ทำไม "ธรรมโกย" ถึงเป็นภัยต่อ "พุทธศาสนา" มากที่สุด
กรณีศึกษาจากการล่มสลายพุทธศาสนาในอินเดีย
ท่านศังกราจารย์ เจ้าลัทธิไศวะ อัจฉริยะบุคคลผู้ที่สามารถล้มพุทธศาสนาลงได้ในแดนชมพูทวีป
ในบรรดาเจ้าลัทธิทั้งหลายบนโลกนี้ อาจกล่าวได้ว่าท่านศังกราจารย์เป็นเจ้าลัทธิที่มีอัจฉริยภาพมากที่สุดคนหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของโลกเลยทีเดียว
เพราะลำพังการที่คนคนหนึ่งคิดจะก่อตั้งลัทธิอะไรขึ้นมาได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ท่านศังกราจารย์นั้นสามารถทำได้มากกว่านั้น
ท่านสามารถที่จะดูดดึงศาสนิกชนชาวพุทธไปเป็นสาวกของตนเองได้อย่างแนบเนียน จนล้มพุทธศาสนาที่เป็นคู่แข่งลงได้
แล้วใช้เป็นฐานในการพัฒนาและปฏิรูปลัทธิใหม่ของตน จนสืบต่อมาได้อย่างยิ่งใหญ่และกลายเป็นศาสนาสำคัญของโลกในยุคปัจจุบันได้สำเร็จ
ท่านศังกราจารย์ นามจริงคือ ศังกระ หรือ อาทิ ศังกระ มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. 1331 - 1363 เป็นปราชญ์และนักการศาสนาชาวอินเดียใต้
เกิดที่เมืองเกราลา (Kerala) แต่ได้เดินทางโต้วาทะและเผยแผ่ลัทธิใหม่ของตนไปทั่วอินเดีย นับถือกันว่าเป็นองค์อวตารของพระศิวะ
ศังกราจารย์เป็นผู้ประพันธ์คัมภีร์ปุราณะและคัมภีร์เวทานตะ อรรถกถาอธิบายลัทธิเวทานตะ และเป็นผู้ตั้งลัทธิอไทวตะเวทานตะ
ทำเนียนว่าบูชาพระพุทธเจ้า แต่ให้พระศิวะเป็นสิ่งสูงสุด อุปโลกน์ตนเป็นองค์อวตาร
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลัทธิใหม่ค่อยๆ ได้รับความนิยมจนกลืนพุทธศาสนาไปได้อย่างแนบเนียน
ก็คือการใช้หลักของความเชื่อเหนือจริงที่เกินกว่าคนทั่วไปจะคิดได้ โดยอุปโลกน์ว่าตนนั้นเป็นองค์อวตารของพระศิวะ
ในรูปของเรื่องเล่าและแต่งเป็นคัมภีร์ จนก่อเกิดเป็นลัทธิไศวะหรือศิวะอวตาร
และแต่งคำสอนในลัทธิของตนให้มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเสีย คือให้พระพุทธเจ้าเป็นปางที่ ๙ ของพระนารายณ์
ดังปรากฎในคัมภีร์ปุราณะ โดยกลอุบายอันแยบยลนี้พุทธศาสนิกชนที่มีมาอยู่แต่เดิม ก็กลายเป็นศาสนิกชนในลัทธิของท่านศังกราจารย์ไปด้วย
ในขณะเดียวท่านสังกราจารย์ก็มีความสามารถในการจัดตั้งและบริหารองค์กรเป็นอย่างมาก
ก็ได้ก่อตั้งวัดและสังฆะของพระตามแบบในพุทธศาสนา โดยมุ่งเน้นการสั่งสมฝึกปรือกุลบุตรให้มาเป็นบุคลากรชั้นยอดของนักเผยแผ่
ทั้งทางด้านบุคลิกภาพและความสามารถเป็นจำนวนมาก แล้วส่งกระจายไปแฝงตัวตามหัวเมืองต่างๆ
เบื้องต้นได้ตั้งวัด (ที่เรียกว่า “มัฐ” หรือ “มะฐะ”) สาขาขนาดใหญ่ไว้ทั้งสี่ทิศเลียนแบบวัดในพระพุทธศาสนา
เพื่อเรียกศรัทธาจากชาวบ้านและทำหน้าที่เป็นเสมือนศูนย์ระดมทรัพยากรในระดับภูมิภาค
