ท้อแท้กับโชคชะตา...อย่าเพิ่งหมดหวังค่ะ จากคุณหนูตกกระป๋อง...

หลังจากล๊อกอินของพี่คนนี้ที่ยืมกันไปมาสองสามคน.. เราข้ออนุญาตยึดแบบเป็นทางการแล้วค่ะ (:

อยากเล่าประสบการณ์ชีวิตที่พลิกผันของตัวเอง เผื่อว่าจะมีประโยชน์หรือให้กำลังใจกับใครหลายๆคนที่ท้อแท้ได้นะคะ
เรื่องยาวมากๆค่ะ

โชคชะตาชอบเล่นตลก...
เราเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะค่ะ คุณแม่เป็นดีไซเนอร์มีร้านดังย่านทองหล่อ และมีธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้หญิงความสวยความงามอีกหลายอย่าง
คุณพ่อทำงานที่ปรึกษาสายพัฒนาธุรกิจของธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศไทยค่ะ
จากรูปถ่ายและความทรงทำวัยเด็ก เราอยู่บ้านกับ พี่สาวและพี่ชาย(ต่างพ่อ) คุณแม่ คุณพ่อค่ะ
อยู่บ้านที่ค่อนข้างใหญ่ มีบ้านต่างหากให้พี่เลี้ยง แม่บ้าน และคนขับรถ
(ตอนเด็กเราก็จำอะไรไม่ได้มาก แต่มีบางเหตุการณ์ที่จำได้ชัดเจนมากๆเป็นฉากๆค่ะ บางส่วนเชื่อมโยงจากรูปและคำพูดจากคนรอบข้างค่ะ)
กฎของที่บ้านที่รู้กันคือ คุณแม่จะเป็นคนดุ มีระเบียบมากๆ ส่วนคุณพ่อจะใจดี(แต่ไม่ให้ท้ายลูก)
ที่เขาตกลงกันก่อน เพื่อให้มีหน้าที่ชัดเจนในการเลี้ยงลูกค่ะ ไม่อยากให้ตามใจหรือดุเกินไป
คุณแม่เรียนไม่สูงค่ะ มีฐานะมากับความโชคดีคือเอาเงินก้อนแรกซื้อที่และคอนโดถูกๆ แต่ต่อมามูลค่าx20
ทำให้มีโอกาสในการทำธุรกิจใหญ่ๆหลายอย่าง จากเงินก้อนนั้น
คุณพ่อจะเป็นคนรอบคอบ คอยเช็คเรื่องกฎหมาย เรื่องบัญชี การลงทุนความเสี่ยงให้คุณแม่

ตอนนั้นเราเรียนอนุบาล (เอกชนแบบกึ่งสองภาษาค่ะ(ก่อนมาปรับเป็นสองภาษาเติมตัว))
ภาพที่จำได้คือ ครอบครัวที่มีความสุข จำได้ว่าไปเที่ยวกันบ่อยมากๆ ที่บ้านมีบ้านพักต่างอากาศหลายแห่ง
ทุกๆสิ้นปี ที่บ้านเราจะพาพนักงานในสังกัดร้านของคุณแม่ทุกคนไปเที่ยวด้วยกันค่ะ (เกือบๆ40คน)
ปีสุดท้ายที่จำได้คือ ไปโรงแรมห้าดาวที่หัวหิน โดยพนักงานทุกคนพาครอบครัวไปด้วยได้ค่ะ
ทุกๆงานวันเกิดของเราและพี่ๆ จะปิดร้านอาหารจัดงานค่ะ มีคนร่วมงานเยอะมาก
ทั้งพนักงานคุณแม่ ลูกค้าและเพื่อนๆที่มายินดีหรือร่วมงานเลี้ยงทุกๆครั้งจนจำหน้าได้เลยค่ะ
เวลาคุณแม่เปิดสาขาใหม่ จัดแฟชั่นโชว์ ก็จะมีเพื่อนๆมีจนเกินจำนวนที่เตรียมไว้ตลอดค่ะ
เราเกิดและโตมากับวงการผู้หญิงและความงามอะไรแบบนี้ตลอด

