ส่วนตัวผมชอบหน้าหนังเรื่องนี้มากๆ พอเห็นหน้าหนังเรื่องนี้ ผมรู้เลยว่า ผมต้องไม่พลาดหนังเรื่องนี้แน่นอน แต่ตอนแรกก็กลัวว่าเรื่องนี้อาจไม่ได้เข้าฉายในบ้านเรา เรื่องจากหนังแทบไม่มีจุดขายเลย จะดีหน่อยก็ตรงที่มีนักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง ทั้ง Julianne Moore, Alec Baldwin และ Kristen Stewart แต่ก็ไม่ใช่นักแสดงสายแมสอยู่ดี
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่อง Blue Jasmine ในปีที่แล้ว หนังมาแนวทางคล้ายๆกัน เล่าเรื่องชีวิตตัวละครที่ต้องดำเนินชีวิตต่อไปในช่วงเวลาที่ต้องพบเจอความยากลำยาก และจุดเด่นของทั้ง 2 เรื่อง คือ การแสดงของดารานำหญิง ปีที่แล้ว Cate Blanchett ปล่อยพลังเต็มที่ไปแล้วใน Blue Jasmine มาปีนี้ถึงคราว Julianne Moore ในบทบาทของ Alice Howland บ้าง (อีกจุดร่วมกันของทั้ง 2 เรื่องคือ ทั้งคู่เล่นเป็นภรรยาของ Alec Baldwin ทั้งคู่ ซึ่งถ้าไม่มีอะไรพลิกล็อคแบบโลกถล่ม Alec Baldwin ก็คงคุยได้ว่า เค้าได้เล่นเป็นสามีนักแสดงรางวัล Best Actress เวที Oscar 2 ปีติดต่อกัน 55)
หลัวจากที่ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้มีดีกว่าแค่การแสดงของ Julianne Moore แน่นอน ผมชอบบทหนังเรื่องนี้ รวมไปถึงชอบประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อสาร ผมว่ามันเป็นจุดที่น่าสนใจไม่แพ้กัน หนังเล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา แต่ลงตัวในการเล่าเรื่องและการให้ความสำคัญในแต่ละซีน
ผมชอบความสัมพันธ์ของ Alice และลูกสาวคนเล็ก Lydia มากๆ ตั้งแต่ฉากแรกที่ทั้ง 2 เข้าฉากกัน ซีนบนโต๊ะอาหาร เรารับรู้ได้ว่าทั้งคู่มีทัศนคติบางอย่างที่ขัดแย้งกันมากๆและนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้ง 2 ทะเลาะกัน แต่ผมรู้สึกถึงเคมีบางอย่างระหว่างกันในฉากนี้ มันมีความรู้สึกพิเศษบางอย่างของคู่นี้อยู่ และผมก็มาพีคในฉากที่ทั้งคู่เดินคุยกันจากริมทะเลเพื่อจะเดินกลับบ้านและแน่นอนฉากนี้ทั้งคู่ก็ยังทะเลาะกันอยู่ในเรื่องเดิมๆ ในช่วงนี้มีการแทรก Flashback เหตุการณ์ในอดีตตอน Lydia ยังเด็กๆ ทำเอาผมน้ำตาซึมเลย อินมากๆ แม้คู่นี้จะทะเลาะกันบ่อยที่สุด แต่ผมก็รู้สึกว่า คู่นี้เป็นคู่ที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่สุดเช่นกัน
ถ้าจะไม่กล่าวถึงการแสดงของเจ้าของรางวัล Best Actress เวที Oscar ปีนี้ก็คงยังไงอยู่ (เอ้ยยย ยังไม่ประกาศผลนี่นา นึกว่ารับรางวัลไปแล้วซะอีก 55 เห็นนอนมาสุดๆ) ผมคิดว่า Julianne Moore ทำได้ตามมาตรฐานของตัวเองแหละ เพราะการแสดงของเธอมันมาตรฐานสูงอยู่แล้ว เวลาดูเธอแสดง มันเหมือนเธอไม่ใช่ Julianne เลย มันเหมือนเป็นอีกคนหนึ่งจริงๆ เหมือน Alice Howland มีตัวตนจริงๆในโลกนี้ หลายฉากที่เป็นซีนอารมณ์หนักๆ เธอก็เล่นได้กลมกล่อมมากๆ แต่ที่ผมชอบการแสดงของเธอ คือ การแสดงในฉากธรรมดาๆของเธอ เช่น ฉากพูดคุยกับลูกๆบนโต๊ะอาหารในซีนเปิดเรื่อง, ฉากคุยโทรศัพท์กับลูกสาว ตอนที่ลูกสาวไปตรวจว่าเป็นพาหะหรือเปล่า, ฉากคุยกับคุณหมอ เป็นต้น ผมรู้สึกว่าฉากธรรมดาเหล่านี้ เธอทำได้ดีมากๆ (แม้ปีนี้ ผมเองจะสถาปนาตัวเป็นกองเชียร์ของ Felicity Jones ไปแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า รางวัล Best Actress ปีนี้ คงไม่น่าจะหลุดมือ Julianne Moore ไปไหนอย่างแน่นอน)