ในด้านคำสอนและพิธีกรรม ก็ได้มีการนำคำสอนและพิธีกรรมทางพุทธศาสนาเข้ามาปรับใช้แต่แปลงเปลี่ยนให้ไปในแนวทางลัทธิของตน
ทำให้แทรกซึมเข้าไปสู่ชาวบ้านที่เป็นชาวพุทธอยู่แต่เดิมได้โดยง่าย จนเกิดการยอมรับนับถือมากขึ้นๆ
ในขณะที่พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาติดอยู่กับลาภยศสรรเสริญทรัพย์สินเงินทองความร่ำรวย อยู่ในเมืองใหญ่ๆ
ละเลยวัดและชาวบ้านในชนบทที่ห่างไกล จึงทำให้ลัทธิศิวะอวตารนี้ค่อยๆ ยึดวัดในพุทธศาสนาของเดิมมาเป็นวัดในลัทธิของตนได้อย่างแนบเนียน
แต่ในมุมของชาวบ้านนั้น ไม่รู้สึกว่าพุทธศาสนาจะหมดหรือเสื่อมสูญไปตรงไหน เพราะยังได้ทำพิธีกรรมและบูชาพระพุทธเจ้าอยู่เช่นเดิม
วัดก็ยังมีพระของลัทธิไศวะมาอยู่ประจำคอยทำพิธีกรรมให้ เพียงแต่เพิ่มการบูชาพระศิวะและเทพเจ้าองค์อื่นๆ เพิ่มขึ้นมา
และยกย่องให้พระศิวะเป็นสิ่งสูงสุด และนับถือท่านศังกราจารย์ในฐานะเป็นองค์อวตารของสิ่งสูงสุด
ศาสนิกชนชาวพุทธที่มีมาแต่เดิมจึงกลายไปเป็นสาวกของนิกายศิวะอวตารได้ด้วยความเต็มใจ
เหมือนธรรมโกยไหม ?
ทำเนียนว่าบูชาพระพุทธเจ้า แต่ให้ธัมมี่เป็นสิ่งสูงสุด
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลัทธิธรรมโกยค่อยๆ ได้รับความนิยมจนกลืนพุทธศาสนาไปได้อย่างแนบเนียน
ก็คือการใช้หลักของความเชื่อเหนือจริงที่เกินกว่าคนทั่วไปจะคิดได้ โดยอุปโลกน์ว่าตนนั้นเป็นพระโพธิสัตว์
ที่มีบารมีสูงส่งกว่าพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
โดยมีหน้าที่มาสร้างบารมี เพื่อรวบรวมกองทัพธรรมไปเกิดพร้อมกันในแดนโพธิสัตว์ชื่อ "ดุสิตบุรี"
และจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อประกาศศาสนาธรรมโกยพร้อมกันในภพหน้า โดยอ้างหลวงพ่อสด เป็นสิ่งหลอกล่อมวลชน
แต่เมื่อเข้าภายในแล้วกลับยกย่องธัมมี่เหนือสิ่งอื่นใด และยังสร้างความเชื่อเกินจริงเช่น แม่ชีปัดระเบิดปรมณู
ในรูปของเรื่องเล่าและแต่งเป็นคัมภีร์ จนก่อเกิดเป็นลัทธิธรรมโกย และแต่งคำสอนในลัทธิของตนให้มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเสีย
คือ สถาปนาธรรมใหม่ เช่น “อายตนะนิพพาน”
ผลงานการวิจัยของ ดร.อภิญญา กล่าวว่า
1. สร้างภาพผู้นำศักดิ์สิทธิให้ "ธัมมี่" เหนือมนุษย์
2. ชวนขึ้นดอยฝึกสมาธิชั้นสูง จีวรสมภาร "ป่านสวิส"
3. ธรรมที่แท้ธรรมโกย สินค้าบุญวางขายเกลื่อน
4. นักบุญเฉพาะกิจ-ไดเร็กเซลล์ ใช้ดวงแก้วเครื่องหมายการค้า
5. ติวเข้มเทคนิคการขูดรีดบุญ มอบโล่เกียรติคุณผู้ทำเป้า
6. แข่งขันบุญ - ปลุกเร้าความวิเศษ โศกนาฏกรรมพระชั้นนำฆ่าตัวตาย
7. ถวายข้าวพระพุทธเจ้า-อรหันต์ ผ่านสื่อพระธัมมี-ชีจัน
8. คลั่งใคล้อำนาจศักดิ์สิทธิ์-ละเลยหลักธรรม เจ้าอาวาสเป็นองค์อวตาร