คุณแม่เคยเล่าว่าช่วงปีที่เศรษฐกิจตกต่ำ ที่บ้านเราสวนทางมากค่ะ เพื่อนๆคุณพ่อที่มีปัญหา ก็มาขอความช่วยเหลือค่ะ
คุณพ่อจะบอกกับคุณแม่เสมอว่า เพื่อนกลุ่มนี้ดีมากๆ เป็นเพื่อนกันมานาน ถ้าสักวันเกิดอะไรขึ้น ขอให้คุณนึกถึงพวกเขาเป็นอันดับแรก
มีเพื่อนคุณพ่อคนหนึ่ง ที่เราจำชื่อได้ สมมุตชื่ออาปูค่ะ เราจำได้ดีเลยเพราะมาที่บ้านบ่อยมากค่ะ
จะเป็นคนที่ออกแบบ หาบ้านพักหรือที่ดิน มาเสนอให้พ่อซื้อเก็บไว้
ทุกครั้งที่มาขอความช่วยเหลือ คุณพ่อให้ยืมโดยไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่มีดอกเบี้ย
คุณอาปูมีเต๊นท์รถค่ะ ที่ต้องมาขอทุกเดือน เพราะว่าภรรยาค่อนข้างตระหนี่ จะมีกำหนดให้เงินตามวัน
เลยต้องมีขอยืมไปหมุนก่อน แล้วมาคืนให้ทีหลังค่ะ
จำได้ว่าคุณอาคนนี้เคยซื้อตุ๊กตารูปกระต่ายมาให้น่ารักมากค่ะ(คุณแม่มาบอกที่หลังว่าช่วงนั้นเขาเกรงใจคุณพ่อ ซื้อของมาฝากครอบครัวทุกอาทิตย์เลย)
มีอาอีกคน(เราจำไม่ได้เลย) เคยเสนอให้คุณพ่อเช่าพระค่ะ เมื่อสิบๆปีก่อนด้วยราคาสามล้านบาท
คุณพ่อเช่าพระมา แล้วเก็บในตู้เซฟ บอกกับคุณแม่ก็อีกเช่นเคยว่า ถ้าอนาคตมีปัญหา
ให้ปล่อยเช่าพระองค์นี้นะ เพราะคุณพ่อเช่ามาแพง
คุณแม่ไม่เคยทราบจำนวนเงินของคุณพ่อนะคะ เพราะคิดว่าไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว
ทางคุณแม่ก็มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ได้ใช้เงินคุณพ่อค่ะ
แต่สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อจะบอกแม่ทุกครั้งคือ เมื่อให้เงินเพื่อนหรือมีคนมายืมอะไร
จะให้คุณแม่รับทราบ บอกคำพูดประจำว่าถ้าคุณมีปัญหา โทรหาคนพวกนี้ได้เลย เป็นเพื่อนที่ดีมากๆ

ชีวิตเหมือนสวยงาม เราเองเคยแอบเสียดายที่เกิดช้า อยู่กับชีวิตแบบนี้ได้ไม่นาน
งานวันเกิดเราตอน 4 ขวบ คุณแม่มีเซอร์ไพร์สคือ คุณแม่สร้างบ้านพักตากอากาสไว้อีกที่นึงที่ต่างจังหวัดค่ะ
ตอนนั้นยังสร้างไม่เสร็จ เลยไม่พาทุกคนไปดู รอให้เสร็จที่เดียวค่ะ
แต่ไม่นานหลังจากวันนั้น...

วันหนึ่งเราและพี่ๆสงสัยเลยถามพี่มี(พนักงานที่เหมือนเป็นพี่เลี้ยงคนที่2) ว่าคุณพ่อคุณแม่ไปไหน ทำไมไม่กลับบ้าน
เราจำคำตอบไม่ได้ แต่จำภาพที่คุณแม่เดินร้องไห้เข้าบ้านมาตอนดึกๆ แล้วกอดลูกๆ
บอกว่า คุณพ่อจะไม่อยู่กับเราสักพักนะลูก...

ภาพที่จำได้อีกทีคือ ภาพที่วัด ที่คนเยอะแยะไปหมด มีนักข่าวด้วย

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คุณพ่อฆ่าตัวตายค่ะ เพราะที่ทำงานมีปัญหา
โดยฟ้องว่าทุจริต ฟ้องแปดหลักปลายๆ
คนอื่นๆที่ทำงานที่โดนฟ้อง บินไปอยู่ออสเตรเลียกันหมดแล้ว
เป็นคดีดัง คดีใหญ่มากค่ะ (ถ้าใครอยู่วงการแบงก์อาจจะพอเดาออก)

..เหตุการณ์นี้คุณแม่เล่าและอ่านหนังสือพิมพ์เอาค่ะ
เราและพี่ๆไปที่งานคุณพ่อ แล้วถามว่าคุณพ่อเป็นไรคะ
ทำไมไม่มีใครพาคุณพ่อไปโรงพยาบาลพร้อมกับร้องไห้
คุณแม่บอกว่ามีนักข่าวหนังสือพิมพ์ถ่ายรูปแล้วขึ้นหน้าหนึ่ง...ตั้งคำถามว่านี่คือครอบครัวคนทุจริตจริงหรือ?

