หนังไทยในดวงใจ หรือหนังไทยที่คุณประทับใจมีเรื่องอะไรบ้างครับ
ส่วนตัวผมชอบดูหนังนะครับ แต่ไม่ค่อยได้ดูมากนัก เพราะบางครั้งก็ไม่ค่อยว่าง บางครั้งก็ขี้เกียจดู (ชอบดูแต่ขี้เกียจดู งงตัวเองอยู่เหมือนกัน แหะๆ ^^)
เพราะฉะนั้นผมเลยดูหนังไม่ค่อยมากเท่าไรนัก แต่เท่าที่ได้ดูก็จะลองจัดหนังไทยที่ประทับใจดูนะครับ (ไม่ได้เรียงตามความชอบ คิดเรื่องไหนได้ก่อนก็เขียนถึงเรื่องนั้นก่อน)
จริงๆ อยากจะถามว่า 10 หนังไทยในดวงใจของคุณมีเรื่องอะไรบ้าง แต่อย่างที่บอกผมเองดูหนังไม่ค่อยเยอะ กลัวจะจัดไม่ครบ เลยถามว่าหนังไทยในดวงใจของคุณมีเรื่องอะไรบ้างดีกว่า
ของผมนะครับ (เขียนจากความทรงจำนะครับ ขี้เกียจไปหาข้อมูลเพิ่ม ผิดพลาดยังไงรบกวนแก้ไขข้อมูลให้ด้วยนะครับ)
1. ลุงบุญมี ระลึกชาติ
ผมตามหนังของคุณเจ้ยมาทุกเรื่องนะครับ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนมากจะไม่รู้เรื่อง แหะๆ ^^ แต่สำหรับเรื่องนี้ผมค่อนข้างจะดูรู้เรื่องและเข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร เป็นหนังที่ผมชอบมาก ภาษาหนังซับซ้อนดี และเสียดสีได้อย่างลุ่มลึกเฉียบคมมาก เป็นหนังในดวงใจเรื่องหนึ่งเลย และก็เป็นผู้กำกับที่ผมตามงานตลอดท่านหนึ่งเลย
2. เมืองในหมอก
เคยได้ยินหรือรู้จักหนังเรื่องนี้มานานพอสมควร และรู้ว่าหนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจาก บทละคร เรื่องความเข้าใจผิด ของ กามู เคยอ่านงานของกามู และก็เป็นนักเขียนที่ชอบคนหนึ่ง แต่บทละครเรื่องนี้ผมไม่เคยอ่านมาก่อน
พอได้ดู เป็นหนังที่ดีมาก ยิ่งเมื่อเทียบกับหนังไทยสมัยนั้นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหนังบู๊ แบบว่า ยิงกัน หลบตามต้นไม้ ตอนจบก็จะเปิดฉากยิงกันครั้งใหญ่ และพอเรื่องหมด ตำรวจก็มา หรือไม่ก็ผมเป็น ... ปลอมตัวมา ^^
น่าจะเป็นหนังฟิล์มนัวร์เรื่องเเรกของไทย ผมชอบภาษาหนังเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะฉากที่พระเอกปรากฏตัว การมีอยู่ของพระเอก มันเป็นเพียงจินตนาการหรือความจริงกันแน่ รวมทั้งตอนจบมันเป็นการทิ้งความฝันนั้นไป หรืออย่างไรกันแน่ เป็นหนังที่ภาษาหนัง และการใช้สัญลักษณ์ที่ลุ่มลึกมาก ทำให้ผมนึกถึงหนังสือของ Of Mice and Men ของ จอห์น สไตน์เบ็ค ขึ้นมาเลย มีสัญลักษณ์ในงานคล้ายกันอยู่
สรุปเป็นหนังไทยที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งเลย
3. ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น และ อิสรภาพของทองพูน โคกโพ
ผมค่อนข้างชอบหนังของท่านมุ้ยในยุคแรกๆ นะครับ โดยเฉพาะสองเรื่องนี้ และก็เหมือนกับเมืองในหมอกคือ ยิ่งถ้าเทียบกับหนังไทยในยุคนั้น
