เมื่อรักของผมถูกกำหนดด้วยเงินตรา....
มันเป็นประสบการณ์ชีวิตของผมที่พึ่งผ่านมาครับ
เมื่อประมาณ2ปีที่แล้วผมได้มีโอกาสได้คุยกับผู้หญิงคนหนึ่งผ่านFacebook เขาเป็นผู้หญิงที่น่ารักคนหนี่ง (สำหรับผมนะ) เธอเรียนอยู่ที่ ราชมงคลแห่งหนึ่งข้าง ม. หอการค้า ส่วนผมเรียนที่ ราชมงคลแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี
ผมก็เพิ่งรู้เมื่อตอนที่คุยกับเธอว่าจริงๆแล้วเธอก็เป็นคนสุพรรณบุรีเหมือนกัน แล้วผมถามเธอเรื่อยๆว่าบ้านอยู่ไหนอะไรยังไง ผมก็ได้รู้ว่าบ้านเธอจริงๆอยู่ห่างจากบ้านผมแค่ประมาณ500เมตรเอง แต่เธอไปเรียนที่ กทม.ตั้งแต่เด็ก เลยทำให้ผมไม่รู้จักเธอ >>นี่ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด<<
ผมชื่อ เอ (นามสมมุติ)
เธอชื่อ เอ็ม (นามสมมุติ)
ผมและเธอได้คุยกันผ่าน Facebook กันตลอด จนทำให้ผมและเธอเริ่มสนิทกันขึ้นมากเรื่อยๆ จนมีวันหนึ่งที่บ้านเธอทำขนมจีนน้ำยา เธอถามผมว่าจะกินไหม ผมก็ตอบไปเล่นๆว่ากิน เอามาให้ดิ (ผมก็คิดว่าเธอคงไม่เอามาให้หรอกเพราะว่ามันมืดและดึกแล้ว) แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นเธอขับรถเอาขนมจีนน้ำยาถุงใหญ่มาให้ผมถึงหน้าบ้าน ผมก็แอบดีใจเล็กๆว่าเธอกล้าเอามาให้ด้วยทั้งๆที่เราไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน
วันนั้นผมจึงมั่นใจว่าเธอก็มีใจให้ผมแล้วแหละ
ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็เริ่มจีบเธอแบบจริงจัง เราคุยกันมาเรื่อยๆจนผมขอเบอร์เธอ แล้วเธอก็ให้ผมมา หลังจากนั้นเราก็ได้คุยกันตามปกติตามประสาหนุ่มสาว
เธอและพี่ของเธอมารับผมอยู่บ่อยครั้งไปซื้อของ เดินเที่ยวทำโน้นทำนี่ ด้วยกัน มันยิ่งทำให้เราสนิทกันมากขึ้น
จนมาวันหนึ่งเธอได้ขอให้ผมไปบ้านเธอ เพื่อไปเปิดตัวให้ทุกคนได้รับทราบว่าผมและเธอได้เริ่มศึกษาดูใจกัน (ในความคิดผมมันเป็นเรื่องที่ดีมากที่เธอกล้าที่จะพาผมเข้าไปในบ้านเธอเพื่อให้เขารู้ว่าเราสองคนพร้อมที่จะเข้าตามตรอกออกตามประตู )
ผมได้เข้าไปบ้านเธอในวันนั้นทึกคนก็ตอนรับผมอย่างดี ชวนผมกินข้าวกับครอบครัวเขา เหตุการณ์วันนั้นผ่านไปได้ด้วยดี
แต่หลังจากวันนั้นเพียงไม่กี่วันเธอก็ได้บอกกับผมว่าทางบ้านของเธอไม่ค่อยจะโอกับตัวผมเท่าไร แต่เราสองคนก็ยังคุยกันตามปกติ ผมถามเหตุผลว่าไม่โอเรื่องอะไร เธอบอกกับผมว่า หลายเรื่อง >> ก่อนอื่นผมจะบอกว่าตัวผมหน้าตาไม่ค่อยดี สถานะทางบ้านก็พอมีพอกินไม่ได้ถึงกับจนกับรวย อะไร และตัวผมเองอาศัยอยู่กับป้าและย่าเพราะพ่อและแม่แยกทางกัน แต่บ้านเธอเป็นคนมีฐานะมีหน้ามีตาในสังคม<< *มันก็เลยเป็นเหตุผลที่ทางบ้านเธอไม่โอเครกับตัวผมนัก* แต่เธอไม่ได้คิดอะไร เราก็ยังคุยกันเหมือนเดิม