พระธรรมบทใหม่ "องค์พระธรรมโกยต้นธาตุ"
แรกเริ่มเดิมที ในห้วงจักรวาลมีแต่ความว่างเปล่า ต่อมามีธรรมโกยฝ่ายที่เรียกว่า "ฝ่ายขาว" และ "ฝ่ายดำ" เกิดขึ้น
ต่อมาต่างฝ่ายต่างเพิ่มจำนวนขึ้นทุกที และทำวิชชาหักล้างกันและกัน
จากนั้น พระธรรมโกยฝ่ายขาว ก็ได้สร้าง "ภพ" ใหม่ และสร้าง "ต้นธาตุกายมนุษย์"ขึ้น ที่มีลักษณะคุณสมบัติคล้ายกายทิพย์
เพื่อที่จะให้มาทำวิชชาปราบมาร แต่ต่อมาก็ถูกทำลายโดยฝ่ายดำ ทำให้ให้ฝ่ายขาวต้องถอยร่นลงมาอีก มาสร้างโลกมนุษย์
สงครามจึงเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่ายขาวก็จะส่งคนดีมาปราบมารเสมอ
ในยุคปัจจุบัน วีรบุรุษที่สำคัญของฝ่ายขาวก็คือหลวงพ่อสด และ ท่านธัมมี่นั้นเอง
ธัมมี่ เป็นอวตารภาคหนึ่งของ "องค์พระธรรมโกยต้นธาตุ" ซึ่งหมายถึงต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง รวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย....
พอแค่นี้ .....
ความเพี้ยนของธรรมโกยที่พยายามจะปิดเบือนพระพุทธศาสนายังมีอีกนับไม่ถ้วน.....
ปัจจุบันวัดมหานิกายเกือบหมดประเทศ เป็นวัดประเทศราชของธรรมโกยไปเกือบหมดแล้ว
ภาระกิจต่อไปของธรรมโกย คือ เข้าหาผู้นำองค์กรรัฐและเอกชนต่างๆ เพื่อเข้าไปล้างสมองความเชื่อใหม่ แก่สมาชิก นักเรียน นักศึกษา
ตักบาตรพันรูป บวชแสนรูป อบรมครูทั่วประเทศ อันเป็นการปูทางเพื่อสถาปนาลัทธิใหม่
พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง มูลเหตุที่ทำให้ พระศาสนาเสื่อม เพราะพระสัทธรรม เลอะเลือน ดังนี้:-
1) พวกภิกษุเล่าเรียน สูตรอันถือกันมาผิด ด้วยบทพยัญชนะ และความหมาย อันคลาดเคลื่อน.
2) พวกภิกษุ เป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำตักเตือน โดยความเคารพหนักแน่น.
3) พวกภิกษุที่เป็นพหูสูต คล่องแคล่ว ในหลักพระพุทธวัจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท)
แต่ภิกษุเหล่านั้น ไม่ได้เอาใจใส่ บอกสอนใจความ แห่งสูตรทั้งหลาย แก่คนอื่นๆ
เมื่อท่านเหล่านั้น ล่วงลับดับไป สูตรทั้งหลาย ก็เลยขาด ผู้เป็นมูลราก ไม่มีที่อาศัยสืบไป.
4) พวกภิกษุชั้นเถระ ทำการสะสมบริกขาร ประพฤติย่อหย่อน ในไตรสิกขา เป็นผู้นำ ในทางทราม
ไม่เหลียวแล ในกิจแห่งวิเวก ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้ง ในสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
ผู้บวชภายหลัง ได้เห็นพวกเถระ เหล่านั้น ทำแบบแผน เช่นนั้นไว้ ก็ถือเอา เป็นแบบอย่าง.
และยังทรงย้ำเสมอๆว่า พระพุทธศาสนา จะเสื่อมสูญจนหายไปนั้น มีเหตุที่สำคัญที่สุด เกิดจากพุทธบริษัท 4 ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา.
จึงเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททุกคน ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ในการสืบทอด พระพุทธศาสนานี้
ที่มา
http://ppantip.com/topic/30921998
ตัวอย่างบทความที่น่าสนใจ:
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000023981
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000025548
แก้ไข เพิ่มบทความที่น่าสนใจ
ทำไม "ธรรมโกย" ถึงเป็นภัยต่อ "พุทธศาสนา" มากที่สุด
ทำไม "ธรรมโกย" ถึงเป็นภัยต่อ "พุทธศาสนา" มากที่สุด
กรณีศึกษาจากการล่มสลายพุทธศาสนาในอินเดีย
ท่านศังกราจารย์ เจ้าลัทธิไศวะ อัจฉริยะบุคคลผู้ที่สามารถล้มพุทธศาสนาลงได้ในแดนชมพูทวีป
ในบรรดาเจ้าลัทธิทั้งหลายบนโลกนี้ อาจกล่าวได้ว่าท่านศังกราจารย์เป็นเจ้าลัทธิที่มีอัจฉริยภาพมากที่สุดคนหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของโลกเลยทีเดียว
เพราะลำพังการที่คนคนหนึ่งคิดจะก่อตั้งลัทธิอะไรขึ้นมาได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ท่านศังกราจารย์นั้นสามารถทำได้มากกว่านั้น
ท่านสามารถที่จะดูดดึงศาสนิกชนชาวพุทธไปเป็นสาวกของตนเองได้อย่างแนบเนียน จนล้มพุทธศาสนาที่เป็นคู่แข่งลงได้
แล้วใช้เป็นฐานในการพัฒนาและปฏิรูปลัทธิใหม่ของตน จนสืบต่อมาได้อย่างยิ่งใหญ่และกลายเป็นศาสนาสำคัญของโลกในยุคปัจจุบันได้สำเร็จ
ท่านศังกราจารย์ นามจริงคือ ศังกระ หรือ อาทิ ศังกระ มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. 1331 - 1363 เป็นปราชญ์และนักการศาสนาชาวอินเดียใต้
เกิดที่เมืองเกราลา (Kerala) แต่ได้เดินทางโต้วาทะและเผยแผ่ลัทธิใหม่ของตนไปทั่วอินเดีย นับถือกันว่าเป็นองค์อวตารของพระศิวะ
ศังกราจารย์เป็นผู้ประพันธ์คัมภีร์ปุราณะและคัมภีร์เวทานตะ อรรถกถาอธิบายลัทธิเวทานตะ และเป็นผู้ตั้งลัทธิอไทวตะเวทานตะ
ทำเนียนว่าบูชาพระพุทธเจ้า แต่ให้พระศิวะเป็นสิ่งสูงสุด อุปโลกน์ตนเป็นองค์อวตาร
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลัทธิใหม่ค่อยๆ ได้รับความนิยมจนกลืนพุทธศาสนาไปได้อย่างแนบเนียน
ก็คือการใช้หลักของความเชื่อเหนือจริงที่เกินกว่าคนทั่วไปจะคิดได้ โดยอุปโลกน์ว่าตนนั้นเป็นองค์อวตารของพระศิวะ
ในรูปของเรื่องเล่าและแต่งเป็นคัมภีร์ จนก่อเกิดเป็นลัทธิไศวะหรือศิวะอวตาร
และแต่งคำสอนในลัทธิของตนให้มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเสีย คือให้พระพุทธเจ้าเป็นปางที่ ๙ ของพระนารายณ์
ดังปรากฎในคัมภีร์ปุราณะ โดยกลอุบายอันแยบยลนี้พุทธศาสนิกชนที่มีมาอยู่แต่เดิม ก็กลายเป็นศาสนิกชนในลัทธิของท่านศังกราจารย์ไปด้วย
ในขณะเดียวท่านสังกราจารย์ก็มีความสามารถในการจัดตั้งและบริหารองค์กรเป็นอย่างมาก
ก็ได้ก่อตั้งวัดและสังฆะของพระตามแบบในพุทธศาสนา โดยมุ่งเน้นการสั่งสมฝึกปรือกุลบุตรให้มาเป็นบุคลากรชั้นยอดของนักเผยแผ่
ทั้งทางด้านบุคลิกภาพและความสามารถเป็นจำนวนมาก แล้วส่งกระจายไปแฝงตัวตามหัวเมืองต่างๆ