มีหลายอย่างหรือหลายคำพูดที่ผมค่อนข้างประทับใจ
4. ตลก 69 และ รักน้อยนิดมหาศาล
คุณเป็นเอก เป็นผู้กำกับอีกคนที่ผมตามงานมาตลอด ชอบชั้นเชิง หรือวิธีในการเล่าเรื่องของแก ชอบตลกร้ายในหนัง และชอบเพลงที่ใส่เข้าไปในหนัง ชอบความกวนของอารมณ์ในหนังด้วย
5. เฉือน
เคยได้ยินคนพูดถึงก่อนที่จะได้ดูพอสมควร พอได้ดู อืม หนังดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลย เป็นหนังในยุคหลังๆ ที่ผมชอบอีกเรื่องหนึ่งนะครับ
6. วัยอลวน
ผมเคยดูหนังของคุณเปี๊ยกอยู่สองสามเรื่อง เท่าที่จำได้เคยไปดูเรื่อง โทน ที่เทศกาลหนังอะไรจำไม่ได้เเล้ว ซึ่งดูแล้วก็ค่อนข้างประทับใจมากเลย และก็เหมือนเดิมเลยคือถ้าเทียบกับหนังไทยในยุคนั้น คือแกทำหนังแล้วก็สอดแทรกความคิด หรือสิ่งที่ต้องการสื่อไปในหนังของแกด้วย อีกอย่างหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ค่อนข้างแปลก และมีความใหม่พอสมควรเลยถ้าเทียบกับหนังยุคนั้น เท่าที่รู้ก็แค่นี้นะครับ ตัวหนังก็สนุกดีครับ
แต่หนังของคุณเปี๊ยก ผมชอบเรื่อง วัยอลวนมากที่สุดนะครับ และเป็นหนังไทยเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากด้วยอีกเรื่องหนึ่งเลย คือหนังดูสนุก แล้วก็สอดแทรกความคิดของผู้กำกับ โดยทางสัญลักษณ์และภาษาหนังได้อย่างลงตัวมากเลย ตามความคิดผมนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้โดยเฉพาะฉากตอนจบ ตอนที่พระเอกเรียนจบแล้วเพื่อนก็มาแสดงความยินดี (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) คือพระเอกยืนอยู่บนระเบียงชั้นสอง เพื่อนอยู่ชั้นล่าง คือ ตอนนั้นสถานะทางสังคมเหมือนจะต่างกันแล้ว ภาพก็คือพระเอกอยู่ด้านบน เพือนอยู่ด้านล่าง แล้วพระเอกก็ค่อยๆเดินลงมาแล้วก็ร้องรำทำเพลงเฮฮาไปกับเพื่อน ผมคิดว่าเขาต้องการจะสื่อว่า ถึงสถานะทางสังคมต่างกันเราก็อยู่ร่วมกันได้ หรือเป็นเพื่อนกันได้ คือหนังมันค่อนข้างจะลงตัวมากเลย
คิดออกเท่านี้ครับ แหะๆ ^^
ส่วนหนังในยุคหลังก็ไม่ค่อยจะได้ดูเท่าไรนะครับ หนังอย่างเรื่อง แฟนฉัน รถไฟฟ้ามาหานะเธอ เพื่อนสนิท ก็พอมีโอกาสได้ดูอยู่ก็ชอบเหมือนกัน
ไม่ทราบว่าท่านอื่นๆ มีหนังไทยที่ประทับใจ หรือหนังไทยในดวงใจเรื่องอะไรบ้างครับ
ขอบคุณมากนะครับ
ว่าจะตั้งกระทู้อีกกระทู้ว่า 10 หนังในดวงใจของท่านมีเรื่องอะไรบ้าง แต่ผมตั้งได้แค่วันละ 1 กระทู้ก็เลยมาเพิ่มเติมในกระทู้นี้ด้วยเลย
ของผมนะครับ
1. ran และ 7 samurai
ผู้กำกับในดวงใจเลย จริงๆ ชอบทุกเรื่องที่เคยดูของท่าน แต่ชอบสองเรื่องนี้มากที่สุด
2. Modern Times และ City Light
