---- ปุจฉา ----
การติเตียน พระภิกษุ เป็นการบาปหรือไม่คะ กรณีที่พระทำอะไรที่ผิดพระวินัย หรือ ทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง ไม่เหมาะ เช่น เลือกแผ่นเกมหรือ window shopping มือถือรุ่นใหม่ๆในห้าง เรามีสิทธิตักเตือนได้หรือไม่?
---- วิสัชนา ----
การติเตียนพระภิกษุ จะบาปหรือไม่ อยู่ที่เจตนา หรือจิตใจ เช่น ถ้าทำด้วยใจที่มุ่งร้าย หรือแม้แต่ด้วยใจที่เป็นลบ เช่น โกรธ ไม่พอใจ ภาวะจิตใจเช่นนี้เป็นอกุศล จะเรียกว่าเป็นบาป ก็ได้ แต่ไม่ใช่บาประดับเดียวกับศีล ๕
การตักเตือนพระเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะพระส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการฝึกฝนพัฒนาตน ควรมีผู้แนะนำและทักท้วงเมื่อเห็นท่านประพฤติไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ผู้ที่ทำเช่นนั้นถือว่าเป็นทั้งกัลยาณมิตรและผู้รักษาพระธรรมวินัย อันถือว่าเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของอุบาสก อุบาสิกา
ที่มา : พระไพศาล วิสาโล
http://www.visalo.org/QA/Q550625.htm
สมจริงใจพระไตรปิฎกที่ว่า
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
ขตสูตรที่ ๑
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็น
คนพาล ไม่เฉียบแหลม ไม่ใช่สัตบุรุษ ย่อมคุ้มครองตนที่ ปราศจากคุณสมบัติ
ย่อมเป็นผู้ประกอบไปด้วยโทษ นักปราชญ์ติเตียน และย่อมประสบกรรมมิใช่บุญ
เป็นอันมาก ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบ
แล้ว กล่าวสรรเสริญคุณของผู้ไม่ควรสรรเสริญ ๑ ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบ
คอบแล้ว กล่าวติเตียนผู้ที่ควรสรรเสริญ ๑ ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบ
แล้ว ยังความเลื่อมใสให้เกิดในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส ๑ ไม่ใคร่ครวญสืบสวน
ให้รอบคอบแล้ว ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิดในฐานะที่ควรเลื่อมใส ๑ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล เป็นคนพาล ไม่
เฉียบแหลม ไม่ใช่สัตบุรุษ ย่อมคุ้มครองตนที่ปราศจากคุณสมบัติ ย่อมเป็นผู้
ประกอบไปด้วยโทษ นักปราชญ์ติเตียน และย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็น
อันมาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ เป็นบัณฑิต
เฉียบแหลม เป็นสัตบุรุษ ย่อมคุ้มครองตนให้ประกอบไปด้วยคุณสมบัติ เป็นผู้
หาโทษมิได้ ทั้งนักปราชญ์ไม่ติเตียน และย่อมประสบบุญเป็นอันมาก ธรรม ๔
ประการเป็นไฉน คือ ใคร่ครวญ สืบสวนรอบคอบแล้ว กล่าวติเตียนผู้ที่ควร
ติเตียน ๑ ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้ว กล่าวสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ ๑
ใคร่ครวญ สืบสวนรอบคอบแล้ว ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิดในฐานะที่ไม่ควร
เลื่อมใส ๑ ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้ว ยังความเลื่อมใสให้เกิดในฐานะ
ที่ควรเลื่อมใส ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้
แล เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม เป็นสัตบุรุษ ย่อมคุ้มครองตนให้ประกอบไปด้วย
คุณสมบัติ เป็นผู้หาโทษมิได้ ทั้งนักปราชญ์ไม่ติเตียน และย่อมประสบบุญ
เป็นอันมาก ฯ
ผู้ใด ย่อมสรรเสริญผู้ที่ควรนินทา หรือย่อมนินทาผู้ที่ควร
สรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมค้นหาโทษด้วยปาก ย่อมไม่ได้
ประสบสุขเพราะโทษนั้น ความพ่ายแพ้การพนันด้วยทรัพย์
ทั้งหมด พร้อมด้วยตน มีโทษน้อย การที่ยังใจให้
ประทุษร้ายในท่านผู้ดำเนินไปดีแล้วนี้แหละ เป็นโทษใหญ่
กว่า (โทษการพนัน) ผู้ที่ตั้งวาจา และใจอันเป็นบาปไว้
ติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมเข้าถึงนรกสิ้นแสนสามสิบหกนิรัพ
พุททะ และห้าอัพพุททะ ฯ
จบสูตรที่ ๓
ซึ่งอรรถกถาได้อธิบายเอาไว้ว่า ผู้ควรถูกนินทา-ไม่ควรสรรเสริญ คือ "ผู้ทุศีล" และผู้ไม่ควรนินทา-ควรสรรเสริญ คือ "พระอริยะ" หมายถึง ผู้มีศีล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ ภัณฑคามวรรคที่ ๑
๓. ขตสูตรที่ ๑
อรรถกถาปฐมขตสูตรที่ ๓
ปฐมขตสูตรที่ ๓ กล่าวไว้ในอรรถกถาทุกนิบาตแล้ว.