จะเป็นอย่างไร ถ้าอยู่ๆ เรากำลังจะลืมเรื่องราวต่างๆในชีวิต ลืมบุคคล ลืมเหตุการณ์ ลืมภาพต่างๆ ลืมคำพูด คำศัพท์ต่างๆที่เราเคยรู้จัก แม้กระทั่งสุดท้าย เราอาจลืมว่า เราเคยเป็นใคร แค่ผมจิตนาการ ผมก็รู้สึกว่ามันโหดร้ายมากๆ และผมเข้าใจเลยในฉากที่ Alice อัดวีดีโอไว้ให้ตัวเองดูตอนจำอะไรไม่ได้แล้ว ฉากนั้นมันเจ็บปวดมาก แต่ก็เข้าใจและเห็นใจตัวละครอย่างสุดซึ้งเช่นกัน
ฉากประทับใจสำหรับผม คงเป็นฉากที่ Alice ต้องไปพูดบรรยายเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ที่ตัวเองประสบอยู่ เธอต้องพูดและไฮไลท์ไปด้วยว่า เธอพูดถึงประโยคไหนแล้ว สำหรับผมมันเศร้ามาก ผมอมยิ้มทั้งน้ำตาตั้งแต่เธอเริ่มพูดจนจบเลย ในการพูดบรรยายครั้งนี้ ผมชอบในประโยคที่เธอกล่าวว่า
"I'm struggling. Struggling to be part of things to stay connected to whom I was once. So, 'live in the moment' I tell myself. It's really all I can do, live in the moment."
มันเป็นประโยคที่จริงมากๆ เธอไม่มีทางรู้เลยว่าวินาทีถัดไป เธอจะลืมอะไรอีกบ้าง ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ คือ ปัจจุบันตอนนี้เท่านั้น เหมือนชีวิตเธอเหลืออยู่แค่ในปัจจุบัน เหตุการณ์ดีๆแย่ๆในวันวาน เธออาจจะลืมมันไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น ความสุขของเธอจะเกิดขึ้นได้แค่ในปัจจุบันเท่านั้น
แม้ในชีวิตจริง สมองเราอาจจะทำให้เราลืมเรื่องราวต่างๆ ลืมบุคคล ลืมเหตุการณ์ หรือลืมอะไรอีกก็แล้วแต่ แต่มีบางอย่างที่สมองไม่อาจจะลืมได้ นั่นคือ คำพูดสุดท้ายที่ Alice พูดในหนัง เพราะสิ่งนี้ มันถูกจดจำด้วยหัวใจ ไม่ใช่สมอง
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Still Alice - สมองอาจลืมได้ แต่หัวใจ...ไม่อาจลืม (Spoil)
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่อง Blue Jasmine ในปีที่แล้ว หนังมาแนวทางคล้ายๆกัน เล่าเรื่องชีวิตตัวละครที่ต้องดำเนินชีวิตต่อไปในช่วงเวลาที่ต้องพบเจอความยากลำยาก และจุดเด่นของทั้ง 2 เรื่อง คือ การแสดงของดารานำหญิง ปีที่แล้ว Cate Blanchett ปล่อยพลังเต็มที่ไปแล้วใน Blue Jasmine มาปีนี้ถึงคราว Julianne Moore ในบทบาทของ Alice Howland บ้าง (อีกจุดร่วมกันของทั้ง 2 เรื่องคือ ทั้งคู่เล่นเป็นภรรยาของ Alec Baldwin ทั้งคู่ ซึ่งถ้าไม่มีอะไรพลิกล็อคแบบโลกถล่ม Alec Baldwin ก็คงคุยได้ว่า เค้าได้เล่นเป็นสามีนักแสดงรางวัล Best Actress เวที Oscar 2 ปีติดต่อกัน 55)
หลัวจากที่ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้มีดีกว่าแค่การแสดงของ Julianne Moore แน่นอน ผมชอบบทหนังเรื่องนี้ รวมไปถึงชอบประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อสาร ผมว่ามันเป็นจุดที่น่าสนใจไม่แพ้กัน หนังเล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา แต่ลงตัวในการเล่าเรื่องและการให้ความสำคัญในแต่ละซีน