ผมว่าแชปลิน เป็นยิ่งกว่าศิลปินอีก ผมว่าแกเข้าขั้นอัจฉริยะเลย
3. vertigo
ดูหนังของฮิตช์ค็อก หลายเรื่องก็ชอบทุกเรื่อง แต่ชอบเรื่องนี้มากที่สุดแล้วครับ
4. A Clockwork Orange
หนังของ คูบริก น่าดูเกือบทุกเรื่องเลย แต่ผมยังไม่มีโอกาสได้ดูอีกหลายเรื่องเลย โดยเฉพาะ 2001: A Space Odyssey ส่วนเรื่องนี้พอได้ดูก็คิดในใจเลยว่า ผู้กำกับคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ต้องหาโอกาสดูหนังของเขาอีกให้ได้ เรื่องนี้ก็ตลกร้าย เสียดสีสังคมได้อย่างลุ่มลึกดีครับ ค่อนข้างชอบมากเลย
5. blue velvet
หนังของ เดวิด ลินช์ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เวลาดูผมรู้สึกเหมือนดูหนังคุณเจ้ยอยู่อย่างหนึ่งคือ เวลาบางทีไม่รู้เรื่องแต่หนังมันมีเสน่ห์แปลกๆ บางอย่างให้ชวนติดตามงานของเขา
แต่ที่ชอบเรื่องนี้เพราะผมว่าเป็นหนังที่คนส่วนมากน่าจะชอบหนังของ เดวิด ลินช์ เรื่องนี้กันมากที่สุดแล้วในงานทั้งหมดของแก (ผมเดาเอานะครับ) เพราะเรื่องนี้มันค่อนข้างจะดูง่ายกว่าทุกเรื่องของแกแล้ว ผมเองก็เช่นกัน เรื่องนี้ค่อยดูรู้เรื่องหน่อย แต่มันก็ยังคงเสน่ห์แปลก หรือสไตล์แปลกของแกอยู่ดีนั่นแหละ
6. raging bull
มาร์ติน สกอร์เซซี่ ก็เป็นอีกคนที่ผมตามงานมาตลอด แต่ชอบเรื่องนี้มากที่สุดแล้ว มันเป็นหนังที่เป็นเอกลักษณ์หรือเป็นสไตล์แกชัดเจนเลย คือมันดูสมจริง ดิบๆ แต่ทรงพลัง
7. midnight in paris
หนังเรื่องนี้ก็เหมือนเติมเต็มความฝันผมเลยครับ คือถ้าใครชอบงานศิลปะ โดยเฉพาะในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ ชอบอ่านงานเขียนของเฮ็มมิ่งเวย์ แล้วก็เคยจินตนาการภาพไปด้วย ว่าเข้าใช้ชีวิตยังไง หรืออยากไปพบปะพูดคุยด้วย ซึ่งผมก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เรื่องนี้มาเติมเต็มได้ดีเลย และตอนจบก็จบดีด้วยเป็นปรัชญาดี ดูแล้วเต็มอิ่ม เป็นหนังที่ชอบที่สุดในหนังช่วงหลังๆ เลยครับ
ดูไปก็ยิ้มไป คือ ค่ำคืนที่เหล่าศิลปิน นักเขียนเหล่านั้นสังสรรค์กัน มันก็ตรงกับภาพที่เคยอ่านประวัติ อ่านงานเขามาก่อน
สรุปเป็นหนังที่ประทับใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลย อีกอย่างผมชอบงานของ วูดดี้ อัลเลน ในยุคหลังๆ มากกว่ายุคแรกเสียอีกนะครับ คืองานในช่วงหลังจะดูง่ายๆ สบายๆ (แต่บางเรื่องก็ยังมีบทพูด หรือตัวละครพูดกันมากเหมือนกัน คือผมไม่ค่อยชอบหนังที่พูดมาก คือชอบหนังที่นิ่งๆ ให้ภาพมันแสดงเรื่องราวของมันมากกว่า) เท่าที่สังเกตถ้าเรื่องไหนแกแสดงเองด้วยก็จะพูดมากเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเรื่องไหนไม่แสดงเหมือนเรื่องนี้ก็จะพูดไม่ค่อยมากเท่าไร ^^)
