ชีวิตเหมือนฝันกับวันนี้ของ "ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก"



ชีวิตเหมือนฝันกับวันนี้ของใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก

เรียกได้ว่าเป็นนักแสดงสาว ที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว จากการแสดงภาพยนตร์ ก่อนจะหันมาจับงานละคร ซี่งดูเหมือนจะมีผลงานออกมาให้แฟนๆติดตามกันอย่างต่อเนื่อง แต่ระยะหลังดูเหมือนว่าจะเริ่มหายหน้าไปจากจอทีวี ทั้งนี้ ล่าสุด "ใบเฟิร์น" พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ กำลังจะมีผลงานภาพยนตร์เรื่อง “Cat a Wabb! แคท อ่ะ แว้บ!”  วันนี้ นสพ.คมชัดลึก ได้มีโอกาสพูดคุย เพื่อให้แฟนๆ ได้รู้จักนักแสดงสาวคนนี้ดียิ่งขึ้น


*** เรื่องงานและเรียน***
@บทบาทที่ได้รับ ในภาพยนตร์เรื่อง “Cat a Wabb! แคท อ่ะ แว๊บ!” เป็นอย่างไร

          ในเรื่องรับบทเป็น เมโย เป็นนักศึกษาฝึกงานในบริษัทโฆษณา เป็นผู้หญิงขี้มโน ชอบคิดเพ้อเจ้อคนเดียวตามสไตล์วัยรุ่นสมัยนี้ ซึ่งคาแรกเตอร์
จะไม่ได้ต่างจากตัวจริงของเฟิร์นเลย ซึ่งในเรื่องเราจะเป็นคนกวนๆ แต่กวนมากไม่ได้ เพราะเราเป็นเด็กฝึกงาน ก็ต้องยอมให้เขาแกล้ง ส่วนบทบาท
ที่ได้รับ จะโตขึ้นมาหน่อย วัยจะเท่ากับเฟิร์นในตอนนี้เลย คือเรียนจบแล้วและกำลังฝึกงาน ที่รับเล่นเรื่องนี้เพราะเป็นหนังตลก ที่แตกต่างจากหนังตลก
เรื่องอื่น เพราะเรื่องนี้ไม่ได้ตลก เพราะแก๊กหรือมุกแต่เรื่องนี้ความตลกจะเกิดขึ้นจากนิสัยของเมโย ซึ่งเปรียบเสมือนวัยรุ่นผู้หญิงสมัยนี้ อย่างเฟิร์นเอง
ก็เป็นแบบนี้บ่อย คือเวลาไปไหนเราหลงทิศตลอดเพราะมัวแต่เหม่อ (หัวเราะ) ซึ่งเป็นความจริงที่เกิดขึ้นได้โดยที่เราไม่ต้องเซต


@กับการถ่ายทำและร่วมงานกับ "เป้" อารักษ์ อมรศุภศิริ เป็นอย่างไรบ้าง

          คือตอนแรกคิดว่าเขาเป็นคนเรียบร้อย นิ่งๆ แต่พอได้มาร่วมงานกันจริงๆ กลายเป็นว่าพี่เป้เป็นคนขี้แกล้งและกวนประสาทที่สุด แต่เขาก็เป็นคนดีนะ เขาช่วยเราเยอะมาก เพราะในกองหนูเกร็งพี่เท่ง (เท่ง เทิดเถิง) พี่โหน่ง (โหน่ง ชะชะช่า) มาก เจอหน้าครั้งแรกกลัวมาก เพราะพวกเขาเป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ ที่คนรู้จักทั้งประเทศ หนังเรื่องนี้ถ่ายทำเร็วมาก เพราะมีกล้อง 2 ตัว ถ่ายทำแค่ 2 เดือนกว่าเท่านั้นเองงานก็เสร็จแล้ว แต่การถ่ายทำจะยากนิดหน่อยตรงที่ในเรื่องนี้มีแมว คือแมวเป็นสัตว์ที่เราคุมไม่ได้เลย เราให้เขาหันซ้ายเขาไม่หัน บอกให้นั่งก็เดินตลอด เข้าฉากกับแมวยากมาก  คือตอนแรกคิดว่าเป็นคนรักแมวนะ แต่พอได้ถ่ายเรื่องนี้ทำเอาหลอนไปเลยเพราะโดนแมวตบหน้า แถมโดนข่วนหน้า ระยะหลังๆ พอต้องเข้าฉากด้วยจะแอบผวานิดๆ
เพราะเริ่มกลัว เรียกว่าทุกวันนี้ไม่กล้าเข้าใกล้แมวไปแล้ว


@ ตอนนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง
          จะจบแล้ว ตอนนี้จะเป็นช่วงทำธีสิส ก็จะมีการซ้อมละครวุ่นวายกันไปหมด เพราะเราต้องซ้อมทุกวัน เพราะละครเวทีเรื่องนี้ ก็จะเล่นในวันที่ 6-7 มีนาคมนี้แล้ว ถามว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้เรารับงานน้อยลงไหม จริงๆ แล้วเราก็อยากรับงานละคร อยากได้ตังค์อยากมีผลงานออกมาให้แฟนๆ ได้ชมอย่างต่อเนื่อง แต่การเล่นละคร มันมีดาราคนอื่นที่เล่นกับเรา เราจะค่อนข้างเกรงใจ ถ้าเราคิวไม่ได้เราก็ไม่อยากให้เกิดปัญหา หรือให้เขาต้องมารอเรา เลยคิดว่าให้เรียบจบทีเดียวเลยดีกว่า ที่ผ่านมาเราพยายามทำให้ดีทั้ง 2 อย่าง แต่ว่าเราต้องยอมรับว่าทำไม่ไหวจริงๆ แค่เราเรียนไปด้วย ทำงานไปพร้อมกันได้ก็ดีแล้ว


*** เส้นทางบันเทิงในวันนี้ ***
@ชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไร

          ชีวิตเราโอเคมาก ได้เรียน ได้ทำงาน ได้เล่นหนัง ได้ถ่ายโน่นนี่นั่น มีชีวิตกับที่บ้าน ได้เพื่อน ได้เที่ยว คือชีวิตมีทุกอย่างหมด เรียกว่าโชคดีมาก แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะแฮปปี้แบบนี้อีกนานแค่ไหน ต่อไปถ้างานน้อยลง เราก็อาจจะว่างไป ถ้างานเยอะ เราก็อาจจะไม่มีชีวิตส่วนตัวแบบนี้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เชิงดร็อปงานละคร เพราะที่ผ่านมาทางช่องก็มีเสนองานละครมาตลอด แต่ตอนนี้เรากำลังเรียนปีสุดท้าย ก็เลยคุยกับผู้ใหญ่ที่ช่องขอดร็อปงานละครจนถึงช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งทางผู้ใหญ่ก็โอเค ที่ผ่านมาทางช่องก็เข้าใจเรามาตลอด ส่วนสัญญากับทางช่อง 7 ยังเหลืออีกเป็นปี เราก็เลยไม่ได้คิดอะไร ไม่เคยคิดจะแยกออกมาเป็นนักแสดงอิสระ เพราะเราก็ยังมีงานกับทางช่องอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราก็ซาบซึ้งเพราะรู้ว่าทางช่องให้โอกาสเรามาตลอด ส่วนเรื่องต่อสัญญาก็ยังไม่มีผู้ใหญ่เรียกไปต่อสัญญาเลย


@ การเป็นนักแสดงวางตัวลำบากไหม
          ก็ยาก แต่ยังถือได้ว่าเฟิร์นยังคงมีความเป็นตัวของตัวเองเยอะมาก อย่างเรื่องคำหยาบบางคำที่ติดเพราะใช้กับเพื่อนๆ ก็พยายามปรับอยู่ ส่วนที่ต้องระวังมากๆ คือสื่อโซเชียลต่างๆ อย่างอินสตาแกรม บางทีเวลาเราลงอะไรเราก็คิดน้อยไป เพราะคิดว่ามันเป็นพื้นที่ของเรา เราสามารถลงอะไรก็ได้ และคงไม่ค่อยมีคนสนใจอะไร แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่เราลงกลับมีผลกับคนรอบข้าง เพราะเราเคยมีประสบการณ์ตรง เรียกว่าเจอครั้งนั้นไปเข็ดเลย หลังจากเหตุการณ์นั้น เวลาจะทำอะไรเราก็คิดมากขึ้น


@ กับชื่อเสียงในต่างประเทศ ที่ดูเหมือนจะดังกว่าในประเทศ ต่างปรเทศมีเสนองานอะไรบ้างไหม
          มีติดต่อมาเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ภาษาอังกฤษของเฟิร์นแย่มาก พอสื่อสารไม่ได้ มันก็ลำบากในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ฟิลิปปินส์ จีน หรือที่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ยังติดปัญหาเรื่องเวลา คือตอนนี้เรายังเรียนอยู่ เวลาไปต่างประเทศเราต้องไปนานหลายวัน เราไม่เคยคิดว่าภาพยนตร์ที่เราเล่นจะดัง เพราะการที่จะทำให้หนังหรือละครเรื่องหนึ่งเป็นที่นิยมมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเฟิร์นเพียงแค่คนเดียว มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบท เรื่องโปรดักชั่น กระแส ดวงหรือจังหวะสังคมในตอนนั้นด้วย ซึ่งการที่ละครของเรา ไม่เป็นที่นิยมเท่าหนังมันเป็นเรื่องธรรมดามาก