ผมชอบความสัมพันธ์ของ Alice และลูกสาวคนเล็ก Lydia มากๆ ตั้งแต่ฉากแรกที่ทั้ง 2 เข้าฉากกัน ซีนบนโต๊ะอาหาร เรารับรู้ได้ว่าทั้งคู่มีทัศนคติบางอย่างที่ขัดแย้งกันมากๆและนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้ง 2 ทะเลาะกัน แต่ผมรู้สึกถึงเคมีบางอย่างระหว่างกันในฉากนี้ มันมีความรู้สึกพิเศษบางอย่างของคู่นี้อยู่ และผมก็มาพีคในฉากที่ทั้งคู่เดินคุยกันจากริมทะเลเพื่อจะเดินกลับบ้านและแน่นอนฉากนี้ทั้งคู่ก็ยังทะเลาะกันอยู่ในเรื่องเดิมๆ ในช่วงนี้มีการแทรก Flashback เหตุการณ์ในอดีตตอน Lydia ยังเด็กๆ ทำเอาผมน้ำตาซึมเลย อินมากๆ แม้คู่นี้จะทะเลาะกันบ่อยที่สุด แต่ผมก็รู้สึกว่า คู่นี้เป็นคู่ที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่สุดเช่นกัน
ถ้าจะไม่กล่าวถึงการแสดงของเจ้าของรางวัล Best Actress เวที Oscar ปีนี้ก็คงยังไงอยู่ (เอ้ยยย ยังไม่ประกาศผลนี่นา นึกว่ารับรางวัลไปแล้วซะอีก 55 เห็นนอนมาสุดๆ) ผมคิดว่า Julianne Moore ทำได้ตามมาตรฐานของตัวเองแหละ เพราะการแสดงของเธอมันมาตรฐานสูงอยู่แล้ว เวลาดูเธอแสดง มันเหมือนเธอไม่ใช่ Julianne เลย มันเหมือนเป็นอีกคนหนึ่งจริงๆ เหมือน Alice Howland มีตัวตนจริงๆในโลกนี้ หลายฉากที่เป็นซีนอารมณ์หนักๆ เธอก็เล่นได้กลมกล่อมมากๆ แต่ที่ผมชอบการแสดงของเธอ คือ การแสดงในฉากธรรมดาๆของเธอ เช่น ฉากพูดคุยกับลูกๆบนโต๊ะอาหารในซีนเปิดเรื่อง, ฉากคุยโทรศัพท์กับลูกสาว ตอนที่ลูกสาวไปตรวจว่าเป็นพาหะหรือเปล่า, ฉากคุยกับคุณหมอ เป็นต้น ผมรู้สึกว่าฉากธรรมดาเหล่านี้ เธอทำได้ดีมากๆ (แม้ปีนี้ ผมเองจะสถาปนาตัวเป็นกองเชียร์ของ Felicity Jones ไปแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า รางวัล Best Actress ปีนี้ คงไม่น่าจะหลุดมือ Julianne Moore ไปไหนอย่างแน่นอน)
จะเป็นอย่างไร ถ้าอยู่ๆ เรากำลังจะลืมเรื่องราวต่างๆในชีวิต ลืมบุคคล ลืมเหตุการณ์ ลืมภาพต่างๆ ลืมคำพูด คำศัพท์ต่างๆที่เราเคยรู้จัก แม้กระทั่งสุดท้าย เราอาจลืมว่า เราเคยเป็นใคร แค่ผมจิตนาการ ผมก็รู้สึกว่ามันโหดร้ายมากๆ และผมเข้าใจเลยในฉากที่ Alice อัดวีดีโอไว้ให้ตัวเองดูตอนจำอะไรไม่ได้แล้ว ฉากนั้นมันเจ็บปวดมาก แต่ก็เข้าใจและเห็นใจตัวละครอย่างสุดซึ้งเช่นกัน
ฉากประทับใจสำหรับผม คงเป็นฉากที่ Alice ต้องไปพูดบรรยายเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ที่ตัวเองประสบอยู่ เธอต้องพูดและไฮไลท์ไปด้วยว่า เธอพูดถึงประโยคไหนแล้ว สำหรับผมมันเศร้ามาก ผมอมยิ้มทั้งน้ำตาตั้งแต่เธอเริ่มพูดจนจบเลย ในการพูดบรรยายครั้งนี้ ผมชอบในประโยคที่เธอกล่าวว่า
"I'm struggling. Struggling to be part of things to stay connected to whom I was once. So, 'live in the moment' I tell myself. It's really all I can do, live in the moment."
มันเป็นประโยคที่จริงมากๆ เธอไม่มีทางรู้เลยว่าวินาทีถัดไป เธอจะลืมอะไรอีกบ้าง ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ คือ ปัจจุบันตอนนี้เท่านั้น เหมือนชีวิตเธอเหลืออยู่แค่ในปัจจุบัน เหตุการณ์ดีๆแย่ๆในวันวาน เธออาจจะลืมมันไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น ความสุขของเธอจะเกิดขึ้นได้แค่ในปัจจุบันเท่านั้น
แม้ในชีวิตจริง สมองเราอาจจะทำให้เราลืมเรื่องราวต่างๆ ลืมบุคคล ลืมเหตุการณ์ หรือลืมอะไรอีกก็แล้วแต่ แต่มีบางอย่างที่สมองไม่อาจจะลืมได้ นั่นคือ คำพูดสุดท้ายที่ Alice พูดในหนัง เพราะสิ่งนี้ มันถูกจดจำด้วยหัวใจ ไม่ใช่สมอง
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/