งานช่วงหลังเท่าที่ผมคิดเอาเองนะครับ จะดูง่ายๆ แต่มันจะลุ่มลึก หรือไม่ก็เป็นตลกลึกๆ เสียดสีเเบบลึก ซึ่งผมก็ชอบนะครับ แต่อย่างที่บอกชอบเรื่องนี้มากที่สุดเพราะ ผมก็เหมือนพระเอกในเรื่อง ชอบศิลปินในยุคนั้น และก็อยากไปพบปะพูดคุยด้วย ดูหนังก็เลยเติมเต็มความฝัน อิ่มอกอิ่มใจ ดูไปยิ้มไปครับ
8. the godfather 1 และ 2
ชอบหนังแบบนี้ครับ พูดน้อย แต่ใช้ภาษาภาพให้แสดงเรื่องราว นิ่งๆ แต่ทรงพลัง
9
. ลุงบุญมี ระลึกชาติ และ เมืองในหมอก
ให้โควต้าหนังไทยสองเรื่องเลย เพราะมันจะเกิน 10 แล้ว แหะๆ
ลุงบุญมี ระลึกชาติ ชอบภาษาหนัง และสัญลักษณ์ในหนังมาก มันลุ่มลึกมาก
เมืองในหมอกก็เหมือนกัน ภาษาหนังซับซ้อน สัญลักษณ์ในหนังก็ลุ่มลึกมากเช่นกัน
10. เถียน มี มี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว
ปกติไม่ค่อยได้ดูหนังรักมากสักเท่าไร แต่เรื่องนี้เป็นหนังในดวงใจเลย
ชอบสัญลักษณ์ในหนัง แม้วัฒนธรรมของเขาจะต่างกับเราก็พอจะเข้าใจความเป็นคนแผ่นดินใหญ่กับคนในเมือง สัญลักษณ์หลายอย่างที่เอามาแทนสิ่งเหล่านั้นก็ลงตัวดี โดยเฉพาะที่เอาไปใช้ในตอนจบด้วย
หมดโควต้าแล้ว แต่ยังเหลือหนังที่ชอบอีก
12 angry mens หนังสนุกมาก ดูแล้วแทบไม่อยากจะลุกไปไหนเลย
to kill a mockingbird หนังมาตรฐาน ไม่รู้ผมเรียกถูกไหมคือ หนังที่ใครดูก็คงจะต้องชอบ ครบทุกรส ทั้งดราม่า ตลก ประทับใจ ซาบซึ้ง เป็นหนังที่ดูแล้วก็ติดตรึงอยู่ในความทรงจำอีกเรื่องหนึ่ง
ยาวเลย ขอบคุณล่วงหน้าที่อ่าน และมาแสดงความคิดเห็นนะครับ
ไม่ทราบว่าท่านอื่นๆ มี 10 หนังในดวงใจเรื่องอะไรกันบ้างครับ
หนังไทยในดวงใจของคุณมีเรื่องอะไรบ้างครับ
ส่วนตัวผมชอบดูหนังนะครับ แต่ไม่ค่อยได้ดูมากนัก เพราะบางครั้งก็ไม่ค่อยว่าง บางครั้งก็ขี้เกียจดู (ชอบดูแต่ขี้เกียจดู งงตัวเองอยู่เหมือนกัน แหะๆ ^^)
เพราะฉะนั้นผมเลยดูหนังไม่ค่อยมากเท่าไรนัก แต่เท่าที่ได้ดูก็จะลองจัดหนังไทยที่ประทับใจดูนะครับ (ไม่ได้เรียงตามความชอบ คิดเรื่องไหนได้ก่อนก็เขียนถึงเรื่องนั้นก่อน)
จริงๆ อยากจะถามว่า 10 หนังไทยในดวงใจของคุณมีเรื่องอะไรบ้าง แต่อย่างที่บอกผมเองดูหนังไม่ค่อยเยอะ กลัวจะจัดไม่ครบ เลยถามว่าหนังไทยในดวงใจของคุณมีเรื่องอะไรบ้างดีกว่า
ของผมนะครับ (เขียนจากความทรงจำนะครับ ขี้เกียจไปหาข้อมูลเพิ่ม ผิดพลาดยังไงรบกวนแก้ไขข้อมูลให้ด้วยนะครับ)
1. ลุงบุญมี ระลึกชาติ
ผมตามหนังของคุณเจ้ยมาทุกเรื่องนะครับ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนมากจะไม่รู้เรื่อง แหะๆ ^^ แต่สำหรับเรื่องนี้ผมค่อนข้างจะดูรู้เรื่องและเข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร เป็นหนังที่ผมชอบมาก ภาษาหนังซับซ้อนดี และเสียดสีได้อย่างลุ่มลึกเฉียบคมมาก เป็นหนังในดวงใจเรื่องหนึ่งเลย และก็เป็นผู้กำกับที่ผมตามงานตลอดท่านหนึ่งเลย