แล้ววันที่13 กุมภาเมื่อปีที่แล้วเธอต้องไปหาบริษัทฝึกงานแถวรามอินทรา (ผมลืมบอกว่าเธอและผมเรียนอยู่ปี4กัน) ผมจึงขอไปเป็นเพื่อนเธอ หลังจากที่เธอทำเรื่องฝึกงานเสร็จ ผมก็ชวนเธอไปหารัยกินที่ Central พระราม9 แล้วเธอก็เลือกที่จะกิน MK เราก็กินกันจนอิ่ม แล้วผมก็ถือโอกาสขอคบกับเธอ แต่เธอประติเสธผม *ด้วยเหตุผลที่เธอกลัวว่าทางบ้านจะไม่เห็นด้วย* ผมก็ไม่ได้อะไรคิดว่าเธอคงยังไม่พร้อม จากนั้นผมก็พาเธอไปเดินเล่นที่ จตุจักร ก่อนที่จะกลับไปนอนพักที่หอพักของเธอ
ผมจึงขอคบเธออีกครั้ง ครั้งนี้เธอยอม ผมจึงได้เริ่มคบกับเธอตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา *ผมรู้ตัวว่าผมได้รับโจทย์ที่ใหญ่มาแล้วเผื่อทำให้ที่บ้านเธอยอมรับในตัวผม*
หลังจากนั้นเพียงแค่2เดือนที่เราคบกันทางบ้านเธอได้บอกให้เธอเลิกติดต่อและคุยกับผม เราเลยไม่ได้คุยกันสักพัก จนผมโทรไปง้อเธอและเราตกลงกันว่าผมจะพิสูจน์ให้ทางบ้านเธอเห็นว่าผมก็ดูแลเธอได้ เราจึงตัดสินใจเลือกที่จะแอบคบกัน โดยที่ทั้งสองบ้านไม่รู้
ผมไปหาเธอที่ กทม. เกือบทุกอาทิตย์ ผมเป็นคนชอบดูบอลเธอก็ไปกับผมทุกครั้งที่ผมจะไปดูบอลที่สนาม จนเธอเลือกที่จะบอกับพี่สาวว่าแอบคบกับผมและพี่ของเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ต่อมาเธอได้เข้าฝึกงานที่บริษัทที่ไปติดต่อครั้งนั้น ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอม 6เดือน ของมหาลัยผม ผมก็ต้องกลับมาอยู่บ้านและก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปหาเธอที่ กทม. เลย เธอบอกให้ผมไปอยู่กับเธอที่ กทม. เพราะเธอบอกว่าเธอเหงาอยากอยู่ใกล้ๆกับผม ผมจึงตัดสินใจขอทางบ้านไปเรียนคอร์ดติดฟิล์มรถยนต์ที่ กทม. และผมก้ได้ไปเรียนและอยู่กับเธอตลอดระยะเวลา 6 เดือน ทุกวันที่ผมอยู่กับเธอผมมีหน้าที่ต้องตื่นมาซื้อโจ๊กให้เธอกินทุกเช้า และไปส่งเธอที่ฝึกงานก่อนที่ผมจะไปเรียนติดฟิล์ม เย็นกลับมาก็ต้องซื้อข้าวและกับข้าวเข้ามาที่ห้องเผื่อกินกัน มันจึงทำให้เรารักกันมากขึ้นทุกวัน
ผมรู้ตัวดีว่า ผมต้องประคับประครองความรักนี้อย่างดีที่สุด ผมจึงยอมเธอทุกอย่างตามใจเธอเกือบทุกอย่าง หลังจากที่เธอฝึกงานเสร็จ เธอก็ต้องกลับไปเรียนต่ออีกเทอม ผมก็ต้องกลับมาเรียนเช่นกัน ผมก็ทำตามปกติ ไปหาเธอเกือบทุกอาทิตย์ที่มีเวลาว่าง พาเธอไปเที่ยว ไปเดินเล่น จนเธอจบปริญญา แล้วก็จะหางานทำที่ กทม. เผื่อที่เราทั้งสองจะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน แต่ทางบ้านเธอก็เหมือนจะรู้ว่าเธอแอบคบกับผมอยู่ ทางบ้านเธอบอกให้เธอกลับมาอยู่บ้านประกอบกับว่าแม่ของเธอป่วยก็เลยต้องกลับมาอยู่สุพรรณ แต่ก่อนที่เราจะต่างคนต่างกลับมาอยู่บ้าน เราสองคนพยายามอยู่ด้วยกันให้ได้นานมากที่สุดเพราะว่าเราไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร ผมจึงตัดสินใจพาเธอไปเที่ยวและทำบุญกันหลายๆที่ใน กทม. และพาไปเที่ยวที่ฉธเฉิงเทราเป็นสถานที่สุดท้ายก่อนที่เราจะกลับสุพรรณกัน คืนนั้นก่อนที่เราจะกลับสุพรรณเราสัญญากันว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนับจากนี้เราจะช่วยกันประคับประครองรักนี้ให้ถึงฝั่ง