เราหรือแม้กระทั่งคุณแม่ก็ไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่... คุณแม่เชื่อว่าคุณพ่อไม่ได้ทำ
ที่คิดแบบนั้นเพราะว่า ถ้าคุณพ่อทุจริตแม้แต่นิดเดียว เราคงรวยกว่านี้มาก
เพราะนี่คุณแม่ก็ทำงาน เงินที่ซื้อรถ เลี้ยงลูกๆ แม่ไม่เคยขอเลย
แต่ก็ว่ากันด้วยกฎหมาย... ทุกอย่างที่เป็นชื่อคุณพ่อ ก็คงไม่ใช่ของครอบครัวเราอีกต่อไป
ในส่วนของคุณแม่ก็ปกติค่ะ เพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส

ชีวิตเรายังไม่ได้พลิกไปสะทีเดียวค่ะ แต่ค่อยๆเริ่ม...
คุณแม่ตัดสินใจสร้างรีสอร์ทที่บ้านพักที่คุณแม่สร้างไว้ โดยซื้อที่รอบๆ
ครั้งนี้ไม่มีที่ปรึกษาหรือคนให้คำแนะนำ คุณแม่อยากให้เงินก้อนที่มีอยู่ ทำเงินพอให้เลี้ยงลูกสามคนได้
โดยไม่ได้บริหารเอง ให้ญาติที่แม่ส่งเสียเรียนปริญญามาบริหาร แม่จะไปดูเดือนละ 2ครั้งค่ะ

บ้านที่กทม.ที่เคยอยู่เป็นชื่อคุณพ่อค่ะ แน่นอนเราเลยย้ายไปอยู่คอนโดในเมืองที่คุณแม่ซื้อไว้นานแล้ว (ช่วงเราขึ้นประถม)
ตอนนั้นยังสบายค่ะ เพราะเป็นห้องใหญ่ 4 ยูนิต(ยูนิตนึงคือ 1ห้องนอน+ห้องรับแขก) แล้วตีทะลุค่ะ
คือก็เหมือนอยู่บ้าน แค่อยู่สูงๆ ไม่มีสวน
ตอนนี้เหลือพี่เลี้ยง1คน และคนขับรถ(คราวนี้ต้องไปกลับ)

คุณแม่ยังมีรถเบนซ์ 3 คันค่ะ มีแบบที่ตอบโจทย์ในแต่ละโอกาส มีนั่งกับครอบครัว
หรือรถสปอร์ตสำหรับคุณแม่ไปทำงาน

จุดแรกที่เริ่มเปลี่ยนคือ วันหนึ่งคุณแม่บอกว่าขายรถตากลมไปแล้วนะ ซื้ออีกคันมา
คือ toyota ตอนนั้นจากใจจริง ไม่ได้เสแสร้งเกินจริง(ยังเด็กนะ) เราคิดว่ายี่ห้อนี้มีแต่รถกระบะ
แบบงง อ้าวคุณแม่จะขับรถกระบะหรอคะ? แต่ความจริงคุณแม่ซื้อ camry ค่ะ
นี่เป็นการเปลี่ยนยี่ห้อรถครั้งแรก ที่เราก็แอบรู้สึกขัดๆ ไม่ชินที่ไม่มีแอร์จากเบาะ(ตอนเด็กๆชอบเล่นตอนเบาะค่ะ)
จากนั้นก็เปลี่ยนอีกคันเป็น Accord เท่ากับตอนนี้ เหลือเบนซ์คือรถสปอร์ตแค่คันเดียว

จนมีวันนึงคุณแม่ตัดสินใจขายสปอร์ตด้วยค่ะ
ขอบอกเลยว่า ตอนแรกคนไม่ยอมลงง่ายๆหรอกค่ะ
ขายไปไม่นาน คุณแม่ก็ไปซื้อมาใหม่คนละสี แต่รุ่นรองลงมา(มาทราบทีหลังว่าคันนี้ไม่ได้ซื้อสด)