2. เมืองในหมอก
เคยได้ยินหรือรู้จักหนังเรื่องนี้มานานพอสมควร และรู้ว่าหนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจาก บทละคร เรื่องความเข้าใจผิด ของ กามู เคยอ่านงานของกามู และก็เป็นนักเขียนที่ชอบคนหนึ่ง แต่บทละครเรื่องนี้ผมไม่เคยอ่านมาก่อน
พอได้ดู เป็นหนังที่ดีมาก ยิ่งเมื่อเทียบกับหนังไทยสมัยนั้นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหนังบู๊ แบบว่า ยิงกัน หลบตามต้นไม้ ตอนจบก็จะเปิดฉากยิงกันครั้งใหญ่ และพอเรื่องหมด ตำรวจก็มา หรือไม่ก็ผมเป็น ... ปลอมตัวมา ^^
น่าจะเป็นหนังฟิล์มนัวร์เรื่องเเรกของไทย ผมชอบภาษาหนังเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะฉากที่พระเอกปรากฏตัว การมีอยู่ของพระเอก มันเป็นเพียงจินตนาการหรือความจริงกันแน่ รวมทั้งตอนจบมันเป็นการทิ้งความฝันนั้นไป หรืออย่างไรกันแน่ เป็นหนังที่ภาษาหนัง และการใช้สัญลักษณ์ที่ลุ่มลึกมาก ทำให้ผมนึกถึงหนังสือของ Of Mice and Men ของ จอห์น สไตน์เบ็ค ขึ้นมาเลย มีสัญลักษณ์ในงานคล้ายกันอยู่
สรุปเป็นหนังไทยที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งเลย
3. ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น และ อิสรภาพของทองพูน โคกโพ
ผมค่อนข้างชอบหนังของท่านมุ้ยในยุคแรกๆ นะครับ โดยเฉพาะสองเรื่องนี้ และก็เหมือนกับเมืองในหมอกคือ ยิ่งถ้าเทียบกับหนังไทยในยุคนั้น
มีหลายอย่างหรือหลายคำพูดที่ผมค่อนข้างประทับใจ
4. ตลก 69 และ รักน้อยนิดมหาศาล
คุณเป็นเอก เป็นผู้กำกับอีกคนที่ผมตามงานมาตลอด ชอบชั้นเชิง หรือวิธีในการเล่าเรื่องของแก ชอบตลกร้ายในหนัง และชอบเพลงที่ใส่เข้าไปในหนัง ชอบความกวนของอารมณ์ในหนังด้วย
5. เฉือน
เคยได้ยินคนพูดถึงก่อนที่จะได้ดูพอสมควร พอได้ดู อืม หนังดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลย เป็นหนังในยุคหลังๆ ที่ผมชอบอีกเรื่องหนึ่งนะครับ
6. วัยอลวน
ผมเคยดูหนังของคุณเปี๊ยกอยู่สองสามเรื่อง เท่าที่จำได้เคยไปดูเรื่อง โทน ที่เทศกาลหนังอะไรจำไม่ได้เเล้ว ซึ่งดูแล้วก็ค่อนข้างประทับใจมากเลย และก็เหมือนเดิมเลยคือถ้าเทียบกับหนังไทยในยุคนั้น คือแกทำหนังแล้วก็สอดแทรกความคิด หรือสิ่งที่ต้องการสื่อไปในหนังของแกด้วย อีกอย่างหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ค่อนข้างแปลก และมีความใหม่พอสมควรเลยถ้าเทียบกับหนังยุคนั้น เท่าที่รู้ก็แค่นี้นะครับ ตัวหนังก็สนุกดีครับ