เบื้องต้นได้ตั้งวัด (ที่เรียกว่า “มัฐ” หรือ “มะฐะ”) สาขาขนาดใหญ่ไว้ทั้งสี่ทิศเลียนแบบวัดในพระพุทธศาสนา
เพื่อเรียกศรัทธาจากชาวบ้านและทำหน้าที่เป็นเสมือนศูนย์ระดมทรัพยากรในระดับภูมิภาค
ในด้านคำสอนและพิธีกรรม ก็ได้มีการนำคำสอนและพิธีกรรมทางพุทธศาสนาเข้ามาปรับใช้แต่แปลงเปลี่ยนให้ไปในแนวทางลัทธิของตน
ทำให้แทรกซึมเข้าไปสู่ชาวบ้านที่เป็นชาวพุทธอยู่แต่เดิมได้โดยง่าย จนเกิดการยอมรับนับถือมากขึ้นๆ
ในขณะที่พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาติดอยู่กับลาภยศสรรเสริญทรัพย์สินเงินทองความร่ำรวย อยู่ในเมืองใหญ่ๆ
ละเลยวัดและชาวบ้านในชนบทที่ห่างไกล จึงทำให้ลัทธิศิวะอวตารนี้ค่อยๆ ยึดวัดในพุทธศาสนาของเดิมมาเป็นวัดในลัทธิของตนได้อย่างแนบเนียน
แต่ในมุมของชาวบ้านนั้น ไม่รู้สึกว่าพุทธศาสนาจะหมดหรือเสื่อมสูญไปตรงไหน เพราะยังได้ทำพิธีกรรมและบูชาพระพุทธเจ้าอยู่เช่นเดิม
วัดก็ยังมีพระของลัทธิไศวะมาอยู่ประจำคอยทำพิธีกรรมให้ เพียงแต่เพิ่มการบูชาพระศิวะและเทพเจ้าองค์อื่นๆ เพิ่มขึ้นมา
และยกย่องให้พระศิวะเป็นสิ่งสูงสุด และนับถือท่านศังกราจารย์ในฐานะเป็นองค์อวตารของสิ่งสูงสุด
ศาสนิกชนชาวพุทธที่มีมาแต่เดิมจึงกลายไปเป็นสาวกของนิกายศิวะอวตารได้ด้วยความเต็มใจ
เหมือนธรรมโกยไหม ?
ทำเนียนว่าบูชาพระพุทธเจ้า แต่ให้ธัมมี่เป็นสิ่งสูงสุด
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลัทธิธรรมโกยค่อยๆ ได้รับความนิยมจนกลืนพุทธศาสนาไปได้อย่างแนบเนียน
ก็คือการใช้หลักของความเชื่อเหนือจริงที่เกินกว่าคนทั่วไปจะคิดได้ โดยอุปโลกน์ว่าตนนั้นเป็นพระโพธิสัตว์
ที่มีบารมีสูงส่งกว่าพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
โดยมีหน้าที่มาสร้างบารมี เพื่อรวบรวมกองทัพธรรมไปเกิดพร้อมกันในแดนโพธิสัตว์ชื่อ "ดุสิตบุรี"
และจะลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อประกาศศาสนาธรรมโกยพร้อมกันในภพหน้า โดยอ้างหลวงพ่อสด เป็นสิ่งหลอกล่อมวลชน
แต่เมื่อเข้าภายในแล้วกลับยกย่องธัมมี่เหนือสิ่งอื่นใด และยังสร้างความเชื่อเกินจริงเช่น แม่ชีปัดระเบิดปรมณู
ในรูปของเรื่องเล่าและแต่งเป็นคัมภีร์ จนก่อเกิดเป็นลัทธิธรรมโกย และแต่งคำสอนในลัทธิของตนให้มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเสีย
คือ สถาปนาธรรมใหม่ เช่น “อายตนะนิพพาน”
ผลงานการวิจัยของ ดร.อภิญญา กล่าวว่า
1. สร้างภาพผู้นำศักดิ์สิทธิให้ "ธัมมี่" เหนือมนุษย์
2. ชวนขึ้นดอยฝึกสมาธิชั้นสูง จีวรสมภาร "ป่านสวิส"
3. ธรรมที่แท้ธรรมโกย สินค้าบุญวางขายเกลื่อน
4. นักบุญเฉพาะกิจ-ไดเร็กเซลล์ ใช้ดวงแก้วเครื่องหมายการค้า
5. ติวเข้มเทคนิคการขูดรีดบุญ มอบโล่เกียรติคุณผู้ทำเป้า
6. แข่งขันบุญ - ปลุกเร้าความวิเศษ โศกนาฏกรรมพระชั้นนำฆ่าตัวตาย
7. ถวายข้าวพระพุทธเจ้า-อรหันต์ ผ่านสื่อพระธัมมี-ชีจัน
8. คลั่งใคล้อำนาจศักดิ์สิทธิ์-ละเลยหลักธรรม เจ้าอาวาสเป็นองค์อวตาร
พระธรรมบทใหม่ "องค์พระธรรมโกยต้นธาตุ"
