'กิจเกษม' นักเรียน ร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ ที่ 1 สอบหมอ กสพท. เข้าศิริราช เผยเคล็ดลับเรียนดี เน้นทำข้อสอบเก่า-แบบฝึกหัด จดข้อผิดพลาดมาทบทวน โฟกัสเรียนในห้องเป็นหลัก แบ่งเวลาทำกิจกรรม ...
เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) ซึ่งเป็นวันสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกายนักเรียนที่สอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชได้ โดยการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต ปีการศึกษา 2558 ของกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ปรากฏว่าผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่ม กสพท. คือ นายกิจเกษม เกียรติกุลวัฒนา ร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ ได้ 84.65 คะแนน ในการสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
โดยนายกิจเกษม กล่าวว่า เคล็ดลับเพียงทำข้อสอบเก่า และแบบฝึกหัด จดข้อผิดพลาดที่ทำแล้วมาทบทวนอีกครั้ง ตนไม่ได้มุ่งเรียนอย่างเดียว แต่จะทำกิจกรรมควบคู่ไปด้วย เพราะกิจกรรมทำให้เรามีสังคม รู้จักแบ่งเวลา ส่วนการเรียนกวดวิชาจะเรียนเฉพาะก่อนสอบ ซึ่งจะมองว่าไม่สำคัญก็ไม่ได้ อาจจะสำคัญกับบางคนที่ครูอาจจะสอนไม่ชัดเจน แต่สิ่งสำคัญ ต้องโฟกัสการเรียนในห้องเรียนมากกว่า ทั้งนี้ อยากฝากถึงการให้บริการของ รพ.รัฐ และรพ.เอกชน ที่อยากเห็นการรักษาคนไข้เท่าเทียมกัน ส่วนการศึกษา อยากให้เน้นการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมมากขึ้น ไม่ใช่เน้นแต่ท่องจำเนื้อหา
สำหรับผู้ที่ทำคะแนนได้อันดับ 2 ในการเข้าคณะแพทยศาสตร์ ศิริราช คือ นายอัคคภัทร์ จารุชัยยง ได้ 83.27 คะแนน อันดับ 3 นายปารินทร์ วงศ์สานุภา ได้ 83.25คะแนน และอันดับ 5 น.ส.ภัทรศยา วีระโชติสกุล ได้ 82.71 คะแนน ซึ่งทั้งสามคนเป็นนักเรียน ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา
โดยนายอัคคภัทร์ กล่าวว่า อยากเป็นแพทย์เพราะได้ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นการเสียสละอย่างแท้จริง ส่วนการสอบแพทย์จะหมั่นทบทวนบทเรียน ฝึกทำโจทย์ กำหนดตารางชีวิตว่าต้องอ่านหนังสือให้ได้ทุกวัน แต่ไม่ได้เคร่งเครียด เพราะอยู่ที่โรงเรียนตนก็เป็นคณะกรรมการของโรงเรียน เล่นกีฬาหลังเลิกเรียน อนาคตอยากเป็นหมอรักษาโรคมะเร็ง หรือทำงานวิจัยเกี่ยวกับด้านมะเร็ง เพราะอยากช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มีความสุขในการใช้ชีวิต
ส่วนนายปารินทร์ กล่าวถึง แรงจูงใจที่อยากเรียนแพทย์ เพราะเป็นอาชีพที่ท้าทาย ได้รักษาและบำบัดทุกข์ให้คนไข้ ซึ่งเทคนิคการสอบ เพียงทบทวนเนื้อหา บริหารเวลาอย่างคุ้มค่า และไม่ค่อยเรียนพิเศษ ทั้งนี้อยากให้มีแพทย์ทางด้านวิจัยมากขึ้น เพื่อพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ส่วนการศึกษา อยากให้ปรับจำนวนการสอบให้เหมาะสมและพัฒนาข้อสอบให้มีคุณภาพมากขึ้น
ขณะที่ น.ส.ภัทรศยา กล่าวว่า อยากเป็นแพทย์รักษาด้านสมอง เพราะอัตราผู้ป่วยด้านสมองมีจำนวนมาก สำหรับผู้ที่พลาดหวัง ไม่อยากให้ท้อแท้ เพราะทุกมหาวิทยาลัย ทุกคณะมีคุณภาพ ศักยภาพการเรียนการสอนไม่ต่างกัน.