และเช้าอีกวันเราสองคนก็เดินทางกลับสุพรรณพร้อมกัน หลังจากวันนั้นเราก็คุยกันปกติแต่ต้องแอบคุย จนมีถึงเมื่อวันที่ 13 มกรา ครอบรอบที่เราคบกัน ที่ผ่านมา เธอบอกเลิกกับผมด้วยเหตุผลว่าเธออึดอัดที่จะแอบคบกับผมต่อไปเธอต้องเลือกครอบครัว และเธอไม่อยากนอกใจผม *เพราะตอนนี้ทางบ้านเธอหาคนมาให้เธอคุยด้วย ซึ่งเธอก็ยอมที่จะคุยกับคนนั้น* วันนั้นผมทำอะไรไม่ถูกเพราะก่อนที่เธอจะบอกเลิกผมเรายังคุยกันปกติดีทุกอย่าง ยังบอกรักกัน คิดถึงกัน แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อเป็นคำบอกเลิก ผมสับสนนอนไม่หลับทั้งคืนจนต้องเข้าโรงบาลเราะร่างกายไม่ค่อยดีในวันนั้น
ผมดีขึ้นผมก็ง้อเธอจนถึงที่สุดแต่เธอบอกกับผมว่า เรื่องของเรามันเป็นไปได้ยาก เขาเลือกแล้ว และยังไงก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ผมก็ทได้แค่เพียงพูดและง้อเธออยู่หลายวัน จนผมต้องเข้าโรงบาลอีกครั้ง ผมดีขึ้นและรับรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ผมก็เริ่มที่จะยอมรับมันและโทรคุยกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย เธอบอกกับผมว่าเธอรู้ว่ามันทำใจยากที่จะลืมความสัมพันธ์ของเราแต่มันต้องใช้เวลา ผมก็พอจะเข้าใจ และก็ยอมรับมัน และแล้วผมก็ต้องมาช็อคอีกรอบเมื่อได้รู้ว่าคนที่ทางบ้านเธอหามาให้คุยก็คือญาตืสนิทของผมเอง มันยิ่งทำให้ผมเจ็บ และปวดร้าวอย่างมาก แต่ก็ต้องยอมรับมันอีกครั้งทั้งๆที่ในใจมันเจ็บแทบตาย ผมก็ได้แต่พยายามทำใจกับทุกเรื่องที่มันเกิดขึ้นเผื่อที่เห็นเธอสบาย ผมจึงเก็บของทุกอย่างที่เป็นของเธอใส่กล่องฝากพ่อเขาไปคืน แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ผมจะเอาไปคืนเธอมันทำให้เขาโมโหที่ได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอแอบคบกับผมมาโดยตลอด ทำให้พ่อเธอไม่พอใจ และมาต่อว่าแม่ผมว่าเป็นคนอยู่เบื้องหลังที่สนับสนุนให้ผมแอบคบกับเธอ แต่จริงๆแล้วไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยในครอบครัวผม ทางบ้านเธอบอกกับแม่ผมว่า ถ้าอยากได้เธอจริงๆ 5ล้าน ทอง20บาท ถ้าพร้อมให้เข้าไปขอได้เลย แต่จะยกให้รึป่าวอีกเรื่องหนึ่ง ณ ตอนนั้นแม่มาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟัง *วันที่เขามาพูดผมไปทำงานไม่ได้อยู่บ้าน* ผมก็ทำใจแล้วแหละว่า 5 ล้าน 20 บาท ผมจะเอามาจากไหน จริงๆแล้วผมมีนะเงินล้านแต่เขาพูดมากับบ้านผมอย่างนี้มันเป็นคำสบประมาทอย่างมากสำหรับผม ผมก็คงไม่เอาไปแลกกับสิ่งที่ไม่เห็นค่าในสิ่งที่ผมมี ผมก็เลยเลือกที่จะตัดใจจากเธอ นับตั้งแต่วันนั้นที่ผมได้คุยกับเธอผมก็ไม่เคยได้เจอและได้คุยกับเธออีกเลย
