ไปเขาทำตัวกลมกลืนเข้ากับคนไทยได้ดี จนก็อยู่อย่างจนเร่งตัวเองให้ขยันทำงานมากขึ้นคือทำตัวไม่ให้เป็นภาระกับใคร
สรุป ..ประเด็นจริง ๆ น่ะมันไม่ได้อยู่ที่ศาสนาหรอกแต่มันอยู่ที่ว่ารับมาแล้วเขาจะกลมกลืนไปกับคนไทยเราได้หรือเปล่า เป็นภาระให้หรือเปล่าทำนอง ๆ นี้ตามที่เราอธิบายไว้ข้างต้นค่ะ
เราอยู่สวิสฯ บอกตรง ๆ ว่าคนที่นี่เอือมมาก ๆ กับมุสลิมทั้งผิวขาวผิวดำ(อาฟริกา)..ตอนปี 91 สวิสรับพวกยูโกฯ อัลบาเนี่ยนเข้ามาเพราะสงคราม ปัจจุบันนี่คนพวกนี้อยู่นี่มาก็สองสามรุ่นไปแล้ว แต่..ความประพฤติและวิธีคิดยังเหมือนเดิม ง่าย ๆ สั้น ๆ คือไม่เคยกลมกลืนกับคนทางนี้ได้เลยจะอ้างศาสนาตลอด ปัญหาทำร้ายร่างกาย ลักเล็กขโมยน้อย กร่าง เอาเปรียบงานไม่ทำแต่ผลิตลูกออกมาเยอะแต่ไม่รับผิดชอบ ลูกไปโรงเรียนก็ไม่ทำตามกฏโรงเรียนอ้างศาสนา เช่นไม่ให้ลูกไปว่ายน้ำ(ชั้นประถมค่ะ)เพราะต้องว่ายรวมกับเด็กอื่นในชั้นเดียวกัน(ห้องหนึ่งมีเด็กชายหญิงปนกัน) บังคับให้ลูกคลุมหัวทำตัวให้ผิดไปจากเด็กอื่น สอนลูกเล็ก ๆ ให้ถ่มน้ำลายรดหากไม่พอใจเพื่อน หรือชกต่อยเลยก็มี สอนให้ลูกเห็นคนชาติอื่นต่ำต้อยกว่ามัน ฯลฯ อยากบอกว่าไม่ต้องสงสารเพราะพวกนี้ไม่ได้เหมือนมุสลิมอย่างที่เรารู้จักกัน ๆ ที่เมืองไทยค่ะ
เราเองแต่ก่อนก็อยู่สวนหลวงถัดบ้านเราไปหน่อยหนึ่งคือสะแระหมัด บ้านป่า คลองตันนี่ก็มุสลิมทั้งนั้น เรามีเพื่อนมุสลิมเพียบ พวกเขาก็ทำตัวเหมือนคนไทยทั่ว ๆ ไปเพียงแต่ไม่กินหมูเท่านั้นแหละ ถึงพวกอพยพนี้จะเป็นมุสลิมเหมือนกันคลุมหัวเหมือนกัน ..แต่ความคิดอ่าน ความมีน้ำใจ ความเปิดเผย นิสัยใจคอนี่คนละเรื่องกับมุสลิมบ้านเราเลยค่ะ
อีกอย่างสวิสฯ เขาก็ไม่ได้เลือกเอาพวกอพยพหัวกะทิอย่างที่ทุกคนเข้าใจนะ เขารับมา ๆ ช่วยเหลือโดยไม่ได้คัดคน และเท่าที่เราเห็นและอยู่นี่มา 25 ปีก็เห็นมีแต่พวกถ่อย ๆ ..สวิสเจริญลง ๆ ก็เพราะพวกนี้ทั้งนั้นค่ะ
อย่างปท.ฝรั่งเศสรับคนดำเข้ามาอยู่ จนปัจจุบันเป็นรุ่นหลานเหลนแล้วเป็นไง ?? คนดำมากกว่าคนขาว งานการไม่ทำรอกินเงินหลวง ลักเล็กขโมยน้อย ฯลฯ ปัญหามากมายแค่ไหนถามคนอยู่ฝรั่งเศสเอาเอง (คนดำที่เคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส นับถือมุสลิม 90 เปอร์เซ็นต์คริสต์ส่วนน้อย) อยากให้ทุกคนไปเห็นที่ฝรั่งเศสเอาแค่สถานีรถไฟปารีสพอ แล้วลองขึ้นรถไฟดูเราไม่รู้จะอธิบายยังไงแต่อยากให้ไปดูความถ่อยเอาเองเถอะ ..ถ้าไม่สะใจก็ลองนับดูจำนวนคนเดินมา 10 คนจะเป็นคนขาวสักคนหนึ่งอีกไม่นานหรอกเราว่าถูกกลืนชาติแน่ ๆ ค่ะ