Thairaith
http://bit.ly/เพจข่าวดี
'กิจเกษม' ที่ 1 สอบหมอ กสพท. เผยเคล็ดเรียนดี หมั่นทำแบบฝึกหัด
เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) ซึ่งเป็นวันสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกายนักเรียนที่สอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชได้ โดยการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต ปีการศึกษา 2558 ของกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ปรากฏว่าผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่ม กสพท. คือ นายกิจเกษม เกียรติกุลวัฒนา ร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ ได้ 84.65 คะแนน ในการสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
โดยนายกิจเกษม กล่าวว่า เคล็ดลับเพียงทำข้อสอบเก่า และแบบฝึกหัด จดข้อผิดพลาดที่ทำแล้วมาทบทวนอีกครั้ง ตนไม่ได้มุ่งเรียนอย่างเดียว แต่จะทำกิจกรรมควบคู่ไปด้วย เพราะกิจกรรมทำให้เรามีสังคม รู้จักแบ่งเวลา ส่วนการเรียนกวดวิชาจะเรียนเฉพาะก่อนสอบ ซึ่งจะมองว่าไม่สำคัญก็ไม่ได้ อาจจะสำคัญกับบางคนที่ครูอาจจะสอนไม่ชัดเจน แต่สิ่งสำคัญ ต้องโฟกัสการเรียนในห้องเรียนมากกว่า ทั้งนี้ อยากฝากถึงการให้บริการของ รพ.รัฐ และรพ.เอกชน ที่อยากเห็นการรักษาคนไข้เท่าเทียมกัน ส่วนการศึกษา อยากให้เน้นการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมมากขึ้น ไม่ใช่เน้นแต่ท่องจำเนื้อหา
สำหรับผู้ที่ทำคะแนนได้อันดับ 2 ในการเข้าคณะแพทยศาสตร์ ศิริราช คือ นายอัคคภัทร์ จารุชัยยง ได้ 83.27 คะแนน อันดับ 3 นายปารินทร์ วงศ์สานุภา ได้ 83.25คะแนน และอันดับ 5 น.ส.ภัทรศยา วีระโชติสกุล ได้ 82.71 คะแนน ซึ่งทั้งสามคนเป็นนักเรียน ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา
โดยนายอัคคภัทร์ กล่าวว่า อยากเป็นแพทย์เพราะได้ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นการเสียสละอย่างแท้จริง ส่วนการสอบแพทย์จะหมั่นทบทวนบทเรียน ฝึกทำโจทย์ กำหนดตารางชีวิตว่าต้องอ่านหนังสือให้ได้ทุกวัน แต่ไม่ได้เคร่งเครียด เพราะอยู่ที่โรงเรียนตนก็เป็นคณะกรรมการของโรงเรียน เล่นกีฬาหลังเลิกเรียน อนาคตอยากเป็นหมอรักษาโรคมะเร็ง หรือทำงานวิจัยเกี่ยวกับด้านมะเร็ง เพราะอยากช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มีความสุขในการใช้ชีวิต
ส่วนนายปารินทร์ กล่าวถึง แรงจูงใจที่อยากเรียนแพทย์ เพราะเป็นอาชีพที่ท้าทาย ได้รักษาและบำบัดทุกข์ให้คนไข้ ซึ่งเทคนิคการสอบ เพียงทบทวนเนื้อหา บริหารเวลาอย่างคุ้มค่า และไม่ค่อยเรียนพิเศษ ทั้งนี้อยากให้มีแพทย์ทางด้านวิจัยมากขึ้น เพื่อพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ส่วนการศึกษา อยากให้ปรับจำนวนการสอบให้เหมาะสมและพัฒนาข้อสอบให้มีคุณภาพมากขึ้น
ขณะที่ น.ส.ภัทรศยา กล่าวว่า อยากเป็นแพทย์รักษาด้านสมอง เพราะอัตราผู้ป่วยด้านสมองมีจำนวนมาก สำหรับผู้ที่พลาดหวัง ไม่อยากให้ท้อแท้ เพราะทุกมหาวิทยาลัย ทุกคณะมีคุณภาพ ศักยภาพการเรียนการสอนไม่ต่างกัน.
Thairaith
http://bit.ly/เพจข่าวดี