และผมเพิ่งทราบว่าวันที่ 27กุมภานี้เธอจะแต่งแล้ว มันยิ่งทำให้ผมหัวเสียอีกครั้ง เพราะเธอเพิ่งเลิกกับผมยังไม่ถึงเดือนเลย ณนาทีที่ผมทราบเรื่องว่าเธอจะแต่งผมมือไม้สั่นและก็ชาไปทั้งตัวถึงกับไปไม่เป็นเลย แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับความจริงที่มันเกิดขึ้น และทำใจยอมรับมัน และนี้ก็เป็นเรื่องราวในหนึ่งปีที่ผ่านมาสำหรับผมและเขา คนอื่นคิดยังไงไม่รู้นะแค่หนึ่งปี แต่สำหรับผม หนึ่งปีที่ผ่านมาผมกับเขาผ่านอะไรด้วยกันมาก็เยอะ ทุกข์ก็มีสุขก็มี เราสนิทกันมากกว่าการเป็นคนรัก แต่วันนั้นผมเครพกับการตัดสินใจของเธอ เธอคงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
>>>ผมขออวยพรให้เธอมีความสุขกับสิ่งที่เธอเลือก สิ่งที่เธอรัก และขอบคุณทุกเรื่องราวที่ผ่านมาในหนึ่งปีเต็ม ที่มีกันและกันเสมอมา ผมจะไม่ลืมเธอเลย โชคดีนะ ที่รัก<<<
**หากเธอได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ ขอให้เธอรู้ว่า ผู้ชายคนนี้หวังดีกับเธอเสมอ แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วก็ตาม**
รักเธอนะยัย #เฉิ่ม
#ตาเบื๊อก
รักนี้ถูกกำหนดด้วยเงินตรา....
มันเป็นประสบการณ์ชีวิตของผมที่พึ่งผ่านมาครับ
เมื่อประมาณ2ปีที่แล้วผมได้มีโอกาสได้คุยกับผู้หญิงคนหนึ่งผ่านFacebook เขาเป็นผู้หญิงที่น่ารักคนหนี่ง (สำหรับผมนะ) เธอเรียนอยู่ที่ ราชมงคลแห่งหนึ่งข้าง ม. หอการค้า ส่วนผมเรียนที่ ราชมงคลแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี
ผมก็เพิ่งรู้เมื่อตอนที่คุยกับเธอว่าจริงๆแล้วเธอก็เป็นคนสุพรรณบุรีเหมือนกัน แล้วผมถามเธอเรื่อยๆว่าบ้านอยู่ไหนอะไรยังไง ผมก็ได้รู้ว่าบ้านเธอจริงๆอยู่ห่างจากบ้านผมแค่ประมาณ500เมตรเอง แต่เธอไปเรียนที่ กทม.ตั้งแต่เด็ก เลยทำให้ผมไม่รู้จักเธอ >>นี่ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด<<
ผมชื่อ เอ (นามสมมุติ)
เธอชื่อ เอ็ม (นามสมมุติ)
ผมและเธอได้คุยกันผ่าน Facebook กันตลอด จนทำให้ผมและเธอเริ่มสนิทกันขึ้นมากเรื่อยๆ จนมีวันหนึ่งที่บ้านเธอทำขนมจีนน้ำยา เธอถามผมว่าจะกินไหม ผมก็ตอบไปเล่นๆว่ากิน เอามาให้ดิ (ผมก็คิดว่าเธอคงไม่เอามาให้หรอกเพราะว่ามันมืดและดึกแล้ว) แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นเธอขับรถเอาขนมจีนน้ำยาถุงใหญ่มาให้ผมถึงหน้าบ้าน ผมก็แอบดีใจเล็กๆว่าเธอกล้าเอามาให้ด้วยทั้งๆที่เราไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน
วันนั้นผมจึงมั่นใจว่าเธอก็มีใจให้ผมแล้วแหละ
ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็เริ่มจีบเธอแบบจริงจัง เราคุยกันมาเรื่อยๆจนผมขอเบอร์เธอ แล้วเธอก็ให้ผมมา หลังจากนั้นเราก็ได้คุยกันตามปกติตามประสาหนุ่มสาว
เธอและพี่ของเธอมารับผมอยู่บ่อยครั้งไปซื้อของ เดินเที่ยวทำโน้นทำนี่ ด้วยกัน มันยิ่งทำให้เราสนิทกันมากขึ้น
จนมาวันหนึ่งเธอได้ขอให้ผมไปบ้านเธอ เพื่อไปเปิดตัวให้ทุกคนได้รับทราบว่าผมและเธอได้เริ่มศึกษาดูใจกัน (ในความคิดผมมันเป็นเรื่องที่ดีมากที่เธอกล้าที่จะพาผมเข้าไปในบ้านเธอเพื่อให้เขารู้ว่าเราสองคนพร้อมที่จะเข้าตามตรอกออกตามประตู )
ผมได้เข้าไปบ้านเธอในวันนั้นทึกคนก็ตอนรับผมอย่างดี ชวนผมกินข้าวกับครอบครัวเขา เหตุการณ์วันนั้นผ่านไปได้ด้วยดี
แต่หลังจากวันนั้นเพียงไม่กี่วันเธอก็ได้บอกกับผมว่าทางบ้านของเธอไม่ค่อยจะโอกับตัวผมเท่าไร แต่เราสองคนก็ยังคุยกันตามปกติ ผมถามเหตุผลว่าไม่โอเรื่องอะไร เธอบอกกับผมว่า หลายเรื่อง >> ก่อนอื่นผมจะบอกว่าตัวผมหน้าตาไม่ค่อยดี สถานะทางบ้านก็พอมีพอกินไม่ได้ถึงกับจนกับรวย อะไร และตัวผมเองอาศัยอยู่กับป้าและย่าเพราะพ่อและแม่แยกทางกัน แต่บ้านเธอเป็นคนมีฐานะมีหน้ามีตาในสังคม<< *มันก็เลยเป็นเหตุผลที่ทางบ้านเธอไม่โอเครกับตัวผมนัก* แต่เธอไม่ได้คิดอะไร เราก็ยังคุยกันเหมือนเดิม
แล้ววันที่13 กุมภาเมื่อปีที่แล้วเธอต้องไปหาบริษัทฝึกงานแถวรามอินทรา (ผมลืมบอกว่าเธอและผมเรียนอยู่ปี4กัน) ผมจึงขอไปเป็นเพื่อนเธอ หลังจากที่เธอทำเรื่องฝึกงานเสร็จ ผมก็ชวนเธอไปหารัยกินที่ Central พระราม9 แล้วเธอก็เลือกที่จะกิน MK เราก็กินกันจนอิ่ม แล้วผมก็ถือโอกาสขอคบกับเธอ แต่เธอประติเสธผม *ด้วยเหตุผลที่เธอกลัวว่าทางบ้านจะไม่เห็นด้วย* ผมก็ไม่ได้อะไรคิดว่าเธอคงยังไม่พร้อม จากนั้นผมก็พาเธอไปเดินเล่นที่ จตุจักร ก่อนที่จะกลับไปนอนพักที่หอพักของเธอ
ผมจึงขอคบเธออีกครั้ง ครั้งนี้เธอยอม ผมจึงได้เริ่มคบกับเธอตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา *ผมรู้ตัวว่าผมได้รับโจทย์ที่ใหญ่มาแล้วเผื่อทำให้ที่บ้านเธอยอมรับในตัวผม*
หลังจากนั้นเพียงแค่2เดือนที่เราคบกันทางบ้านเธอได้บอกให้เธอเลิกติดต่อและคุยกับผม เราเลยไม่ได้คุยกันสักพัก จนผมโทรไปง้อเธอและเราตกลงกันว่าผมจะพิสูจน์ให้ทางบ้านเธอเห็นว่าผมก็ดูแลเธอได้ เราจึงตัดสินใจเลือกที่จะแอบคบกัน โดยที่ทั้งสองบ้านไม่รู้