แต่หนังของคุณเปี๊ยก ผมชอบเรื่อง วัยอลวนมากที่สุดนะครับ และเป็นหนังไทยเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากด้วยอีกเรื่องหนึ่งเลย คือหนังดูสนุก แล้วก็สอดแทรกความคิดของผู้กำกับ โดยทางสัญลักษณ์และภาษาหนังได้อย่างลงตัวมากเลย ตามความคิดผมนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คิดออกเท่านี้ครับ แหะๆ ^^
ส่วนหนังในยุคหลังก็ไม่ค่อยจะได้ดูเท่าไรนะครับ หนังอย่างเรื่อง แฟนฉัน รถไฟฟ้ามาหานะเธอ เพื่อนสนิท ก็พอมีโอกาสได้ดูอยู่ก็ชอบเหมือนกัน
ไม่ทราบว่าท่านอื่นๆ มีหนังไทยที่ประทับใจ หรือหนังไทยในดวงใจเรื่องอะไรบ้างครับ
ขอบคุณมากนะครับ
ว่าจะตั้งกระทู้อีกกระทู้ว่า 10 หนังในดวงใจของท่านมีเรื่องอะไรบ้าง แต่ผมตั้งได้แค่วันละ 1 กระทู้ก็เลยมาเพิ่มเติมในกระทู้นี้ด้วยเลย
ของผมนะครับ
1. ran และ 7 samurai
ผู้กำกับในดวงใจเลย จริงๆ ชอบทุกเรื่องที่เคยดูของท่าน แต่ชอบสองเรื่องนี้มากที่สุด
2. Modern Times และ City Light
ผมว่าแชปลิน เป็นยิ่งกว่าศิลปินอีก ผมว่าแกเข้าขั้นอัจฉริยะเลย
3. vertigo
ดูหนังของฮิตช์ค็อก หลายเรื่องก็ชอบทุกเรื่อง แต่ชอบเรื่องนี้มากที่สุดแล้วครับ
4. A Clockwork Orange
หนังของ คูบริก น่าดูเกือบทุกเรื่องเลย แต่ผมยังไม่มีโอกาสได้ดูอีกหลายเรื่องเลย โดยเฉพาะ 2001: A Space Odyssey ส่วนเรื่องนี้พอได้ดูก็คิดในใจเลยว่า ผู้กำกับคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ต้องหาโอกาสดูหนังของเขาอีกให้ได้ เรื่องนี้ก็ตลกร้าย เสียดสีสังคมได้อย่างลุ่มลึกดีครับ ค่อนข้างชอบมากเลย
5. blue velvet
หนังของ เดวิด ลินช์ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เวลาดูผมรู้สึกเหมือนดูหนังคุณเจ้ยอยู่อย่างหนึ่งคือ เวลาบางทีไม่รู้เรื่องแต่หนังมันมีเสน่ห์แปลกๆ บางอย่างให้ชวนติดตามงานของเขา
แต่ที่ชอบเรื่องนี้เพราะผมว่าเป็นหนังที่คนส่วนมากน่าจะชอบหนังของ เดวิด ลินช์ เรื่องนี้กันมากที่สุดแล้วในงานทั้งหมดของแก (ผมเดาเอานะครับ) เพราะเรื่องนี้มันค่อนข้างจะดูง่ายกว่าทุกเรื่องของแกแล้ว ผมเองก็เช่นกัน เรื่องนี้ค่อยดูรู้เรื่องหน่อย แต่มันก็ยังคงเสน่ห์แปลก หรือสไตล์แปลกของแกอยู่ดีนั่นแหละ
6. raging bull
มาร์ติน สกอร์เซซี่ ก็เป็นอีกคนที่ผมตามงานมาตลอด แต่ชอบเรื่องนี้มากที่สุดแล้ว มันเป็นหนังที่เป็นเอกลักษณ์หรือเป็นสไตล์แกชัดเจนเลย คือมันดูสมจริง ดิบๆ แต่ทรงพลัง
7. midnight in paris