พี่มี(พนักงานที่สนิทมากๆเหมือนเป็นพี่เลี้ยงอีกคน) ลาออกเพื่อไปเปิดร้านเอง
โดยเอาพนักงานที่ทำด้วยกันออกไปด้วยค่ะ คนที่คุณแม่รักมากๆ ที่ทำงานกันมาหลายปี ก็หายไปจากชีวิตคุณแม่ค่ะ

เราย้ายออกจากคอนโดกัน มีอยู่ที่ร้านคุณแม่
ตอนนั้นมีร้านเสื้อ,ร้านเสริมความงามครบวงจรค่ะ
โดยย้ายจากใจกลางเมือง ออกมาหน่อย ทำร้านให้เล็กลง
มีพนักงานร้านเสริมสวยเหลือ 8 คน และพนักงานร้านเสื้อมา 4 คน
ตรงร้านเสื้อเป็นตึก4ชั้น คุณแม่ก็ทำชั้น 1-3ให้เป็นบ้านอย่างดีค่ะ
ก็ตกแต่งหรูเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนไป
แต่อย่างที่บอกค่ะ คนเรามันลงไม่ได้ง่ายๆ

ตอนเราป.5 ช่วงพี่เราเข้าม.ต้นพอดี
คุณแม่ตัดสินใจซื้อบ้าน ราคา 7ล้าน (ทราบอีกทีหลังว่าผ่อน และดาวน์น้อยมาก)
เราก็ย้ายกันไปอยู่บ้านจัดสรรที่โครงการสร้างให้สำเร็จเลย
แต่แตกต่างกับบ้านเดิมมากๆ คือไม่ได้สร้างออกแบบหรือบิวท์อินเอง
ทีนี้ก็เป็นความรู้สึกแบบบ้านสไตล์โมเดิร์น ซึ่งตอนนั้นเราก็ชอบ เพราะไม่เคยอยู่แบบนี้
แต่ไม่มีแม่บ้านประจำแล้วค่ะ

คุณแม่ตัดสินใจลงทุนธุรกิจอีกอย่างคือ ร้านสปา
ซึ่งอยู่ติดกับร้านอีก2ที่ของคุณแม่ โดยเป็นตึกที่กำลังสร้าง 4ชั้นคือ ใหญ่มากๆ
คุณแม่รู้จักกับเจ้าของ เลยทำสัญญาเช่า 3 ปี แต่ด้วยความที่ไม่มีที่ปรึกษาด้านกฎหมาย การลงทุน
คุณแม่เป็นคนจัดการตกแต่ง แล้วบิวท์อินอย่างดี รวมแล้วเป็นสิบๆห้อง พร้อมอ่างอาบน้ำติดแอร์เองหมด
ช่วงนี้เราขึ้นม.1 สถานการณ์ที่บ้านไม่ดีเอามากๆ คุณแม่เคยเหลือตังในกระเป๋าพอแค่ค่าขนมให้ลูกไปโรงเรียน
ช่วงนั้นเลยไม่มีคนขับรถ แต่มีพนักงานรวม3ร้าน 25คนโดยประมาณค่ะ

จากที่ร้านอยู่ใกล้กับโรงเรียนเรามากกว่า เลยย้ายออกจากบ้าน ให้ฝรั่งเช่าแทน
ทีนี้เราและพี่ๆเรียนมัธยมกันหมด พี่ๆเริ่มโตมีโลกส่วนตัวบ้าง
จึงให้อยู่แยกเป็นห้องๆค่ะคือ แม่อยู่ข้างบนของร้านเสื้อ(ที่มี3ชั้น)
เราและพี่ๆอยู่อีกตึกใกล้ๆค่ะ อยู่ร้านสปา ซึ่งแม่ก็เปลี่ยนชั้น 4 ให้เป็นเหมือนห้องพักค่ะ
เรากับพี่สาวอยู่ด้วยกัน พี่ชายแยกไปอีกห้อง (ห้องที่เหลือให้คุณครูฝรั่งแถวนั้นเช่าค่ะ)
ความอบอุ่นของครอบครัวที่เคยมี ห่างไกลชีวิตตอนนั้นมากๆ
เราอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ กล้าแก่น ต่อต้านคุณแม่มากๆ
จากตอนเด็กที่นั่งทานข้าวบนโต๊ะพร้อมหน้า... เราไม่เคยทานข้าวกับแม่อีกเลย
วันๆเจอกันน้อยมากค่ะ กลับจากเรียน ก็ขึ้นห้องเลยทันที
ตอนนั้นเราเรียนภาค EP ของโรงเรียนรัฐบาลค่ะ
แน่นอน เราไม่เคยเจอโลกอะไรแบบนี้ ถึงในห้องจะคุณหนูกันหมดแต่...
ห้องอื่นๆ และคนหลากหลายสังคมก็มีผลกับตัวเราค่ะ
พูดตรงๆเลยว่าเป็นช่วง Dark mode ของชีวิต (เชื่อทฤษฎีต่างๆที่เขาพูดถึงครอบครัวไม่อบอุ่น ทำให้เสียคนอย่างชัดเจนค่ะ)
เรามีอะไรก็ไม่เคยบอกแม่ ติดโทรศัพท์ ไม่อยากกลับไปบ้านเร็วๆ เราไม่ทานข้าวเย็นจนผอม
นอนดึกจนโทรม จนคุณแม่เคยตี หาว่าหนูติดยา? แต่พอนึกสภาพตอนนั้นคือ
เราจงใจต่อต้านจริงๆ เค้าถามอะไร ก็ทำเป็นไม่ปฏิเสธ ให้เข้าใจแบบนั้น สะใจดี
เราพื้นฐานเป็นคนเรียนดีค่ะ แต่ไม่ขยัน ไม่อ่านหนังสือไม่ตั้งใจเรียน แต่ผลการเรียนก็อยู่ระดับดีค่ะ
อยากทำนู่นทำนี่ที่แหกกฎ ซอยผม นู่นนี่เยอะแยะ