ผมไปหาเธอที่ กทม. เกือบทุกอาทิตย์ ผมเป็นคนชอบดูบอลเธอก็ไปกับผมทุกครั้งที่ผมจะไปดูบอลที่สนาม จนเธอเลือกที่จะบอกับพี่สาวว่าแอบคบกับผมและพี่ของเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ต่อมาเธอได้เข้าฝึกงานที่บริษัทที่ไปติดต่อครั้งนั้น ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอม 6เดือน ของมหาลัยผม ผมก็ต้องกลับมาอยู่บ้านและก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปหาเธอที่ กทม. เลย เธอบอกให้ผมไปอยู่กับเธอที่ กทม. เพราะเธอบอกว่าเธอเหงาอยากอยู่ใกล้ๆกับผม ผมจึงตัดสินใจขอทางบ้านไปเรียนคอร์ดติดฟิล์มรถยนต์ที่ กทม. และผมก้ได้ไปเรียนและอยู่กับเธอตลอดระยะเวลา 6 เดือน ทุกวันที่ผมอยู่กับเธอผมมีหน้าที่ต้องตื่นมาซื้อโจ๊กให้เธอกินทุกเช้า และไปส่งเธอที่ฝึกงานก่อนที่ผมจะไปเรียนติดฟิล์ม เย็นกลับมาก็ต้องซื้อข้าวและกับข้าวเข้ามาที่ห้องเผื่อกินกัน มันจึงทำให้เรารักกันมากขึ้นทุกวัน
ผมรู้ตัวดีว่า ผมต้องประคับประครองความรักนี้อย่างดีที่สุด ผมจึงยอมเธอทุกอย่างตามใจเธอเกือบทุกอย่าง หลังจากที่เธอฝึกงานเสร็จ เธอก็ต้องกลับไปเรียนต่ออีกเทอม ผมก็ต้องกลับมาเรียนเช่นกัน ผมก็ทำตามปกติ ไปหาเธอเกือบทุกอาทิตย์ที่มีเวลาว่าง พาเธอไปเที่ยว ไปเดินเล่น จนเธอจบปริญญา แล้วก็จะหางานทำที่ กทม. เผื่อที่เราทั้งสองจะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน แต่ทางบ้านเธอก็เหมือนจะรู้ว่าเธอแอบคบกับผมอยู่ ทางบ้านเธอบอกให้เธอกลับมาอยู่บ้านประกอบกับว่าแม่ของเธอป่วยก็เลยต้องกลับมาอยู่สุพรรณ แต่ก่อนที่เราจะต่างคนต่างกลับมาอยู่บ้าน เราสองคนพยายามอยู่ด้วยกันให้ได้นานมากที่สุดเพราะว่าเราไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร ผมจึงตัดสินใจพาเธอไปเที่ยวและทำบุญกันหลายๆที่ใน กทม. และพาไปเที่ยวที่ฉธเฉิงเทราเป็นสถานที่สุดท้ายก่อนที่เราจะกลับสุพรรณกัน คืนนั้นก่อนที่เราจะกลับสุพรรณเราสัญญากันว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนับจากนี้เราจะช่วยกันประคับประครองรักนี้ให้ถึงฝั่ง
และเช้าอีกวันเราสองคนก็เดินทางกลับสุพรรณพร้อมกัน หลังจากวันนั้นเราก็คุยกันปกติแต่ต้องแอบคุย จนมีถึงเมื่อวันที่ 13 มกรา ครอบรอบที่เราคบกัน ที่ผ่านมา เธอบอกเลิกกับผมด้วยเหตุผลว่าเธออึดอัดที่จะแอบคบกับผมต่อไปเธอต้องเลือกครอบครัว และเธอไม่อยากนอกใจผม *เพราะตอนนี้ทางบ้านเธอหาคนมาให้เธอคุยด้วย ซึ่งเธอก็ยอมที่จะคุยกับคนนั้น* วันนั้นผมทำอะไรไม่ถูกเพราะก่อนที่เธอจะบอกเลิกผมเรายังคุยกันปกติดีทุกอย่าง ยังบอกรักกัน คิดถึงกัน แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อเป็นคำบอกเลิก ผมสับสนนอนไม่หลับทั้งคืนจนต้องเข้าโรงบาลเราะร่างกายไม่ค่อยดีในวันนั้น