@ เคยคิดโกอินเตอร์ไหม เพราะดูเหมือนไปทำงานต่างประเทศน่าจะรุ่งกว่า
          ไม่เคยคิดเลย จริงๆ แค่หนังเราดังในไทย ก็ยิ่งกว่าฝัน ยิ่งได้ไปต่างประเทศมันเหมือนความฝัน จำได้ว่าเราเหมือนดาราเกาหลีมาไทย คือค่อนข้างแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะดัง แฟนๆ เขาอาจมารับพี่โอ้ (มาริโอ้ เมาเร่อ) แต่มันมีป้ายไฟชื่อเรา ตอนนั้นรู้สึกเหมือนฝัน มันสุดยอดมาก ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน คือเราเห็นแฟนๆ เราก็อยากเข้าไปทัก แต่คนที่ดูแลเราเขาไม่ให้เราเข้าไป ถ้าจะเจอได้ ก็เฉพาะคนที่จ่ายเงินและซื้อบัตรเขา มันกลายเป็นว่าความรักของเราและความรักของแฟนคลับ มันถูกเปลี่ยนเป็นมูลค่าเป็นธุรกิจไปหมด


@ ไม่ค่อยมีข่าวกับผู้ชายเพราะที่บ้านหวง หรือผู้จัดการห้าม
          โอย...ย ที่บ้านไม่มีใครหวงเลย คุณแม่จะพูดตลอดว่า มีแฟนแล้วก็พาเข้าบ้านสักที เขาห่วงเราขึ้นคาน (ยิ้ม) ส่วนพี่เก้าก็ไม่เคยห้ามเรามีแฟนนะ แต่พอเราบอกว่ามีใครมาจีบพี่เก้า ก็รีบบอกทันทีว่าผู้ชายคนนั้นเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ บางทีเราก็แอบสงสัยว่าเป็นการบล็อกของพี่เก้าหรือเปล่า ที่ผ่านมาก็เคยมีคุยๆ กับเพศตรงข้ามเหมือนกันนะ มีทั้งในและนอกวงการ ส่วนใหญ่จะมาเป็นช่วงๆ แต่คุยได้แค่ 2-3 เดือนเขาก็จะหายไป จริงๆ เราไม่อยากปิดนะ แต่มันไม่มีจริงๆ


*** คิดแบบใบเฟิร์น ***
@ มองวงการบันเทิงบ้านเราอย่างไร

          น่าจะเหมือนสังคมอื่นๆ ก็มีคนดี ไม่ดี คนหวังดี คนไม่หวังดี และก็มีคนที่ดูออก ดูไม่ออกบ้าง วงการบันเทิงก็อันตรายเหมือนกัน แต่มันอยู่ที่ว่าแต่ละคนให้ความสำคัญกับวงการนี้มากแค่ไหน บางคนที่หนูรู้จัก ก็เหมือนกับว่าวงการนี้เป็นทุกอย่างที่มีแต่ทางเดินขึ้น ซึ่งจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องเดินขึ้นไปขนาดนั้นก็ได้ แต่ถ้าเขามีความสุขมันก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่หนูพอใจเท่าที่มี และพอใจหน้าที่นักแสดงที่อยากทำให้ดี จะเป็นกรอบที่ปกป้องเราจากอะไรบางอย่าง


@ ทัศนคติในการใช้ชีวิตในทุกวันนี้
          ยากจัง เพราะไม่ค่อยทวนตัวเองอะไรแบบนี้ เราแค่รู้ว่าเราต้องทำหน้าที่อะไร และเรามีความสุขอยู่หรือเปล่า เราไม่ได้ทำอะไรที่เป็นทุกข์อยู่ใช่ไหม ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เฟิร์นทำหน้าที่นักแสดงให้ดีที่สุด ถ้าวันนี้เราทำหน้าที่เป็นนิสิตเราก็ต้องทำให้เต็มที่ ไม่ว่าจะหน้าที่อะไร ไม่ว่าจะเป็นลูกสาว เป็นเพื่อน  ทุกอย่างรวมกันได้แล้วไม่ขาด หรือเกินจนมากเกินไป แต่ถ้าจะให้เฟิร์นเรียงลำดับว่าอะไรสำคัญสุด เฟิร์นบอกได้เลยว่าอันดับหนึ่งคือครอบครัว เพราะที่อยากเรียนให้ดี อยากมีงานที่ดี ก็เพื่อครอบครัว ถ้ามีงาน มีโน่น มีนี่ แต่ไม่มีครอบครัวมาชื่นชม ก็ไม่รู้ว่าจะทำงานเพื่อใคร


@ วางแผนเรื่องอนาคตอย่างไร
          ไม่มีการวางแผนอะไรเลย แปลกเหมือนกัน ที่ไม่ค่อยรู้สึกว่าในอนาคตเราอยากทำอะไร แต่รู้สึกว่า ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะโชคดีมาก คือไม่อยากตื่นขึ้นมา แล้วรู้สึกว่าต้องทำงานอีกแล้ว อยากตื่นขึ้นมาแล้วได้ไปเรียน ได้เจอเพื่อน วันนี้เรียนเสร็จแล้วจึงไปทำงาน มันรู้สึกไม่น่าเบื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่