อีกอย่างจะเอาไปเปรียบเทียบกับคนจีนที่มารุ่นปู่ย่าตายายไม่ได้ค่ะ เพราะคนจีนที่เขาเข้ามาไทยยุคนั้นเขาเข้ามาตั้งใจทำมาหากินให้รอดตาย อยู่ ๆ ไปเขาทำตัวกลมกลืนเข้ากับคนไทยได้ดี จนก็อยู่อย่างจนเร่งตัวเองให้ขยันทำงานมากขึ้นคือทำตัวไม่ให้เป็นภาระกับใคร
สรุป ..ประเด็นจริง ๆ น่ะมันไม่ได้อยู่ที่ศาสนาหรอกแต่มันอยู่ที่ว่ารับมาแล้วเขาจะกลมกลืนไปกับคนไทยเราได้หรือเปล่า เป็นภาระให้หรือเปล่าทำนอง ๆ นี้ตามที่เราอธิบายไว้ข้างต้นค่ะ
ความคิดเห็นที่ 11
ประเด็นเลย นักข่าวรู้ อาสาสมัครไปสอนศาสนารู้
แล้วหน่วยความมั่นคงทำมะเขืออะไรอยู่ ปล่อยให้ลอบเข้าเมืองแบบผิดกฏหมายมาอยู่ในเมืองหลวง
ก็ผลักดันออกไปซิ แล้วอย่าว่างั้นงี้เลย สื่อมีหน้าที่เป็นแค่สื่อ แต่ไม่มีหน้าที่พลเมืองอยู่ในตัวเองด้วยเหรอ
อันไหนเป็นหูเป็นตา ให้ประเทศชาติก็หัดทำกันบ้าง
คนไทยที่ให้ความช่วยเหลือแบบผิดกฏหมาย ก็ต้องจัดการด้วย
ไม่ได้สนใจหรอกนะว่า พวกคุณจะศาสนาเดียวกัน แต่มันผิดกฏหมายและเสี่ยงกับความมั่นคง
ไม่สนใจหรอกว่าศาสนาอิสลามจะมีกี่นิกาย จะฆ่าจะแกงกันยังไง เพราะศาสนาเดียวกันก็ฆ่ากัน
มันแค่กลุ่มคนที่ต้องการปกครองตัวเองโดยใช้ศาสนา ขยายการปกครองก็เหมือนย้อนกลับไปสมัยโบราณ
ใช้ศาสนาอ้าง แล้วอ้างได้ผลซะด้วย เพราะที่รบกันโครมๆ ก็พื้นที่คนศาสนาเดียวกันทั้งนั้น
ไอ้แค่มีปัญหาทางภาคใต้ก็ปวดหัวจะตายห่าน ไหนจะพวกลี้ภัยจากพม่า
แล้วหน่วยความมั่นคงทำมะเขืออะไรอยู่ ปล่อยให้ลอบเข้าเมืองแบบผิดกฏหมายมาอยู่ในเมืองหลวง
ก็ผลักดันออกไปซิ แล้วอย่าว่างั้นงี้เลย สื่อมีหน้าที่เป็นแค่สื่อ แต่ไม่มีหน้าที่พลเมืองอยู่ในตัวเองด้วยเหรอ
อันไหนเป็นหูเป็นตา ให้ประเทศชาติก็หัดทำกันบ้าง
คนไทยที่ให้ความช่วยเหลือแบบผิดกฏหมาย ก็ต้องจัดการด้วย
ไม่ได้สนใจหรอกนะว่า พวกคุณจะศาสนาเดียวกัน แต่มันผิดกฏหมายและเสี่ยงกับความมั่นคง
ไม่สนใจหรอกว่าศาสนาอิสลามจะมีกี่นิกาย จะฆ่าจะแกงกันยังไง เพราะศาสนาเดียวกันก็ฆ่ากัน
มันแค่กลุ่มคนที่ต้องการปกครองตัวเองโดยใช้ศาสนา ขยายการปกครองก็เหมือนย้อนกลับไปสมัยโบราณ
ใช้ศาสนาอ้าง แล้วอ้างได้ผลซะด้วย เพราะที่รบกันโครมๆ ก็พื้นที่คนศาสนาเดียวกันทั้งนั้น
ไอ้แค่มีปัญหาทางภาคใต้ก็ปวดหัวจะตายห่าน ไหนจะพวกลี้ภัยจากพม่า
แสดงความคิดเห็น
@ งานเข้าแล้ว....ตะวันออกกลางลี้ภัยแอบเข้าไทย....มุสลิมไทยให้การช่วยเหลือ
ชาวตะวันออกกลางลี้ภัยแอบเข้าไทยหลายกลุ่ม ทั้งปาเลสไตน์ และ ซีเรียหนี ISIS
ลักลอบเข้าเมือง แบบนักท่องเที่ยว มาทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลายร้อยคน มาแบบผิดกฏหมาย
อาศัยอยู่ตามคอนโด แล้วมีอาสาสมัครไทยทยอยมาสอนศาสนาแก่เด็กๆ
..
ข้อมูลเพิ่มจาก คห.25
http://dailynews.co.th/Content/Article/230638/index.html