ส่วนในคาถาพึงทราบวินิจฉัยดังนี้
บทว่า นินฺทิยํ ได้แก่ ผู้ควรนินทา.
บทว่า นินฺทติ ได้แก่ ย่อมติเตียน.
บทว่า ปสํสิโย ได้แก่ ผู้ควรสรรเสริญ.
บทว่า วิจินาติ มุเขน โส กลึ ความว่า ผู้นั้นประพฤติอย่างนี้แล้ว ชื่อว่าย่อมเฟ้นโทษด้วยปากนั้น.
บทว่า กลินา เตน สุขํ น วินฺทติ ความว่า เขาย่อมไม่ได้ความสุขเพราะโทษนั้น.
บทว่า สพฺพสฺสาปิ สหาปิ อตฺตนา ความว่า การแพ้พนัน เสียทั้งทรัพย์ของตนทุกสิ่งกับทั้งตัวเอง (สิ้นเนื้อประดาตัว) ชื่อว่าเป็นโทษประมาณน้อยนัก.
บทว่า โย สุคเตสุ ความว่า ส่วนผู้ใดพึงทำจิตคิดประทุษร้ายในบุคคลทั้งหลายผู้ดำเนินไปโดยชอบแล้ว ความมีจิตคิดประทุษร้ายของผู้นั้นนี้แล มีโทษมากกว่าโทษนั้น. บัดนี้ เมื่อทรงแสดงความที่มีจิตคิดประทุษร้ายนั้นมีโทษมากกว่า จึงตรัสคำว่า สตํ สหสฺสานํ เป็นอาทิ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตํ สหสฺสานํ ได้แก่ สิ้นแสน โดยการนับตามนิรัพพุทะ.
บทว่า ฉตฺตึสติ ได้แก่ อีกสามสิบหกนิรัพพุทะ.
บทว่า ปญฺจ จ คือ ห้าอัพพุทโดยการนับตามอัพพุทะ.
บทว่า ยมริยํ ครหิ ความว่า บุคคลเมื่อติเตียนพระอริยะทั้งหลาย ย่อมเข้าถึงนรกใด ในนรกนั้นประมาณอายุมีเท่านี้.
จบอรรถกถาปฐมขตสูตรที่ ๓
-----------------------------------------------------
.. อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ ภัณฑคามวรรคที่ ๑ ๓. ขตสูตรที่ ๑ จบ
โดยในพระไตรปิฎกส่วนของพระวินัย เราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทต่างๆ ขึ้นมา ก็เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น นี้ว่าโดยหลักการ ซึ่งเหตุการณ์ในการบัญญัติพระวินัยต่างๆ ส่วนใหญ่มาจากชาวบ้านต่างๆ เห็นพระภิกษุประพฤติตนไม่เหมาะสม จึงได้ติเตียน โพทนาภิกษุที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่สมณะ ซึ่งชื่อว่าคฤหัสถ์ อุบาสก อุบาสิกา มีหน้าที่ช่วยรักษาพระศาสนาไว้เป็นหูเป็นตา ตัวอย่างเช่น
ทรงบัญญัติการห้ามรับเงิน-รับทอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒
มหาวิภังค์ ภาค ๒
๒. โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๘
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
[๑๐๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน อันเป็นสถานที่
พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร เป็น
กุลุปกะของสกุลหนึ่ง รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น.
เขาย่อมแบ่งส่วนไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เย็นวันหนึ่งในสกุลนั้นมีเนื้อเกิดขึ้น เขาจึง
แบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เด็กของสกุลนั้นตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้อง
อ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า. บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า จงให้ส่วนของพระแก่เด็ก เราจัก
ซื้อของอื่นถวายท่าน. ครั้นแล้วเวลาเช้าท่านอุปนันทศากยบุตร นุ่งอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวร
เข้าไปสู่สกุลนั้น แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย.
ทันใด บุรุษนั้นเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร กราบแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง,
ได้กราบเรียนว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อเย็นวานนี้มีเนื้อเกิดขึ้น, ผมได้เก็บไว้ถวายพระคุณเจ้าส่วนหนึ่ง,
จากนั้นเด็กคนนี้ตื่นขึ้นแต่เช้ามืดร้องอ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า ผมจึงได้ให้เนื้อส่วนของ
พระคุณเจ้าแก่เด็ก, พระคุณเจ้าจะให้ผมจัดหาอะไรมาถวายด้วยทรัพย์กหาปณะหนึ่ง ขอรับ.