แรกเริ่มเดิมที ในห้วงจักรวาลมีแต่ความว่างเปล่า ต่อมามีธรรมโกยฝ่ายที่เรียกว่า "ฝ่ายขาว" และ "ฝ่ายดำ" เกิดขึ้น
ต่อมาต่างฝ่ายต่างเพิ่มจำนวนขึ้นทุกที และทำวิชชาหักล้างกันและกัน
จากนั้น พระธรรมโกยฝ่ายขาว ก็ได้สร้าง "ภพ" ใหม่ และสร้าง "ต้นธาตุกายมนุษย์"ขึ้น ที่มีลักษณะคุณสมบัติคล้ายกายทิพย์
เพื่อที่จะให้มาทำวิชชาปราบมาร แต่ต่อมาก็ถูกทำลายโดยฝ่ายดำ ทำให้ให้ฝ่ายขาวต้องถอยร่นลงมาอีก มาสร้างโลกมนุษย์
สงครามจึงเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่ายขาวก็จะส่งคนดีมาปราบมารเสมอ
ในยุคปัจจุบัน วีรบุรุษที่สำคัญของฝ่ายขาวก็คือหลวงพ่อสด และ ท่านธัมมี่นั้นเอง
ธัมมี่ เป็นอวตารภาคหนึ่งของ "องค์พระธรรมโกยต้นธาตุ" ซึ่งหมายถึงต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง รวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย....
พอแค่นี้ .....
ความเพี้ยนของธรรมโกยที่พยายามจะปิดเบือนพระพุทธศาสนายังมีอีกนับไม่ถ้วน.....
ปัจจุบันวัดมหานิกายเกือบหมดประเทศ เป็นวัดประเทศราชของธรรมโกยไปเกือบหมดแล้ว
ภาระกิจต่อไปของธรรมโกย คือ เข้าหาผู้นำองค์กรรัฐและเอกชนต่างๆ เพื่อเข้าไปล้างสมองความเชื่อใหม่ แก่สมาชิก นักเรียน นักศึกษา
ตักบาตรพันรูป บวชแสนรูป อบรมครูทั่วประเทศ อันเป็นการปูทางเพื่อสถาปนาลัทธิใหม่
พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง มูลเหตุที่ทำให้ พระศาสนาเสื่อม เพราะพระสัทธรรม เลอะเลือน ดังนี้:-
1) พวกภิกษุเล่าเรียน สูตรอันถือกันมาผิด ด้วยบทพยัญชนะ และความหมาย อันคลาดเคลื่อน.
2) พวกภิกษุ เป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำตักเตือน โดยความเคารพหนักแน่น.
3) พวกภิกษุที่เป็นพหูสูต คล่องแคล่ว ในหลักพระพุทธวัจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท)
แต่ภิกษุเหล่านั้น ไม่ได้เอาใจใส่ บอกสอนใจความ แห่งสูตรทั้งหลาย แก่คนอื่นๆ
เมื่อท่านเหล่านั้น ล่วงลับดับไป สูตรทั้งหลาย ก็เลยขาด ผู้เป็นมูลราก ไม่มีที่อาศัยสืบไป.
4) พวกภิกษุชั้นเถระ ทำการสะสมบริกขาร ประพฤติย่อหย่อน ในไตรสิกขา เป็นผู้นำ ในทางทราม
ไม่เหลียวแล ในกิจแห่งวิเวก ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้ง ในสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
ผู้บวชภายหลัง ได้เห็นพวกเถระ เหล่านั้น ทำแบบแผน เช่นนั้นไว้ ก็ถือเอา เป็นแบบอย่าง.
และยังทรงย้ำเสมอๆว่า พระพุทธศาสนา จะเสื่อมสูญจนหายไปนั้น มีเหตุที่สำคัญที่สุด เกิดจากพุทธบริษัท 4 ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา.
จึงเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททุกคน ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ในการสืบทอด พระพุทธศาสนานี้
ที่มา
http://ppantip.com/topic/30921998
ตัวอย่างบทความที่น่าสนใจ:
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000023981
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000025548
แก้ไข เพิ่มบทความที่น่าสนใจ