ผมดีขึ้นผมก็ง้อเธอจนถึงที่สุดแต่เธอบอกกับผมว่า เรื่องของเรามันเป็นไปได้ยาก เขาเลือกแล้ว และยังไงก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ผมก็ทได้แค่เพียงพูดและง้อเธออยู่หลายวัน จนผมต้องเข้าโรงบาลอีกครั้ง ผมดีขึ้นและรับรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ผมก็เริ่มที่จะยอมรับมันและโทรคุยกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย เธอบอกกับผมว่าเธอรู้ว่ามันทำใจยากที่จะลืมความสัมพันธ์ของเราแต่มันต้องใช้เวลา ผมก็พอจะเข้าใจ และก็ยอมรับมัน และแล้วผมก็ต้องมาช็อคอีกรอบเมื่อได้รู้ว่าคนที่ทางบ้านเธอหามาให้คุยก็คือญาตืสนิทของผมเอง มันยิ่งทำให้ผมเจ็บ และปวดร้าวอย่างมาก แต่ก็ต้องยอมรับมันอีกครั้งทั้งๆที่ในใจมันเจ็บแทบตาย ผมก็ได้แต่พยายามทำใจกับทุกเรื่องที่มันเกิดขึ้นเผื่อที่เห็นเธอสบาย ผมจึงเก็บของทุกอย่างที่เป็นของเธอใส่กล่องฝากพ่อเขาไปคืน แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ผมจะเอาไปคืนเธอมันทำให้เขาโมโหที่ได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอแอบคบกับผมมาโดยตลอด ทำให้พ่อเธอไม่พอใจ และมาต่อว่าแม่ผมว่าเป็นคนอยู่เบื้องหลังที่สนับสนุนให้ผมแอบคบกับเธอ แต่จริงๆแล้วไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยในครอบครัวผม ทางบ้านเธอบอกกับแม่ผมว่า ถ้าอยากได้เธอจริงๆ 5ล้าน ทอง20บาท ถ้าพร้อมให้เข้าไปขอได้เลย แต่จะยกให้รึป่าวอีกเรื่องหนึ่ง ณ ตอนนั้นแม่มาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟัง *วันที่เขามาพูดผมไปทำงานไม่ได้อยู่บ้าน* ผมก็ทำใจแล้วแหละว่า 5 ล้าน 20 บาท ผมจะเอามาจากไหน จริงๆแล้วผมมีนะเงินล้านแต่เขาพูดมากับบ้านผมอย่างนี้มันเป็นคำสบประมาทอย่างมากสำหรับผม ผมก็คงไม่เอาไปแลกกับสิ่งที่ไม่เห็นค่าในสิ่งที่ผมมี ผมก็เลยเลือกที่จะตัดใจจากเธอ นับตั้งแต่วันนั้นที่ผมได้คุยกับเธอผมก็ไม่เคยได้เจอและได้คุยกับเธออีกเลย
และผมเพิ่งทราบว่าวันที่ 27กุมภานี้เธอจะแต่งแล้ว มันยิ่งทำให้ผมหัวเสียอีกครั้ง เพราะเธอเพิ่งเลิกกับผมยังไม่ถึงเดือนเลย ณนาทีที่ผมทราบเรื่องว่าเธอจะแต่งผมมือไม้สั่นและก็ชาไปทั้งตัวถึงกับไปไม่เป็นเลย แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับความจริงที่มันเกิดขึ้น และทำใจยอมรับมัน และนี้ก็เป็นเรื่องราวในหนึ่งปีที่ผ่านมาสำหรับผมและเขา คนอื่นคิดยังไงไม่รู้นะแค่หนึ่งปี แต่สำหรับผม หนึ่งปีที่ผ่านมาผมกับเขาผ่านอะไรด้วยกันมาก็เยอะ ทุกข์ก็มีสุขก็มี เราสนิทกันมากกว่าการเป็นคนรัก แต่วันนั้นผมเครพกับการตัดสินใจของเธอ เธอคงเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
>>>ผมขออวยพรให้เธอมีความสุขกับสิ่งที่เธอเลือก สิ่งที่เธอรัก และขอบคุณทุกเรื่องราวที่ผ่านมาในหนึ่งปีเต็ม ที่มีกันและกันเสมอมา ผมจะไม่ลืมเธอเลย โชคดีนะ ที่รัก<<<
**หากเธอได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ ขอให้เธอรู้ว่า ผู้ชายคนนี้หวังดีกับเธอเสมอ แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วก็ตาม**
รักเธอนะยัย #เฉิ่ม
#ตาเบื๊อก