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรถามว่า เธอบริจาคทรัพย์กหาปณะหนึ่งแก่เรา แล้วหรือ?
บุ. ขอรับ ผมบริจาคแล้ว.
อุ. เธอจงให้กหาปณะนั้นแหละแก่เรา.
บุรุษนั้นได้ถวายกหาปณะแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ในทันใดนั้นเอง แล้วเพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ รับรูปิยะเหมือนพวกเรา.
ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย
สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉน ท่านพระอุปนันทศากยบุตรจึงได้รับรูปิยะเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น
ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่า
เธอรับรูปิยะจริงหรือ?
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ
ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ, ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า? การกระ
ทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ
ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่
ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
ทรงบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาค ทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้วตรัส
โทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ
ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย
ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม
การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่
เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำ
นาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุมีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบัง-
*เกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม
๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน
อันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
สรุป : ในพระไตรปิฎกมีแต่พระอริยะเท่านั้นที่ไม่ควรติเตียนท่าน หากพบภิกษุทำผิดพระวินัย คฤหัสถ์สามารถตำหนิได้ไม่บาป ถือเป็นหน้าที่ต้องช่วยกันรักษาศาสนาให้ดำรงอยู่ต่อไป หากเราเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เช่นนี้แล้ว ศาสนาจะคงอยู่ไม่ได้ยืนยาว พระไม่ดีก็จะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนสิ้นพระศาสนาในที่สุดครับ เพราะพระวินัยเปรียบเหมือนรากแก้วของพระศาสนา
ชี้ให้ชัด กรณีติเตียนพระจะเป็นบาปไหม จาก พระไตรปิฎก และ พระไพศาล วิสาโล
การติเตียน พระภิกษุ เป็นการบาปหรือไม่คะ กรณีที่พระทำอะไรที่ผิดพระวินัย หรือ ทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง ไม่เหมาะ เช่น เลือกแผ่นเกมหรือ window shopping มือถือรุ่นใหม่ๆในห้าง เรามีสิทธิตักเตือนได้หรือไม่?
---- วิสัชนา ----
การติเตียนพระภิกษุ จะบาปหรือไม่ อยู่ที่เจตนา หรือจิตใจ เช่น ถ้าทำด้วยใจที่มุ่งร้าย หรือแม้แต่ด้วยใจที่เป็นลบ เช่น โกรธ ไม่พอใจ ภาวะจิตใจเช่นนี้เป็นอกุศล จะเรียกว่าเป็นบาป ก็ได้ แต่ไม่ใช่บาประดับเดียวกับศีล ๕
การตักเตือนพระเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะพระส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างการฝึกฝนพัฒนาตน ควรมีผู้แนะนำและทักท้วงเมื่อเห็นท่านประพฤติไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ผู้ที่ทำเช่นนั้นถือว่าเป็นทั้งกัลยาณมิตรและผู้รักษาพระธรรมวินัย อันถือว่าเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของอุบาสก อุบาสิกา
ที่มา : พระไพศาล วิสาโล http://www.visalo.org/QA/Q550625.htm
สมจริงใจพระไตรปิฎกที่ว่า
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
ขตสูตรที่ ๑
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งอรรถกถาได้อธิบายเอาไว้ว่า ผู้ควรถูกนินทา-ไม่ควรสรรเสริญ คือ "ผู้ทุศีล" และผู้ไม่ควรนินทา-ควรสรรเสริญ คือ "พระอริยะ" หมายถึง ผู้มีศีล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยในพระไตรปิฎกส่วนของพระวินัย เราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทต่างๆ ขึ้นมา ก็เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น นี้ว่าโดยหลักการ ซึ่งเหตุการณ์ในการบัญญัติพระวินัยต่างๆ ส่วนใหญ่มาจากชาวบ้านต่างๆ เห็นพระภิกษุประพฤติตนไม่เหมาะสม จึงได้ติเตียน โพทนาภิกษุที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่สมณะ ซึ่งชื่อว่าคฤหัสถ์ อุบาสก อุบาสิกา มีหน้าที่ช่วยรักษาพระศาสนาไว้เป็นหูเป็นตา ตัวอย่างเช่น
ทรงบัญญัติการห้ามรับเงิน-รับทอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุป : ในพระไตรปิฎกมีแต่พระอริยะเท่านั้นที่ไม่ควรติเตียนท่าน หากพบภิกษุทำผิดพระวินัย คฤหัสถ์สามารถตำหนิได้ไม่บาป ถือเป็นหน้าที่ต้องช่วยกันรักษาศาสนาให้ดำรงอยู่ต่อไป หากเราเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เช่นนี้แล้ว ศาสนาจะคงอยู่ไม่ได้ยืนยาว พระไม่ดีก็จะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนสิ้นพระศาสนาในที่สุดครับ เพราะพระวินัยเปรียบเหมือนรากแก้วของพระศาสนา