จากนั้น พอหมดสัญญา เจ้าของตึกร้านสปาเดิมขายให้คนอื่นในราคาพร้อมทุกอย่างในตึก
มีรู้อีกทีคือเจ้าของคนใหม่จะขึ้นราคาค่าเช่าอีกหลายเท่า เพราะค่าของตกแต่งแอร์ อ่าง เฟอร์นิเจอร์ในตึก..ที่เป็นของคุณแม่เอง
ก็แน่นอนค่ะ เพราะแม่ไม่รู้ด้านกฎหมาย ไม่อ่านสัญญาให้รอบคอบ

เราและพี่ๆย้ายไปอยู่ตึกร้านเสื้อกับคุณแม่ แต่ไม่นานคุณแม่ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่รีสอร์ทต่างจังหวัด
ตั้งใจจะไปบริหารเอง... ไปพบสิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือ ญาติก็เอาเปรียบ โกงจนไม่มีรายได้อะไรเลย
ตอนนั้นที่บ้านทุกคนรู้สถานการณ์ดีว่า บ้านเราเป็นแบบไหน
คุณแม่ขายรถ accord เหลือ สปอร์ตกับ camryไว้

เราอายุ 13 พี่ๆ 15, 17 อยู่กันเองที่ร้านเสื้อ...
พนักงานร้านเสริมสวย ขอเซ้งร้านไปทำเอง
ตอนนี้ที่เหลืออยู่คือช่างตัด 1 คนและ น้าวันคือพนักงานทุกตำแหน่ง เปรียบเสมือนมือขวาของคุณแม่
เรา เด็กมีปัญหาที่สุดในบ้าน ก็มีที่ปรึกษาเป็นพนักงานสองคนนี้ค่ะ
นี่ก็เป็นจุดแรกที่เราได้รู้อะไรหลายๆอย่าง จากที่เขาเล่าให้ฟัง
น้าสองคนนี้ พูดถึงคุณพ่อหนูเสมอ ว่าดูแลพนักงานทุกคนดีแค่ไหน

ตอนม.3กลางเทอม มีเหตุการณ์ที่เราเลือกทางชีวิตผิดมากๆ ขอไม่เล่ารายละเอียดค่ะ
เราโทรไปหาคุณแม่ ซึ่งปกติไม่คุยกันเลย... เราร้องไห้อยากกอด วันต่อมาคุณแม่เลยมาหาค่ะ
เราไม่เคยเปิดใจกับแม่เลย ปกติแม่เข้าใจอะไรผิดเราก็ปล่อยให้เข้าใจแบบนั้น
ครั้งนี้ เราเล่าเรื่องทุกอย่าง เล่าความรู้สึก เล่าทั้งน้ำตา... เราบอกคุณแม่ว่า ไม่อยากเรียนที่นี่แล้ว
คุณแม่เห็นด้วยเพราะ EP ค่าเทอมแพงมาก ตัดสินใจย้ายกลางเทอม ไปเรียนต่างจังหวัดใกล้ๆรีสอร์ทคุณแม่ค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่