หนังเรื่องนี้ก็เหมือนเติมเต็มความฝันผมเลยครับ คือถ้าใครชอบงานศิลปะ โดยเฉพาะในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ ชอบอ่านงานเขียนของเฮ็มมิ่งเวย์ แล้วก็เคยจินตนาการภาพไปด้วย ว่าเข้าใช้ชีวิตยังไง หรืออยากไปพบปะพูดคุยด้วย ซึ่งผมก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เรื่องนี้มาเติมเต็มได้ดีเลย และตอนจบก็จบดีด้วยเป็นปรัชญาดี ดูแล้วเต็มอิ่ม เป็นหนังที่ชอบที่สุดในหนังช่วงหลังๆ เลยครับ
ดูไปก็ยิ้มไป คือ ค่ำคืนที่เหล่าศิลปิน นักเขียนเหล่านั้นสังสรรค์กัน มันก็ตรงกับภาพที่เคยอ่านประวัติ อ่านงานเขามาก่อน
สรุปเป็นหนังที่ประทับใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลย อีกอย่างผมชอบงานของ วูดดี้ อัลเลน ในยุคหลังๆ มากกว่ายุคแรกเสียอีกนะครับ คืองานในช่วงหลังจะดูง่ายๆ สบายๆ (แต่บางเรื่องก็ยังมีบทพูด หรือตัวละครพูดกันมากเหมือนกัน คือผมไม่ค่อยชอบหนังที่พูดมาก คือชอบหนังที่นิ่งๆ ให้ภาพมันแสดงเรื่องราวของมันมากกว่า) เท่าที่สังเกตถ้าเรื่องไหนแกแสดงเองด้วยก็จะพูดมากเหมือนเมื่อก่อน ถ้าเรื่องไหนไม่แสดงเหมือนเรื่องนี้ก็จะพูดไม่ค่อยมากเท่าไร ^^)
งานช่วงหลังเท่าที่ผมคิดเอาเองนะครับ จะดูง่ายๆ แต่มันจะลุ่มลึก หรือไม่ก็เป็นตลกลึกๆ เสียดสีเเบบลึก ซึ่งผมก็ชอบนะครับ แต่อย่างที่บอกชอบเรื่องนี้มากที่สุดเพราะ ผมก็เหมือนพระเอกในเรื่อง ชอบศิลปินในยุคนั้น และก็อยากไปพบปะพูดคุยด้วย ดูหนังก็เลยเติมเต็มความฝัน อิ่มอกอิ่มใจ ดูไปยิ้มไปครับ
8. the godfather 1 และ 2
ชอบหนังแบบนี้ครับ พูดน้อย แต่ใช้ภาษาภาพให้แสดงเรื่องราว นิ่งๆ แต่ทรงพลัง
9. ลุงบุญมี ระลึกชาติ และ เมืองในหมอก
ให้โควต้าหนังไทยสองเรื่องเลย เพราะมันจะเกิน 10 แล้ว แหะๆ
ลุงบุญมี ระลึกชาติ ชอบภาษาหนัง และสัญลักษณ์ในหนังมาก มันลุ่มลึกมาก
เมืองในหมอกก็เหมือนกัน ภาษาหนังซับซ้อน สัญลักษณ์ในหนังก็ลุ่มลึกมากเช่นกัน
10. เถียน มี มี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว
ปกติไม่ค่อยได้ดูหนังรักมากสักเท่าไร แต่เรื่องนี้เป็นหนังในดวงใจเลย
ชอบสัญลักษณ์ในหนัง แม้วัฒนธรรมของเขาจะต่างกับเราก็พอจะเข้าใจความเป็นคนแผ่นดินใหญ่กับคนในเมือง สัญลักษณ์หลายอย่างที่เอามาแทนสิ่งเหล่านั้นก็ลงตัวดี โดยเฉพาะที่เอาไปใช้ในตอนจบด้วย
หมดโควต้าแล้ว แต่ยังเหลือหนังที่ชอบอีก
12 angry mens หนังสนุกมาก ดูแล้วแทบไม่อยากจะลุกไปไหนเลย
to kill a mockingbird หนังมาตรฐาน ไม่รู้ผมเรียกถูกไหมคือ หนังที่ใครดูก็คงจะต้องชอบ ครบทุกรส ทั้งดราม่า ตลก ประทับใจ ซาบซึ้ง เป็นหนังที่ดูแล้วก็ติดตรึงอยู่ในความทรงจำอีกเรื่องหนึ่ง
ยาวเลย ขอบคุณล่วงหน้าที่อ่าน และมาแสดงความคิดเห็นนะครับ
ไม่ทราบว่าท่านอื่นๆ มี 10 หนังในดวงใจเรื่องอะไรกันบ้างครับ